ตอนที่ 325 ลำบากและเหนื่อยยากเพียงใดก็คุ้มค่า (2)
ซูชีกลายเป็นสหายของหนิงเซ่าชิงตั้งแต่เมื่อใด มั่วเชียนเสวี่ยตกตะลึงเล็กน้อย ทว่ารอยยิ้มบนใบหน้าไม่ได้เลือนราง ทั้งยังก้าวเดินไม่หยุด
แต่นางกลับรู้สึกว่าท่านหญิงซูซูจับมือตนแรงขึ้น คล้ายกำลังสั่นเทา
ปกติแล้วท่านหญิงซูซูเป็นคนไม่ค่อยใส่ใจเรื่องใด คิดไม่ถึงว่าเมื่อเจอบุรุษนางจะตื่นเต้นเช่นนี้ มั่วเชียนเสวี่ยลอบยิ้มแล้วหันไปมองนางเล็กน้อย
ดวงแก้มของนางแดงระเรื่อ แววตาของนางคล้ายถูกจุดให้ทอประกายขึ้นมาทันที นำกำมือแน่นเพราะความตื่นเต้น
มั่วเชียนเสวี่ยฉงนเล็กน้อย ทำได้เพียงเพิ่มแรงที่มือ จับมือของนางตอบ เป็นการปลอบโยน
หนิงเซ่าชิงเห็นมั่วเชียนเสวี่ยเดินเข้ามา รอยยิ้มในแววตาของเขาเลือนรางลงเพราะทั้งสองจับมือกัน คิ้วของเขาขมวดเล็กน้อย
เดิมทีด้วยฐานันดรศักดิ์ของหนิงเซ่าชิงไม่จำเป็นต้องลุกขึ้นต้อนรับ แต่เขาก็ลุกขึ้นยืนอย่างไม่รู้ตัว ยื่นมือออกไปพยุงมั่วเชียนเสวี่ย
เมื่อหนิงเซ่าชิงลุกขึ้น คนอื่นๆ ย่อมไม่อาจนั่งได้ พวกเขาลุกขึ้นยืนแล้วต้อนรับพวกนาง
เพียงแต่รอยยิ้มบนใบหน้าซูชีเป็นรอยยิ้มที่ฝืนยิ้มขึ้นมา มือที่ยื่นออกไปพยุงร่างอรชรที่เดินมา แม้ซูชีจะบอกตนเองนับหมื่นครั้งแล้ว สตรีคนนี้เป็นของหนิงเซ่าชิง ไม่ใช่ของตน แต่แววตาของเขาก็อดไม่ได้ที่จะหม่นหมอง
พยุงมั่วเชียนเสวี่ยเดินไปนั่งที่โต๊ะ หนิงเซ่าชิงชี้ไปที่คนบนโต๊ะแล้วแนะนำทีละคน “นี่คือซูจิ่นอวี้คุณชายอันดับหนึ่งแห่งตระกูลซู นี่คือคุณชายซูชี ส่วนคนคนนี้คือคุณชายหลูเจิ้งหยาง”
แม้มั่วเชียนเสวี่ยกับซูชีจะสนิทสนมกัน แต่ตอนแนะนำผู้อื่น ก็ไม่ลืมที่จะแนะนำซูชี
หลังจากแนะนำคนบนโต๊ะจนครบ เขามองไปที่มั่วเชียนเสวี่ยแล้วพูดแนะนำ “นี่คือมั่วเชียนเสวี่ยบุตรีสายตรงของท่านเจิ้นกั๋วกว ส่วนท่านนี้คือท่านหญิงซูซู”
มั่วเชียนเสวี่ยหันไปทางทุกคน มือทั้งสองข้างวางซ้อนกันที่ด้านขวาแล้วย่อตัวลงทักทาย “คารวะคุณชายใหญ่ตระกูลซู คารวะคุณชายซูชี คารวะคุณชายหลู” ไม่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างนางกับซูชีในการส่วนตัวจะเป็นเช่นไร แต่ต่อหน้าผู้คนยังคงต้องวางตัวอย่างเหมาะสม
ท่านหญิงซูซูฐานันดรศักดิ์สูงส่ง ไม่จำเป็นต้องทำความเคารพ แค่พยักหน้าตอนที่มั่วเชียนเสวี่ยทำความเคารพเท่านั้น
บุรุษทั้งสามคนลุกขึ้น โค้งตัวลงถือเป็นการทำความเคารพตอบ
จากนั้นหันหน้าไปทางท่านหญิงซูซูแล้วโค้งตัวลงทำความเคารพนางเช่นเดียวกัน ท่านหญิงซูซูฐานันดรศักดิ์สูงส่ง เพียงพยักหน้าตอบเขาเท่านั้น
หลังจากทำความเคารพกันแล้ว หมัวมัวทั้งสองค่อยลากเก้าอี้ออกมา แล้วคอยดูแลรับใช้คุณหนูของตนให้นั่งลง
ซูจิ่นอวี้ชูจอกขึ้น “แซ่ซูโชคดีเคยได้เห็นท่วงท่าสง่างามของคุณหนูใหญ่มั่วที่ท้องพระโรงถึงสองครั้ง ท่ามกลางคำร้องเรียนของข้าราชบริพาร ยามถูกครหา ต้องแบกรับความกดดันจากเหล่าขุนนาง อยู่ท่ามกลางสงครามน้ำลาย แต่คุณหนูใหญ่ยังคงเผชิญหน้ากับฝ่าบาทหน้าไม่เปลี่ยนสี ช่างเป็นหญิงที่มากความสามารถ จิ่นอวี้นับถือคุณหนูใหญ่เป็นอย่างยิ่ง”
นางกับตนไม่มีวาสนาต่อกัน และได้แคล้วคลาดกับน้องชาย เป็นภรรยาของหนิงเซ่าชิงที่เป็นทั้งศัตรูและมิตรสหาย แต่เขายังคงจะอวยพรนาง ขอให้นางมีความสุข
ซูจิ่นอวี้พูดจบ ดื่มสุราในจอกจนหมด
“กล่าวชมเกินไปแล้วเจ้าค่ะ กล่าวชมเกินไปแล้ว! ได้ยินมานานแล้วว่าคุณชายใหญ่ตระกูลซูเก่งทั้งบุ๋นและบู๊ สง่าผ่าเผยและจิตใจดี เป็นต้นแบบของสุภาพชน วันนี้ได้พบกับความสง่าผ่าเผยของคุณชายใหญ่ ถือเป็นเกียรติของข้ายิ่งนัก”
พูดจบ มั่วเชียนเสวี่ยก็ดื่มสุราในจอกจนหมดด้วยความกล้าหาญ อวิ๋นอิ๋นเตรียมสุราผลไม้สำหรับสตรีให้นางกับซูซู ทั้งยังมีหนิงเซ่าชิงอยู่ด้วย ดังนั้นดื่มเล็กน้อยก็ไม่เป็นเช่นไร
หลูเจิ้งหยางยกจอกขึ้น “สตรีอันดับหนึ่งแห่งเทียนฉี เฉียบขาดตามคาด เจิ้งหยางเคยได้ยินหัวหน้าตระกูลหนิงพูดถึงคุณหนูหลายครั้งแล้ว สมคำร่ำลือจริงๆ”
มั่วเชียนเสวี่ยตอบกลับ “ที่ใดกัน ที่ใดกัน!”
ซูชีไม่ได้พูดอะไรมาก ความหม่นหมองในแววตาของเขาเก็บไว้ส่วนลึกในใจแล้ว ยกจอกขึ้นยิ้มแล้วพูดอย่างไม่ผ่านการไตร่ตรอง “ยินดีด้วยขอรับ!”
เขาไม่ได้ไปเยี่ยมมั่วเชียนเสวี่ยที่จวนกั๋วกงหลายวันแล้ว มีเรื่องติดพันตลอดทุกวัน กว่าจะสะสางงานเสร็จฟ้าก็มืดแล้ว ไม่สะดวกที่จะไปหาที่จวน โนเวล-พีดีเอฟ
หลายครั้ง เขาทำได้เพียงยืนอยู่หน้าจวนกั๋วกงแล้วมองเงียบๆ
ไม่ว่านางจะเป็นสตรีของผู้ใด นางเคยบอกว่านางกับเขาเป็นมิตรสหายกัน…ไม่ว่าวันพรุ่งนี้จะเป็นเช่นไร เขาจะไปหานางให้ได้ สอนวิชากระบี่ให้นาง…ไม่ว่าจะมีเรื่องใหญ่เพียงใด ก็ไม่อาจขวางกั้นเขาได้…
วันข้างหน้า นางแต่งเข้าตระกูลหนิง เกรงว่าแค่พบเจอกันสักครั้งคงเป็นเรื่องยาก
คนฉลาดหลักแหลมเช่นเขา จะไม่รู้ได้อย่างไร เรื่องหลายอย่างล้วนเป็นเจตนาของหนิงเซ่าชิง
หลังจากพวกเขาไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบตามมารยาทแล้ว ก็พูดถึงกลอนกวีสองบทใหม่ที่มั่วเชียนเสวี่ยเพิ่งแต่ง
มั่วเชียนเสวี่ยตอบด้วยความถ่อมตนสองสามประโยค จากนั้นเบี่ยงเบนความสนใจของพวกเขาไปยังการศึกษาด้านบทกวีและทัศนคติต่างๆ
ขณะพูดคุย อวิ๋นอิ๋นนำอาหารมาให้จนครบแล้ว ทั้งยังอยู่ในห้องคอยรินสุราและน้ำ
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด มั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกว่าวันนี้อวิ๋นอิ๋นจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว…รู้สึกว่าทุกครั้งที่นางมองไปทางหลูเจิ้งหยาง แววตาของนางแปลกพิลึก…รู้สึกว่านาง…
ดูเหมือนว่าอยู่ในเมืองหลวงที่ว้าวุ่นเป็นเวลานาน จิตใจของนางก็เป็นเหมือนคนเหล่านั้น อ่อนไหวยิ่งนัก มั่วเชียนเสวี่ยส่ายหน้า สะบัดความคิดนี้ทิ้ง ยกจอกสุราขึ้น ยิ้มกว้าง
มั่วเชียนเสวี่ยทำงานต้อนรับมานานหลายปี วันนี้หนิงเซ่าชิงเป็นเจ้าภาพ ส่วนนางก็เป็นเจ้าของภัตตาคาร ทั้งยังเป็นว่าที่เจ้าสาวของหนิงเซ่าชิง แน่นอนว่านางเป็นคนจัดเตรียมทุกอย่าง สถานการณ์ยากจะคาดเดาเล็กน้อย ทว่าบรรยากาศครึกครื้นอย่างมาก
หนิงเซ่าชิง หลูเจิ้งหยางและซูจิ่นอวี้ล้วนเป็นผู้มีความรู้กว้างไกล นอกจากนี้ความรู้ด้านวรรณกรรมก็ไม่ธรรมดา ทว่า ตั้งแต่มั่วเชียนเสวี่ยและท่านหญิงซูซูเดินเข้ามาในห้อง หลังจากซูชีคารวะด้วยสุราเขาก็นั่งเงียบ นั่งพิงเก้าอี้ตัวใหญ่ หลับตาลง ไม่รักษามารยาทเท่าใดนัก
ทางด้านหนิงเซ่าชิง หลูเจิ้งหยางและซูจิ่นอวี้ก็ไม่ได้พูดเรื่องจริงจังแต่อย่างใด พวกเขาเสวนาเรื่องบทกลอน เรื่องจะซ้อมยุทธ์ที่ใด
มั่วเชียนเสวี่ยวิเคราะห์ในใจ ซูจิ่นอวี้คือคุณชายอันดับหนึ่งของตระกูลซู เช่นนั้นย่อมเป็นผู้สืบทอดที่ถูกกำหนดไว้ของตระกูลซู
ซูจิ่นหันเป็นน้องชายของเขา หลูเจิ้งหยางคือสหายคนสนิทของหนิงเซ่าชิง ทั้งสองฝ่ายมีอำนาจใกล้เคียงกัน ไม่ว่าจะมองเช่นไรก็ดูไม่เหมือนว่าพวกเขามีเวลาว่างจึงมานั่งเสวนาเรื่อยเปื่อยด้วยกัน คาดว่าก่อนที่พวกนางจะเข้ามาในห้องพวกเขาได้ทำข้อตกลงบางอย่างกันแล้ว ต่างฝ่ายต่างลองเชิงกัน พวกเขาพูดคุยตั้งแต่บทกวีไปจนถึงทัศนคติ แล้วพูดคุยด้านทัศนคติไปจนถึงหลักวัฏจักรแห่งธรรมชาติ
มั่วเชียนเสวี่ยฟังจนรู้สึกเบื่อ แต่ก็ไม่อาจพูดแทรกได้ นางหันไปมองท่านหญิงซูซูที่นั่งข้างๆ แต่กลับพบว่าท่านหญิงซูซูที่ปกติเสียงดังโผงผางและไม่ยี่หระต่อเรื่องใดๆ เวลานี้กลับนั่งก้มหน้างุดไม่พูดไม่จา ราวกับแมวที่ถูกตัดลิ้น นั่งอมยิ้มอยู่ข้างๆ เสมือนกุลสตรีจากตระกูลใหญ่
เวลานี้มั่วเชียนเสวี่ยเพิ่งนึกขึ้นได้ เมื่อครู่ตอนเดินเข้ามา ท่านหญิงซูซูทำตัวแปลกเล็กน้อย เมื่อครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว นางจึงพบว่า ยามท่านหญิงซูซูมองไปที่ซูชี แตกต่างจากก่อนหน้านี้อย่างชัดเจน
เมื่อมองไปที่ซูชี ท่าทีของเขาคล้ายวางตัวอย่างผ่าเผย แต่จากที่มั่วเชียนเสวี่ยรู้จักเขา นางกลับเห็นว่าเขามีเรื่องเศร้าเก็บไว้ในใจ
คนสองคนที่ตรงไปตรงมาไม่เคร่งในพิธีการ เมื่อพานพบกัน เหตุใดจึงกลายเป็นเช่นนี้ หากจะบอกว่าไม่มีเรื่องใดซ่อนเร้น ตีนางให้ตาย นางก็ไม่มีวันเชื่อ
ครุ่นคิด หรือว่า…จะจับคู่ให้พวกเขาสองคนดี?…
คนที่อยู่ในห้องอาหารล้วนเป็นคนงานยุ่ง หลังจากพูดคุยกันครู่หนึ่ง ซูจิ่นอวี้ลุกขึ้นแล้วบอกลา
ซูจิ่นอวี้กำลังจะกลับ แน่นอนว่าซูชีก็ไม่อยู่ต่อ เมื่อหลูเจิ้งหยางเห็นเช่นนี้ จึงลุกขึ้น
แม้พวกเขาจะยิ้มแย้มและบอกลากัน แต่ก็ไม่ได้ลุกขึ้น ในห้องอาหารแห่งนี้มีสตรีชั้นสูงอยู่ด้วย แน่นอนว่าต้องส่งสตรีชั้นสูงไปก่อน พวกเขาจึงจะไปได้