ตอนที่ 334 อย่าทำร้ายเอ้อร์เลิ่ง

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ตอนที่ 334 อย่าทำร้ายเอ้อร์เลิ่ง

ตอนที่ 334 อย่าทำร้ายเอ้อร์เลิ่ง

หลังจากผ่านค่ำคืนที่วุ่นวายบนรถไฟ ในที่สุดเฉินเจียเหอและถังจวิ้นเฟิงก็มาถึงเทศมณฑลจินซาน

ถังจวิ้นเฟิงและเพื่อนร่วมงานตรงไปที่สถานีตำรวจประจำเมืองก่อน เพื่ออธิบายสถานการณ์ให้ตำรวจท้องที่ทราบ

ความจริงแล้วคดีที่เกี่ยวกับการลักพาตัวและการค้ามนุษย์อย่างผู้หญิงและเด็กถือเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่เกิดขึ้นในท้องถิ่นอยู่บ่อยครั้ง

ผู้หญิงและเด็กในพื้นที่หลายคนถูกลักพาตัว บางส่วนก็ถูกพาเข้ามาจากต่างถิ่นเพื่อซื้อขาย

แม้ว่าพวกเขาทั้งหมดจะทราบดีถึงสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ก็เป็นเรื่องยากมากที่จะตรวจสอบจนเจอต้นตอ

เว้นแต่ผู้หญิงที่ถูกลักพาตัวจะสามารถหลบหนีและไปแจ้งความ พวกเขาถึงรู้ เรื่องแบบนี้ไม่สามารถพึ่งพาหูตาของคนในพื้นที่ได้

เป็นไปไม่ได้ที่พวกชาวบ้านจะแจ้งความและให้ความร่วมมือ

กลับกัน ชาวบ้านเหล่านั้นกลับร่วมแรงร่วมใจกันต่อต้านเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วยซ้ำ

ขณะที่ถังจวิ้นเฟิงพาเพื่อนร่วมงานไปทำความเข้าใจสถานการณ์กับตำรวจท้องที่ เฉินเจียเหอก็ล่วงหน้ากลับไปที่หมู่บ้านก่อน

คุณตาและคุณยายของเฉินเจียเหอเพิ่งตื่นในตอนเช้าและเพิ่งเปิดประตูบ้าน ทันใดนั้นพวกเขาก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าเฉินเจียเหอกลับมา

“เจียเหอ หลานมาที่นี่ทำไม?”

เฉินเจียเหอแก้ตัวไปว่า “คุณตา คุณยาย เพื่อนผมเดินทางมาทำงานด่วนที่นี่พอดี ช่วงนี้งานของผมไม่ค่อยยุ่งมาก ก็เลยขอร่วมทางเพื่อมาเยี่ยมพวกคุณครับ”

เฉินเจียเหอพูดพลางถือถุงบรรจุเนื้อกระป๋องที่ซื้อมาในราคาสูงจากร้านค้าสถานีรถไฟ

“เข้ามาก่อน”

คุณยายโจวประหลาดใจมากเมื่อเห็นเฉินเจียเหอ นางกำลังปรุงโจ๊กข้าวฟ่างบนเตาถ่าน จึงหยิบชามมาตักให้เฉินเจียเหอพร้อมกับหมั่นโถวแป้งขาว

“มา มากินข้าวเช้ากันก่อน”

เฉินเจียเหอรีบยื่นมือไปรับ “คุณยาย ผมตักเองก็ได้ครับ”

เฉินเจียเหอนั่งลงบนขอบเตียงเตา กินโจ๊กพร้อมกับตาของเขา คุณยายยิ้มพลางถามว่า “เซี่ยเซี่ยกับหู่จือสบายดีไหม?”

“ดีแล้ว พอเห็นว่าภรรยาและลูกชายของหลานมีไหวพริบและแนวโน้มที่ดี ตาของหลานกับยายก็ตายตาหลับได้อย่างสงบสุขแล้ว”

ใบหน้าเหี่ยวย่นจากความชราของคุณยายเต็มไปด้วยความโล่งใจ

“จริงสิ แล้วเซี่ยเซี่ยมีความคืบหน้าเรื่องเด็กในท้องบ้างไหม?” คุณยายอดไม่ได้ที่จะถาม

นี่เป็นข้อกังวลที่ใหญ่ที่สุดอีกข้อหนึ่งของนาง

พวกเขาแต่งงานกันมาครึ่งปีแล้ว ถึงเวลาอันสมควรที่จะมีพยานรักด้วยกันสักคน

“คุณยาย หล่อนยังเด็กอยู่เลยครับ”

“เซี่ยเซี่ยอายุยี่สิบต้น ๆ ไม่ถือว่าเด็กเกินไป อีกอย่าง คนที่รุ่นราวคราวเดียวกับหลานเขาก็มีลูกไปหมดแล้ว”

คุณยายเคยกระตุ้นให้เขาแต่งงาน ตอนนี้นางก็กระตุ้นให้เขามีลูกอีก พูดง่าย ๆ คือคนแก่มักจะมีความกังวลไม่รู้จบ

เฉินเจียเหอตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “พวกเรายังสนุกกับการทำงานอยู่ครับ”

“ถึงยังไงก็อย่าลืมคำนึงถึงเรื่องนี้ด้วย ถ้าพวกเธอมีลูก และมีชีวิตครอบครัวสี่คนพ่อแม่ลูกที่อบอุ่น พวกเราก็สบายใจ”

เฉินเจียเหอแอบคิดในใจว่าเขายังไม่กังวลเรื่องการมีลูก เพราะยังมีเรื่องอื่นที่ต้องกังวลอีกมาก

ผู้เฒ่าโจวหันไปพูดกับหญิงชราที่พูดเจื้อยแจ้ว

“เอาล่ะ ไปล้างหม้อเถอะ”

หญิงชรากำลังจะถือชามเดินออกไป เฉินเจียเหอจึงยกชามซดโจ๊กลงคอจนหมดภายในอึกเดียวแล้วลงจากเตียงเตา

“คุณยาย ผมเองครับ”

ผู้เฒ่าโจวมองไปที่เฉินเจียเหอแล้วพูดว่า “เธอนั่งลงเถอะ”

เขารอให้คุณยายโจวเดินออกไป จากนั้นผู้เฒ่าโจวก็วางบารากู่ที่แห้งเหือดของเขาลง แล้วมองดูเฉินเจียเหอพลางพูดว่า

“หลานมาที่นี่เพราะเรื่องของเอ้อร์เลิ่งใช่ไหม?”

ดวงตาของชายชราเต็มไปด้วยประสบการณ์ ไม่แปลกที่จะมองทะลุปรุโปร่งถึงทุกอย่าง

เฉินเจียเหอพยักหน้ายอมรับตามนั้น

ผู้เฒ่าโจวถอนหายใจ “ตารู้ว่าหลานเป็นเด็กที่ซื่อสัตย์ แน่นอนว่าไม่อยากเห็นความอัปยศพรรค์นั้น ถ้าหลานรู้สถานการณ์เมื่อไหร่ หลานต้องเข้าไปแทรกแซงแน่”

เฉินเจียเหอพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “คุณตา ผมไม่อยากให้เอ้อร์เลิ่งทำอะไรที่มันขัดต่อกฎหมายบ้านเมือง ผมไม่อยากให้เขาต้องรับโทษ เมื่อไหร่ก็ตามคนกระทำผิดกฎหมายแล้ว ผลลัพธ์ที่ตามมาไม่ใช่สิ่งที่คนในครอบครัวของพวกเขาจะรับไหว”

“ใช่ ตาก็กังวลเหมือนกัน”

เฉินเจียเหอถาม “เรื่องนี้เกิดขึ้นนานแค่ไหนแล้วครับ?”

“เกือบครึ่งเดือนแล้ว”

ผู้เฒ่าโจวบอกว่า “ตอนแรกเราก็ไม่รู้หรอก รู้แต่บ้านของเอ้อร์เลิ่งปิดประตูไม่รับแขก เราก็ยังไม่ได้สนใจ คิดว่าพวกเขาคงกลัวไก่ในบ้านจะวิ่งหนี จากนั้นเอ้อร์เลิ่งวิ่งออกมาที่บ้านของเราครั้งหนึ่ง บอกว่าพ่อของเขาซื้อภรรยามาให้ เพื่อที่หล่อนจะได้มีลูกให้เขา และขอให้ตาช่วยส่งข่าวดีไปบอกหลาน

ตาถึงได้ไปหาพ่อของเอ้อร์เลิ่ง ตั้งใจจะเตือนเขาว่าอย่าทำอะไรโง่ ๆ แต่เขากลับปฏิเสธที่จะเจอหน้าใคร แถมยังไม่ยอมออกไปทำงานในไร่นา หลังจากนั้นพวกเขาก็ล็อกประตูจากด้านใน ไม่ยอมให้เอ้อร์เลิ่งออกไปไหนมาไหนอีก ตาไม่มีโอกาสที่จะคุยกับพวกเขาด้วยเหตุและผลอีก พอเป็นแบบนี้แล้วโทรแจ้งตำรวจไม่ได้ ตายิ่งกังวลแทบตาย”

ในฐานะอดีตครูเกษียณอายุ ผู้เฒ่าโจวจึงเป็นคนรอบรู้เรื่องกฎหมายมาก

แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ใส่ใจเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนบ้านด้วย

“ผมขอออกไปหาเอ้อร์เลิ่งก่อน”

เมื่อเฉินเจียเหอออกไป เขาก็พบว่าประตูไม้ของบ้านเอ้อร์เลิ่งถูกปิดไว้อย่างแน่นหนา ไม่สามารถผลักเปิดเข้าไปได้

เขาจึงเคาะประตูอย่างแรง “เอ้อร์เลิ่ง ฉันกลับมาแล้ว”

“เอ้อร์เลิ่ง เปิดประตู”

เอ้อร์เลิ่งได้ยินเสียงของเฉินเจียเหอจากในสนาม จึงส่งเสียงตอบรับด้วยความตื่นเต้น และวิ่งไปหมายจะเปิดประตูให้

ทว่าพ่อของเขาวิ่งออกมาจากบ้านอย่างรวดเร็ว แล้วคว้าตัวเขาไว้ “หยุดเลย ไม่ต้องออกไปไหนทั้งนั้น”

เอ้อร์เลิ่งตะโกนบอกพ่อของเขาด้วยน้ำเสียงร่าเริง “พ่อ ฉันได้ยินเสียงต้าเหอ ต้าเหอกลับมาแล้ว”

“กลับเข้าไปในบ้านซะ”

ในห้องเล็ก ๆ ทางปีกตะวันออก เด็กสาวคนหนึ่งที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามประตูได้ยินเสียงเอะอะของเอ้อร์เลิ่ง ทันใดนั้นดวงตาของหล่อนที่บวมจากการร้องไห้พลันสว่างขึ้นทันที

ต้าเหอ?

เขาคือเพื่อนที่ทำงานอยู่ในเมืองที่เจ้าโง่นี่พูดถึงอยู่ทุกวันไม่ใช่เหรอ?

เฉินเจียเหอได้ยินการสนทนาระหว่างเอ้อร์เลิ่งกับพ่อของเขาจากข้างนอก แต่ยังคงเรียกหาเอ้อร์เลิ่งต่อไป

“เอ้อร์เลิ่ง ฉันซื้อเสื้อผ้าใหม่สองชุดมาให้นายด้วย ออกมาหาฉันเร็ว”

พ่อของเขาผลักเอ้อร์เลิ่งให้กลับเข้าไปในบ้าน เขาเดินไปที่ประตู แล้วตะโกนบอกคนข้างนอกด้วยน้ำเสียงไม่รับแขก “เอ้อร์เลิ่งยังมีเรื่องต้องทำ ขอบคุณสำหรับเสื้อผ้า แต่เธอกลับไปก่อนเถอะ”

ทัศนคติของพ่อเอ้อร์เลิ่งที่มีต่อเฉินเจียเหอเต็มไปด้วยความต่อต้าน เขาแตกต่างไปจากเมื่อก่อนอย่างสิ้นเชิง

เฉินเจียเหอเดาว่าพ่อของเอ้อร์เลิ่ง อาจจะเข้าใจความตั้งใจของเขาที่กลับมาอย่างกะทันหัน

เฉินเจียเหอยังคงทำหน้าที่ของเขาต่อไป “ลุงครับ ปล่อยให้เอ้อร์เลิ่งออกมาหาผมเถอะ ผมไม่ได้เจอเขามานานแล้ว”

“เธออยากเจอเขาไปทำไม?”

น้ำเสียงของพ่อเอ้อร์เลิ่งเต็มไปด้วยคำเตือน “เฉินเจียเหอ ถ้าเธอยังถือว่าเอ้อร์เลิ่งเป็นเพื่อนของเธอจริง ๆ อย่าพยายามทำร้ายเขา เข้าใจไหม?”

“ลุง เอ้อร์เลิ่งเป็นเพื่อนผม แล้วผมจะทำร้ายเขาได้ยังไง? ผมอยากช่วยเขาต่างหาก”

“ถ้าอย่างนั้นก็ออกไปจากที่นี่ แล้วแสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น” เสียงของพ่อเอ้อร์เลิ่งเปลี่ยนจากคำเตือนเป็นประโยคขอร้อง “เขาแตกต่างจากเธอ เขาเป็นคนน่าสงสาร”

“ลุง ถ้าเอ้อร์เลิ่งเป็นคนน่าสงสาร แล้วผู้หญิงคนนั้นไม่ยิ่งน่าสงสารกว่าเหรอครับ?” เฉินเจียเหอถามด้วยน้ำเสียงทุ้ม

ไม่มีเสียงตอบกลับจากคนที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของประตู

เฉินเจียเหอไม่ได้ยินเสียงฝีเท้า แต่รู้ว่าพ่อของเอ้อร์เลิ่งยังยืนอยู่ที่ประตู เขาพูดต่อไป “ลุงครับ เราไม่ควรทำอะไรก็ตามที่เป็นการละเมิดศักด์ศรีความเป็นมนุษย์ของคนอื่น”

พ่อของเอ้อร์เลิ่งรีบแสดงจุดยืนของเขา “เราไม่ได้ละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของใคร ทั้งครอบครัวของเราปฏิบัติต่อหล่อนอย่างดีที่สุด ตราบใดที่เรายังมีชีวิตอยู่ เราจะไม่ยอมให้หล่อนถูกใครพาตัวไป”

“ลุง แต่นั่นไม่เหมือนกันนะครับ”

พ่อของเอ้อร์เลิ่งปฏิเสธเสียงแข็ง “เจียเหอ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเธอ อย่าเสียเวลาเปล่ามาเกลี้ยกล่อมฉันเลย เธอไม่รู้สถานการณ์ของเอ้อร์เลิ่ง ถ้าเขาเป็นปกติเหมือนคนอื่น เราคงไม่จนตรอกจนทำแบบนี้ ต่างคนต่างอยู่เถอะ อย่าทำร้ายพวกเราเลย”

เฉินเจียเหอรู้ดีว่าการโน้มน้าวพวกเขาโดยตรงไม่มีประโยชน์

เขาคิดอยู่พักหนึ่ง ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็ขยับเล็กน้อย แล้วพูดหยั่งเชิงอีกครั้ง

“ลุง ผมมาที่นี่ครั้งนี้ก็เพราะมีเรื่องสำคัญมากอยากจะบอกคุณ”

“หยุดพูดเถอะ ฉันไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ฉันแค่อยากให้เธอออกไป”

เฉินเจียเหอพูดอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าเขาจะสนใจฟังหรือไม่ก็ตาม

“ผมมีโอกาสได้เจอกับหมอเทวดาคนหนึ่งในไห่เฉิง เขาสามารถรักษาโรคที่หายขาดยากและมีความซับซ้อนได้ทุกประเภท คุณน่าจะรู้ว่าเจียวั่งน้องชายผมป่วยมาหลายปีแล้ว ทันทีที่ปู่ผมรู้เรื่องหมอคนนี้จากเพื่อนว่าเขามีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยม ก็รีบพาเจียวั่งไปรับการรักษาจนตอนนี้สภาพร่างกายเกือบจะหายดี ผมอยากให้คุณลองปรึกษาเรื่องนี้กับพี่ใหญ่ และพาเอ้อร์เลิ่งไปรักษาดู”

คำพูดของเฉินเจียเหอกระตุ้นความสนใจของพ่อเอ้อร์เลิ่งได้สำเร็จ “รักษาเหรอ?”

………………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

พี่เหอสู้ๆ นะคะ การโน้มน้าวคนที่มันมีอคติอยู่ในใจอยู่แล้วมันเป็นเรื่องยาก เพราะเขาจะไม่เปิดรับความเชื่อใดๆ ที่แตกต่างจากความเชื่อของตัวเองเลย

ไหหม่า(海馬)