ภาค 3 บทที่ 8

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก – ภาค 3 บทที่ 8 ช่วยคนตกทุกข์ได้ยาก
บทที่ 8 ช่วยคนตกทุกข์ได้ยาก
โดย
Ink Stone_Romance
ภายในสำนักแพทย์หลวงเสียงฝีเท้าวุ่นวาย

“มีอะไร? เกิดอะไรขึ้น?”

หมอหลวงที่อยู่ที่บ้านมากมายถูกเรียกกลับมา บางคนยังท่าทางเมามาย ถามว่าไปตรวจให้ใคร คนที่มาก็ไม่พูด มาสำนักแพทย์หลวงอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว มองเห็นทหารจำนวนหนึ่งยืนอยู่ แต่ละคนสีหน้าเคร่งขรึม

“หรือว่าคนสำคัญในวังหลวงเกิดเรื่องแล้ว?” มีหมอหลวงคาดเดาเอ่ยขึ้น

กำลังพูดอยู่ก็เห็นใต้เท้าฟางผู้บังคับบัญชากรมทหารม้าห้าเมืองกับหมอหลวงเจียงเดินออกมาจากข้างใน สีหน้าพวกเขาก็เคร่งขรึมเช่นกัน

“ทุกท่าน โปรดตามข้ามา” หมอหลวงเจียงเอ่ยกับบรรดาหมอหลวง

“ใต้เท้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น?” มีหมอหลวงเอ่ยถาม

ท่านหมอหลวงเจียงกลับไม่ตอบคำถาม

“ไปดูก่อนค่อยว่ากัน” เขาเอ่ย

บรรดาหมอหลวงได้แต่มึนงงอยู่ในม่านหมอกเดินหน้าตามไป ทิศทางที่ไปก็ไม่ใช่วังหลวงหรือที่ประทับของผู้สูงศักดิ์อย่างที่คาดเดาไว้ แต่ตรงไปทางนอกเมือง

เดินมาถึงหน้าประตูเมือง บรรดาหมอหลวงถึงพบว่าประตูเมืองถึงกับปิดลงแล้ว

“ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาปิดประตูเมืองนี่?” บรรดาหมอหลวงอดไม่ได้มองสีท้องฟ้า

อีกอย่างช่วงเทศกาลปีใหม่ประตูเมืองจะไม่ปิด

นี่เกิดอะไรขึ้น?

ผู้บัญชาการฟางส่งสายตาให้ทหารเฝ้าเมือง ประตูเมืองถูกเปิดออกข้างหนึ่ง บรรดาหมอหลวงไม่เข้าใจเดินตามออกไป เพิ่งเดินออกไปยังไม่ทันมองสภาพอะไรชัดก็ได้ยินเสียงเอะอะ

เสียงนี้มีคนเฒ่ามีเด็กน้อย มีชายมีหญิงสอดแทรกด้วยเสียงร้องไห้รวมถึงเสียงคุกเข่า

บรรดาหมอหลวงตกใจสะดุ้ง ตอนนี้ถึงมองเห็นฝูงชนที่ออรวมตัวมหาศาลอยู่นอกเมือง

เกิดเรื่องอะไรขึ้น

“ท่านหมอหลวงเชิญดูเถอะ” ผู้บัญชาการฟางเอ่ย ชี้ชาวบ้านเหล่านี้

หมอหลวงเจียหันไปมองบรรดาหมอหลวงเหล่านี้

“ทุกคนไปดูสิ คนเหล่านี้เป็นโรคอะไร” เขาเอ่ย

คนเหล่านี้ล้วนป่วยหรือ? โรคอะไรทำให้คนมากมายเช่นนี้โผล่ขึ้นมาปุบปับ? บรรดาหมอหลวงสีหน้าประหลาดใจก้าวเข้าไป

บรรดาชาวบ้านฮือเข้ามา บรรดาหมอหลวงก็มองไปด้วย แม้ชาวบ้านชายหญิงเฒ่าละอ่อนไม่เหมือนกัน แต่พวกเขาล้วนบ้างโอบบ้างอุ้มเด็กไว้ เด็กๆ ก็อายุไม่เท่ากัน บ้างหลับหมดสติบ้างเซื่องซึม ใบหน้าที่เผยออกมาข้างนอกแถบฝีเป็นจุดๆ ผุดออกมา

เพียงเห็นแถบฝีนี่ บรรดาหมอหลวงก็ชะงัก สีหน้าตกตะลึง

นี่ไฉนยังต้องดูอีก นี่คือฝีดาษชัดๆ

“นี่แค่ที่ประตูเมืองแห่งหนึ่ง อีกสี่ด้านก็เป็นเช่นนี้หมด” ผู้บัญชาการฟางเอ่ย “พวกท่านยืนยันว่านี่คือฝีดาษ?”

หมอหลวงเจียงมองไปทางบรรดาหมอหลวงคนอื่น

“ใช่แน่นอน” บรรดาหมอหลวงพากันเอ่ย ในเวลาเดียวกันก็สีหน้าตกตะลึง “ผู้ป่วยฝีดาษมากมายขนาดนี้มาเมืองหลวงได้อย่างไร? ไม่อนุญาตให้ออกจากที่พักไม่ใช่หรือ?”

ผู้ป่วยมากขนาดนี้รวมตัวอยู่ที่เมืองหลวงน่ากลัวเกินไปแล้วจริงๆ

ผู้บัญชาการฟางเห็นชัดว่ารู้นี่น่ากลัวมากเพียงไร หลังได้รับคำยืนยันจากบรรดาหมอหลวงก็ไม่ลังเลตัดสินใจทันที

“รีบไล่พวกเขาออกจากเมืองหลวงกักตัวไว้เร็ว” เขาเอ่ย

บรรดานายทหารที่รอรับคำสั่งนานแล้วขานรับพร้อมเพรียงก้าวเข้าไป

บรรดาชาวบ้านที่ได้ยินคำถามคำตอบนี้พากันคุกเข่าโขกศีรษะร้องไห้อ้อนวอน

“ใต้เท้าทั้งหลายโปรดให้พวกเราเข้าเมือง”

“ใต้เท้าทั้งหลายโปรดให้พวกเราไปหาหมอเทวดารักษาชีวิตด้วย”

เสียงร้องไห้อ้อนวอนนับไม่ถ้วนดังขึ้น

เหล่าหมอหลวงเข้าใจแล้ว มิน่าคนเหล่านี้ถึงมาเมืองหลวง เรื่องไหวอ๋องเป็นฝีดาษปีก่อนแพร่ไปทั่วแล้ว และข่าวที่มีคนรักษาฝีดาษของไหวอ๋องหายดีตอนนี้ก็น่าจะแพร่ออกไปแล้วเช่นกัน

พวกเขาอดไม่ได้หันหน้ามองไปภายในเมือง สีหน้ากลายเป็นพิกลและซับซ้อน

คราวนี้มีเรื่องสนุกดูแล้ว

เฉินชีนั่งอยู่ในโรงหมอจิ่วหลิงมองดูเทียบเชิญที่กองอยู่บนโต๊ะ

“ปวดหัว ปวดหัว” เขาเคาะผิวโต๊ะเอ่ย

พนักงานสองคนที่อยู่ด้านข้างได้ยินก็หัวเราะ

“ผู้ดูแลใหญ่ เดือนแรกของปีท่านก็ปวดหัวอะไรแล้ว” พวกเขาเอ่ย

พวกเขาพูดคำนี้ การเคลื่อนไหวที่มือก็ไม่หยุด นำยาที่เพิ่งทำเสร็จใส่ไว้ในตู้ยาต่อ หลังจากนั้นยังต้องไปทำยาอีก

นี่เป็นวิชาฝีมือหากินวิชาหนึ่ง พี่หลิ่วเอ๋อร์บอกว่าอย่าดูแคลนการล้างสมุนไพรหั่นสมุนไพรนี่ ต่อไปเดินออกไปบอกว่าเป็นวิชาลับเฉพาะของโรงหมอจิ่วหลิง นั่นมีค่าถึงพันตำลึงทอง

ในที่สุดพนักงานสองคนก็คิดได้ว่านี่หมายความว่าอะไร คุณหนูจวินเป็นหมอเทวดา พวกเขาก็นับว่าเป็นศิษย์ของหมอเทวดาแล้ว ชื่อนี้ย่อมไม่ใช่ใครก็มีได้ นอกจากนี้พวกเขาก็ไม่ใช่มีแค่ชื่อเปล่าๆ คุณหนูจวินสอนพวกเขาคั่วสมุนไพรกับมือเองจริงๆ

วิชาฝีมือนี่ยังถ่ายทอดให้คนรุ่นหลังได้

พนักงานสองคนไม่มีความแค้นเคืองสักนิดอีกแล้ว ตั้งอกตั้งใจกระตือรือร้นทั้งยังรู้สึกโชคดีอย่างยิ่งที่มาเป็นพนักงานที่โรงหมอจิ่วหลิง

“ที่ข้าปวดหัวคือคนมากมายขนาดนี้ ที่แท้ควรไปบ้านไหนก่อนดี” เฉินชีเอ่ย

พนักงานสองคนหัวเราะแล้ว

“นั่นไม่ใช่เรื่องที่คุณหนูควรปวดหัวหรือ?” พวกเขาเอ่ย

เฉินชีกระแอมทีหนึ่ง

“ไปบ้านคนตรวจหรือไม่ตรวจเป็นคุณหนูตัดสิน ไปบ้านไหนก่อนเป็นข้าตัดสิน” เขาเอ่ย

ไม่อย่างนั้นข้ารับใช้ประจำตระกูลที่มาส่งเทียบเชิญมาเหล่านั้นทำไมนอบน้อมกับเขาเช่นนี้ ต่างเรียกขานนายท่านเฉิน

นายท่านเฉินเชียวนะ เขาเฉินชีที่หยางเฉิงทุกคนล้วนรู้จักล้วนตะโกนเรียกเสี่ยวฉี มาถึงเมืองหลวงครึ่งปี ไม่เพียงทุกคนล้วนรู้จักยังกลายเป็นนายท่านแล้ว

เฉินชียกถ้วยน้ำชาด้านข้างดื่มคำหนึ่ง แต่ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วพูดถูก ความสัมพันธ์ระหว่างชนชั้นสูงในเมืองหลวงนี่สลับซับซ้อนไม่อาจเลินเล่อ เขาตั้งใจขบคิดอย่างระมัดระวัง

คิดถึงตรงนี้เขาก็วางถ้วยชาลงอีกครั้ง ตั้งใจหยิบเทียบเชิญใบหนึ่งขึ้นมา กำลังคิดว่านี่เป็นใครบรรพบุรุษสร้างตระกูลจากอะไร ก็มีคนพุ่งเข้ามาจากนอกประตู

“แย่แล้ว แย่แล้ว” เขาตะโกนเสียงดัง

เฉินชีตกใจสะดุ้ง

“อะไรอีกเล่า?” เขาวางเทียบเชิญลงเอ่ย มองคนที่มา

คนที่มาคนนี้เขารู้จัก เป็นพนักงานด้านนั้นของเต๋อเซิ่งชาง

“ผู้ดูแลใหญ่ชี แย่แล้ว นอกเมืองมีคนมามากมาย” พนักงานหอบหายใจเอ่ย “ล้วนเป็นคนที่ต้องการมาหาคุณหนูจวิน”

เฉินชีพรูลมหายใจลูบแขนเสื้อ

“เรียกข้าผู้ดูแลใหญ่เฉิน” เขาเอ่ย “คนมาหาคุณหนูจวินมีอะไรประหลาด”

“คนเหล่านั้นล้วนเป็นฝีดาษ” พนักงานเอ่ย “คนมามากมาย ล้วนพาเด็กที่เป็นฝีดาษมาด้วย ตอนนี้ประตูเมืองปิดไปแล้ว คนในเมืองหวั่นวิตก”

เฉินชีร่างชะงักไปนิดหนึ่งกำลังเอ่ยคำพูด

“ฝีดาษ?” เสียงของคุณหนูจวินดังขึ้นจากหลังร่าง

พวกเขาหันหน้ามองไป เห็นคุณหนูจวินเดินออกมาจากด้านใน

“ใช่แล้ว คุณหนู” พนักงานเอ่ยบอก “คนมากมายมายนัก ทั่วทุกสารทิศล้วนมา ยังมีคนมากยิ่งกว่ากำลังเร่งเดินทางมาจากที่ห่างไกล ล้วนขอร้องคุณหนูช่วยรักษาฝีดาษ”

“คุณหนูรักษาไหวอ๋องหายดี ไทเฮาพระราชทานรางวัลเช่นนี้ ดูท่าทุกคนล้วนรู้แล้ว” เฉินชีเอ่ย มองไปทางคุณหนูจวิน “แต่นี่ก็ไม่มีอะไร แค่ฝีดาษไหม”

คุณหนูจวินรักษาไหวอ๋องหายดี ฝีดาษนี่ก็ไม่มีอะไรเป็นเรื่องใหญ่แล้ว

คุณหนูจวินขานรับทีหนึ่ง

“ฝีดาษรึ” นางเอ่ย สีหน้าหนักใจนิดหนึ่ง

“เป็นฝีดาษรึ”

ห้องห้องหนึ่งในสำนักแพทย์หลวงเสียงหัวเราะดังลั่นพักหนึ่งดังออกมา จากนั้นเสียงหัวเราะก็ถูกกดลงไป

เวลานี้หัวเราะไม่ดีอย่างแท้จริง

บรรดาหมอหลวงในห้องล้วนปิดปาก กลั้นหัวเราะ ตีหน้าสุขุม

“ชาวบ้านในเมืองล้วนรู้ข่าวแล้ว” หมอหลวงคนหนึ่งเอ่ย “โกลาหลแล้วจริงๆ ล้อมศาลาว่าการเมืองไว้แล้ว”

“ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อนุญาตให้ผู้ป่วยฝีดาษเหล่านี้เข้าเมือง เรียกร้องให้จับไล่ทันที” หมอหลวงอีกคนเอ่ย “นี่อันตรายเกินไปแล้วจริงๆ ในเมืองเด็กเท่าไร”

“กลัวอะไร” หอมหลวงเจียงเอ่ย “ในเมืองมีคุณหนูจวิน”

“แต่กฏการรักษาของคุณหนูจวิน” หมอหลวงคนหนึ่งเอ่ย ท่าทางเวทนาอยู่บ้าง “ชีวิตเด็กมากมายเกรงว่าคงมีค่าไม่ถึงพันตำลึงทอง”

ความเวทนานี้ย่อมไม่ใช่ให้แก่คุณหนูจวิน แต่ให้แก่บรรดาชาวบ้านที่ยากจนไม่มีคุณสมบัติพอให้คุณหนูจวินรักษาเหล่านั้น

ไพร่ฟ้าประชาชนชาวบ้านตาดำล้วนมีชีวิต น่าเสียดายก็แต่ในสายตาคุณหนูจวินท่านหมอคนนี้มีแบ่งชั้นสามหกเก้า

หมอที่ไร้เมตตาคนหนึ่ง ต่อให้มีวิชาแห่งความเมตตาแล้วอย่างไร? ต่อให้เจ้ามีเหล่าชนชั้นสูงเหล่านี้ปกป้อง แต่เจ้ารู้จักสิ่งใดเรียกเจตจำนงแห่งประชาชนไหม? เจ้ารู้ไหมเจตจำนงแห่งประชาชนน่ากลัวมากเพียงใดไหม?

บรรดาหมอหลวงสบตากันอีกครั้ง หัวเราะดังอ่าฮ่า

มีคนก้าวไวๆ เข้ามา ขัดเสียงหัวเราะ

“อาจารย์ ฝ่าบาทรับสั่งให้คุณหนูจวินไปช่วยรักษาผู้ป่วยฝีดาษที่นอกเมืองแล้ว” ท่านหมอเกิ่งเอ่ย

ในเมื่อฮ่องเต้รับสั่ง ถ้าอย่างนั้นคุณหนูจวินก็ไม่อาจพูดถึงกฎอะไรได้แล้ว

ในห้องเงียบไปครู่หนึ่ง หมอหลวงเจียงตบมือ

“คราวนี้ดีแล้ว ฮ่องเต้เมตตาปราดเปรื่อง ชาวบ้านมีทางรอดแล้ว” เขาเอ่ย

ในห้องบรรดาหมอหลวงก็ยืนขึ้นมาสีหน้าปลื้มปิติ

“ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็รอคุณหนูจวินช่วยรักษาประชาชน ขจัดฝีดาษ” พวกเขาเอ่ย “นี่เป็นบุญกุศลใหญ่ครั้งหนึ่งจริงๆ

พูดจบทุกคนก็สบตากันทีหนึ่ง หัวเราะลั่นอีกครั้ง ยิ่งหัวเราะยิ่งดัง มีคนไม่ค้ำโต๊ะเก้าอี้ไม่อาจยืนอยู่

ครั้งนี้เจียงโหย่วซู่ก็หัวเราะตามด้วยแล้ว ยื่นมือลูบเครา ในดวงตาเต็มไปด้วยความเย้ยหยันและสาแก่ใจ

ก่อนหน้านี้เจ้ากลิ้งกลอกพายเรือตามน้ำสมอ้างว่าหวัดของไหวอ๋องเป็นฝีดาษหวังสร้างชื่อเสียง ตอนนี้กรรมตามสนองแล้ว

เจ้ารักษาฝีดาษหายได้ ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ไปรักษาเถอะ ให้เจ้ารักษาจนพอ

……………………………………….