ตอนที่ 411 เจ้าอาวาสน้อย ช่างโชคดีเรื่องความรักจริงๆ เลย

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 411 เจ้าอาวาสน้อย ช่างโชคดีเรื่องความรักจริงๆ เลย

เข้าสู่เดือนสิบเอ็ด เมืองหลีก็ยิ่งหนาวขึ้นเรื่อยๆ หิมะก็ตกบ่อยจนเป็นชั้นหนา อากาศหนาวเย็นทำให้ผู้คนทนไม่ไหวจนต้องหดตัวอยู่ในผ้าห่มไม่ขยับเขยื้อน

เช่นเดียวกันกับโจวหนิง ที่วันนี้นางจะต้องไปที่ร้านเฟยฉางเต๋า นางถูกสาวใช้ปลุกขึ้นมาด้วยความสะลึมสะลือ นางลุกขึ้นมาจากเตียงนอนขณะที่กำลังหาว และหันตัวกลับไปให้ฉินซูคลุมเสื้อคลุมให้

ฉินซูกลับส่งเสียงกรีดร้องออกมา และใช้เสื้อคลุมห่อนางไว้แน่นทันทีตามจิตใต้สำนึก

โจวหนิงตื่นตกใจ อาการสัปหงกต่างพลันวิ่งหายไปแล้ว นางเอ่ยถามขึ้นตาลีตาเหลือก “เป็นอะไรไป”

“คุณหนู คุณหนูเจ้าคะ ฮือๆ…เหอะๆ” ฉินซูที่ทั้งตกใจ ดีใจ ร้องไห้ และทั้งหัวเราะ

โจวหนิงที่เห็นเหตุการณ์ยิ่งไม่แน่ใจ จึงเอ่ยขึ้นอย่างรีบร้อน “เป็นอะไรกันแน่ เจ้าอย่าทำให้ข้าตกใจ”

“บ่าวผิดไปแล้วเจ้าค่ะ คุณหนูเจ้าคะ คุณหนูหายดีแล้ว อาการป่วยของท่านหายแล้ว” ฉินซูยิ้มและกำลังเช็ดที่หางตา

อาการป่วยหายแล้วอย่างนั้นหรือ

โจวหนิงที่งุนงง ฉับพลันก็นึกอะไรขึ้นได้ นางจึงดึงเสื้อคลุมออก ชะโงกหน้าไปมองด้านหลังกางเกงชั้นในสีขาวหิมะ และสัมผัสกับสีแดงฉูดฉาดที่พุ่งเข้ามาในสายตาของนาง

“นี่…”

ฉินซูย่อเข่าทำความเคารพ และเอ่ยขึ้น “ยินดีกับคุณหนูด้วยเจ้าค่ะ ท่านได้โตเป็นสาวแล้ว”

โจวหนิงที่มึนงงอยู่นาน สักพักหนึ่งน้ำตาก็ไหลกลิ้งลงจากดวงตา และกอดฉินซูไว้พร้อมกับร้องไห้ขึ้น

ในตอนเช้าตรู่นี้ ในที่สุดนางก็สามารถเอาความน้อยใจและความตกใจกลัวทำอะไรไม่ถูก ร่ำไห้ปลดปล่อยอารมณ์ออกมาอย่างเต็มที่

ฉินซูตบปลอบนางเบาๆ เอ่ย “คุณหนูหยุดร้องไห้ได้แล้วเจ้าคะ บ่าวจะไปเตรียมของพวกนั้นมาให้คุณหนูใช้”

ใบหน้าของโจวหนิงร้อนผ่าว พยักหน้าขณะที่กำลังเช็ดน้ำตา และเผยยิ้มออกมา

เมืองหลี เป็นดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ของนางจริงๆ

โจวเวยรู้สึกว่าวันนี้น้องสาวของตนนั้นแปลกๆ ไป ตอนเดินก็ดูเหมือนจะไม่ปกติ คล้ายกับว่าซ่อนอะไรอยู่ แล้วยังก้มหน้าเล็กน้อย มองอย่างไรก็รู้สึกแปลกๆ

“น้องหญิง น้องหญิงเป็นอะไรไป ไม่สบายตรงไหนของร่างกายหรือ” โจวเวยอดไม่ได้ที่จะถามขึ้น

ใบหน้าของโจวหนิงแดงก่ำ เงยหน้าขึ้นมองเขาครู่หนึ่ง เอ่ยขึ้นด้วยความเหนียมอาย “ท่านพี่ อาการป่วยของน้องดีขึ้นแล้ว”

“อ๋อ” โจวเวยตาเบิกโพลง “อะไรนะ”

อาการป่วยของนางดีขึ้นแล้วอย่างนั้นหรือ

หมายความอย่างที่เขาคิดหรือไม่

“หายป่วยแล้ว แสดงว่าน้อง…”

ทันใดนั้นโจวหนิงก็ใช้แขนเสื้อมาปิดใบหน้า กระทืบเท้าด้วยความเขินอาย “พี่ชาย”

โจวเวยที่เห็นเหตุการณ์ ยังมีอะไรตรงไหนที่ไม่เข้าใจอีก ใบหน้าก็เริ่มร้อนขึ้นมาเล็กน้อย ปลายหูขึ้นสีแดง เขาปิดปากกระแอมกระไอ เอ่ย “ในเมื่อหายป่วยแล้ว อย่างนั้นก็ไปพบท่านอาจารย์ พวกเราก็กลับไปแล้ว ท่านพ่อกับท่านแม่ก็เร่งมาแล้ว”

ถึงปากจะแสร้งทำเป็นไม่สะทกสะท้าน ทว่าในใจกลับรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก อาการป่วยของน้องสาวหายแล้ว หลังจากนี้ท่านพ่อท่านแม่ก็คงจะวางใจได้แล้ว

โจวหนิงเองก็อยากที่บอกข่าวดีนี้กับท่านพ่อเช่นกัน แต่ก็อยากที่จะขอบคุณฉินหลิวซีเสียเหลือเกิน ใบหน้าก็พลันเงียบสงัดลงและเอ่ย “พี่ชาย ในเมื่ออาการป่วยของน้อง ท่านอาจารย์เป็นผู้รักษาให้หายแล้ว ค่ารักษานี้ก็ต้องเพิ่มอีก พี่ชายออกให้ก่อน กลับไปน้องจะใช้เงินออมส่วนตัวคืนให้”

โจวเวยหัวเราะฮาๆ แล้วลูบที่หัวของนางพร้อมกับเอ่ยขึ้น “จะใช้เงินออมส่วนตัวของน้องได้อย่างไร น้องเก็บไว้เป็นสินเดิม[1]เถิด ไม่ต้องห่วง พี่ใหญ่ไม่ให้น้อยหรอก”

โจวหนิงเม้มริมฝีปาก ใบหน้ารูปไข่แดงก่ำ

ฉินหลิวซีไม่คิดเลยว่าตนเองจะถูกกอดอย่างแนบแน่นตั้งแต่เช้าตรู่ ร่างแข็งขืน ผลักโจวหนิงออกไปเล็กน้อย เงยหน้าขึ้นมองนาง เมื่อเห็นใบหน้าที่แดงระเรื่อราวกับแสงสีแดงพุ่งสู่สรวงสวรรค์ ความมืดมนในอดีตก็พลันเปลี่ยน กลายเป็นความสดใสของกลีบดอกไม้สีชมพูล่องลอย

นางจับไปที่เส้นชีพจรของโจวหนิงก็รู้ในใจเลยทันที จึงเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ฟื้นฟูได้ไม่เลวเลย ยาที่สั่งให้ไปก่อนหน้านี้ไม่ต้องกินแล้วนะ ข้าจะเปลี่ยนใบสั่งยาเป็นการเสริมหยินและบำรุงเลือดให้กับเจ้า”

โจวหนิงที่เห็นนางเอ่ยเช่นนี้ ขอบตาก็ยิ่งแดงขึ้น และถอยหลังไปหนึ่งก้าว และโค้งคำนับนางอย่างใหญ่ “ขอบใจท่านมาก”

ฉินหลิวซียกมือนางขึ้นเล็กน้อย เอ่ยขึ้น “ไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนั้นเลย นี่ก็ไม่ใช่โรคร้ายแรงอะไร เจ้าจ่ายค่ารักษา ข้าก็ออกตรวจผู้ป่วยมันก็ยุติธรรมดี”

โจวหนิงกลับคิดขึ้นมาในใจว่าสำหรับฉินหลิวซีอาจจะไม่ใช่อาการป่วยร้ายแรง แต่สำหรับนางนั้น เป็นเรื่องใหญ่มากๆ เพราะว่าถ้ารักษาไม่หาย ตลอดชีวิตของนางเอง กลัวว่าจะต้องออกบวช หรือว่าใช้ชีวิตในบั้นปลายอย่างลับๆ โดดเดี่ยวเดียวดายเช่นจวงจื่อ[2]

โจวเวยส่งถุงเงินถุงหนึ่งให้นางพอดี และเอ่ยขึ้น “ไม่ว่าอย่างไร ก็เป็นเพราะทักษะการแพทย์ที่ปราดเปรื่องของท่านอาจารย์ อาการป่วยของน้องสาวข้าถึงได้ทุเลาลง นี่เป็นเงินค่ารักษา”

ฉินหลิวซีรับมันมาโดยที่นางไม่แม้แต่จะมอง แล้วส่งต่อให้เฉินผีที่อยู่ด้านข้างทันที จากนั้นนางได้ส่งใบสั่งยาใบใหม่กลับไป เอ่ย “หลังจากนี้เปลี่ยนมาใช้ใบสั่งยาใบนี้ กินแค่หนึ่งเดือนก็พอแล้ว แล้วก็ไม่ต้องมารักษาซ้ำอีก วันมะรืนถือเป็นฤกษ์ดีในการเดินทางกลับ ข้าขอให้พวกเจ้าเดินทางโดยสวัสดิภาพ”

“ท่านรู้ว่าพวกเราจะไปหรือ” โจวหนิงเอ่ยขึ้นอย่างแปลกใจ

ฉินหลิวซีหัวเราะเบาๆ “อาการป่วยของเจ้าก็หายแล้ว ก็ต้องกลับไปบอกข่าวดีกับบิดามารดา พี่ชายของเจ้าก็มีตำแหน่งขุนนาง คงไม่สามารถอยู่ที่เมืองหลีนี้ได้นานเป็นปีได้หรอก”

“เช่นนั้นหลังจากนี้ข้ายังสามารถมาหาเจ้าได้หรือไม่” โจวหนิงเอ่ยถามขึ้น

“ไม่มาจะเป็นการดีที่สุด”

ใบหน้าของโจวหนิงชะงักงัน

ฉินหลิวซีเอ่ย “หากเจ้ามาหาข้า ก็แสดงว่าร่างกายเจ็บป่วย หรืออาจจะดวงตก ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่เรื่องดีนัก”

โจวหนิงถอนหายใจด้วยความโล่งอก เอ่ยขึ้น “คงไม่เป็นอย่างอื่นหรอกเนอะ”

“เป็นสิ” ฉินหลิวซีเอ่ย “หลังจากนี้หากยังมีโชคชะตา ก็อาจจะได้พบกันอีก”

โจวหนิงที่ได้ยินคำพูดที่ห่างเหินนั่น จึงได้ถอนหายใจ และเดินก้าวขึ้นมากอดนางอีกครั้ง เอ่ยขึ้นเบาๆ “ข้านึกว่าพวกเราจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันเสียอีก”

ฉินหลิวซีชะงักไปครู่หนึ่ง ตบหลังของนางเบาๆ

เมื่อตงหยางโหวเดินมาถึงที่หน้าร้านค้าพร้อมกับบ่าวรับใช้ ก็พลันเห็นฉากนี้พอดี ดวงตาเหยี่ยวกลมโตคู่นั้นเบิกโพลงขึ้น

นี่เขาเป็นนักพรตถึงต่อให้จะมีอิสระในการแต่งงาน แต่ว่าการกอดกับสตรีตอนกลางวันแสกๆ ก็ได้หรือ

ฉินหลิวซีผลักโจวหนิงออก มองไปยังใบหน้าที่มีความหมายลึกซึ้งของตงหยางโหว ทันใดนั้นก็ปวดหัวขึ้นมาทันที

ท่านเข้าใจผิดแล้ว ไม่ใช่อย่างที่ท่านเห็น

“ท่านอาจารย์ พวกเรามาฝังเข็ม” บ่าวรับใช้กระแอมกระไอ “ไม่ทราบว่ามาได้ไม่ถูกจังหวะหรือไม่”

ฉินหลิวซีเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่เป็นไร คนไข้ของข้าผู้นี้กำลังจะไปพอดี”

โจวเวยกำลังมองตงหยางโหวตาไม่กะพริบ สายตาหยุดลงที่จี้หยกที่อยู่ระหว่างเอว ดวงตามืดลง

ท่านผู้นี้ ดูเหมือนว่าจะเป็นตงหยางโหว เขาทำไมถึงได้มาที่เมืองหลี ได้ยินมาว่าแข้งขาของเขาเดินได้ไม่สะดวกนัก

โจวเวยมองไปที่ขาของเขาอีกครั้ง

ตงหยางโหวที่เหมือนจะรู้สึกได้ สายตาอันคมกริบหยุดลงตรงใบหน้าของเขา

โจวเวยสองมือประสานและโค้งตัวลง และเอ่ยกับฉินหลิวซีขึ้น “ท่านอาจารย์ เช่นนั้นพวกเราขอตัวลาก่อน”

“ไม่ได้ไปส่งนะ”

โจวหนิงทำความเคารพฉินหลิวซี และเดินตามโจวเวยไปด้วยความอาลัยอาวรณ์

โจวเวยเดินออกจากร้านค้าไป ไม่แปลกใจเลยสักนิดที่เห็นองครักษ์สองสามคนอยู่ทางเข้า ท่าทางการยืน และบุคลิกที่แข็งแกร่ง ชัดเจนว่าต้องออกมาจากกองทัพ

ดูเหมือนว่าการคาดคะเนของเขาไม่ผิด คนที่อยู่ด้านในนั้นคือตงหยางโหว และเขาก็มาหาฉินหลิวซีเพื่อฝังเข็ม ไม่ใช่ครั้งแรก ก็อธิบายได้ว่าก่อนหน้านี้ได้มารักษาแล้ว อาการคงจะทุเลาลงถึงได้มุ่งมั่นมาอีก

โจวเวยขดนิ้วมือ ถ้าหากขาของตงหยางโหวไม่ได้พิการ เช่นนั้นทะเลตงไห่ทางนั้น เขาก็ยังเป็นใหญ่อยู่ ผู้ใดอยากจะเข้าไปยุ่งกับกองทัพเรือตระกูลเยว่กัน เหอะๆ

ต้องกลับไปเตือนท่านพ่อเรื่องนี้ก่อน ตระกูลโจวมีเส้นสายอยู่ทางนั้น ว่าอย่าเพิ่งรนหาที่ตาย

ตงหยางโหวที่ไม่รู้ว่าโจวเวยจะมองทะลุตัวตนของเขาออกและเกิดความคิดซับซ้อนขนาดนี้ เขานั่งลงและเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มที่ดูเหมือนไม่ใช่รอยยิ้ม “เจ้าอาวาสน้อย ช่างโชคดีเรื่องความรักจริงเลยนะ”

ฉินหลิวซีเงยหน้าขึ้น แสยะปากยิ้มด้วยสีหน้าเดิมไม่เปลี่ยน “ทำเรื่องน่าอายให้ท่านหัวเราะหรือเนี่ย”

ตงหยางโหวหัวเราะ กำลังจะเอ่ยถึงความรักของหนุ่มสาว นางก็ได้เอ่ยขึ้นมาหนึ่งคำ “ลืมบอกท่านไป ที่จริงแล้วข้าเป็นนักพรตหญิง”

ตงหยางโหว “…”

[1] สินเดิม หมายถึง เงิน ทรัพย์สิน เสื้อผ้า เครื่องประดับ ของใช้ที่ฝ่ายหญิงติดตัวไปเมื่อตอนที่แต่งเข้าไปอยู่บ้านฝ่ายชาย

[2] จวงจื่อ คือนักปรัชญาคนสำคัญแห่งลัทธิเต๋าของจีนยุคโบราณ