ตอนที่ 262

My Disciples Are All Villains

“ข้าจะเป็นคนพิสูจน์เอง” ต้วนมู่เฉิงได้ปักหอกราชันย์เอาไว้ข้างๆ ฝานซง

ฝานซงที่อยู่ใกล้ๆ เกือบจะเซล้มไปเพราะน้ำหนักของหอกราชันย์ โชคยังดีที่ตัวเขาเดินพลังลมปราณเพื่อทรงตัวเอาไว้ได้ทัน

หมิงซี่หยินเองก็หลีกทางให้ต้วนมู่เฉิงเดินเข้าไปยังถ้ำแห่งเงาสะท้อน

ด้วยร่างกายอันกำยำที่ต้วนมู่เฉิงมีการที่จะจับซู่ฮ่องกงขึ้นมาจึงไม่ใช่เรื่องยากอะไร ในตอนนี้ซู่ฮ่องกงเป็นเหมือนกับลูกไก่ในกำมือของเขาเป็นที่เรียบร้อย ต้วนมู่เฉิงได้วางฝ่ามือลงบนตัวของซู่ฮ่องกงเพื่อที่จะถ่ายทอดพลังลมปราณเข้าไปในร่างกาย

“อย่าขยับ! “

ซู่ฮ่องกงไม่ได้ต้องการที่จะหัวเราะออกมา ตัวเขาไม่สามารถที่จะหักห้ามตัวเองได้ “ข้า…ข้าไม่ได้ตั้งใจที่จะเคลื่อนไหวศิษย์พี่ ข้าแค่…มัน…” ซู่ฮ่องกงได้หัวเราะออกมาอีกครั้งก่อนที่จะพูดออกมาด้วยความลำบากใจ “แต่…มันจั๊กจี้ ข้าห้ามตัวเองไม่ได้เลย” ซู่ฮ่องกงได้แต่ใช้ความคิดอยู่ภายในใจ ‘ข้าเองก็ไม่ได้อยากทำแบบนี้หรอก ข้าจะหัวเราะให้ขายหน้าตัวเองทำไมกัน? ในตอนนี้ทุกคนกำลังรวมตัวกันอยู่ที่นี่ ไม่ว่ายังไงข้าก็ยังเป็นศิษย์ของศาลาปีศาจลอยฟ้าอยู่ดี! ‘

ต้วนมู่เฉิงไม่ได้สนใจตอะไรซู่ฮ่องกง ตัวเขาได้ตรวจสอบร่างกายของซู่ฮ่องกงอย่างถี่ถ้วนแทน

ซู่ฮ่องกงไม่กล้าที่จะต่อต้านพลังลมปราณของผู้เป็นศิษย์พี่ ตัวเขาได้ปล่อยให้ต้วนมู่เฉิงตรวจสอบร่างกายของเขาตามสบาย

หลังจากนั้นครู่หนึ่งต้วนมู่เฉิงก็ได้ตรวจสอบร่างกายของซู่ฮ่องกงจนเสร็จ ตัวเขาได้กลับไปหาลู่โจวพร้อมกับโค้งคำนับให้ “ท่านอาจารย์ ข้าได้ตรวจสอบร่างกายของเขาแล้ว ไม่พบอะไรที่น่าสงสัยเลยครับ”

หมิงซี่หยินที่ได้ฟังแบบนั้นตกตะลึง ‘นี่ข้าทำไปเพื่ออะไรกัน…ข้าก็แค่หวาดระแวงเกินไปอย่างงั้นหรอ ท่านอาจารย์จะต้องตำหนิข้าแน่’

ลู่โจวที่ได้ฟังแบบนั้นได้ส่ายหัวก่อนที่จะตอบกลับมา “นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเจ้าแปดจะไม่ได้ถูกเวทมนตร์คาถาอะไรในอนาคต เจ้าสี่พูดถูกแล้วล่ะ”

“ศิษย์ถูกกล่าวหาเท่านั้น! ” ใบหน้าของซู่ฮ่องกงเปียกโชกไปด้วยน้ำตา ตัวเขาไม่เคยรู้สึกเสียใจในชีวิตมาก่อนจนถึงวันนี้

หมิงซี่หยินถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกก่อนที่จะพูดต่อไป “ศิษย์น้องแปด แม้ว่าเจ้าจะรอดไปได้แต่ข้าก็ม่ได้เชื่อใจเจ้าหรอกนะ หนูขโมยทั้งห้าได้เอาเสื้อคลุมวิถีเซนของเจ้าไปแต่กลับไม่พอเจ้าไปด้วย เจ้าคิดว่าศิษย์น้องเจ็ดจะคิดช่วยเจ้าสินะ? เจ้านั่นมันก็แค่หลอกใช้เจ้าก็เท่านั้น”

เมื่อได้ยินคำว่า ‘เสื้อคลุมวิถีเซน’ ซู่ฮ่องกงก็หน้าเปลี่ยนสีไป สำหรับซู่ฮ่องกง ตัวเขาได้รักเสื้อคลุมชิ้นนี้มากที่สุดแล้ว การเอาเสื้อคลุมวิถีเซนออกจากตัวไปก็เหมือนกับการพรากชีวิตของตัวเขาไปด้วย ในตอนนั้นเองซู่ฮ่องก็ได้พูดออกมา “ท่านอาจารย์…ศิษย์มีอะไรจะต้องพูด! “

“พูดมา”

“ศิษย์รู้ดีว่าท่านอาจารย์ต้องการจะลงโทษศิษย์พี่เจ็ด…ศิษย์มีแผน! ” ซู่ฮ่องกงได้พูดออกมา หมิงซี่หยินรู้สึกสับสนเป็นอย่างมาก

ทุกคนต่างก็จ้องมองซู่ฮ่องกงด้วยความสับสน

‘เจ้านี้พยายามนำเสนอแผนด้วยมันสมองที่มีอย่างงั้นหรอ? ‘

‘ทำไมมันฟังดูไม่น่าเชื่อถือเลย…’

“อย่างเจ้าน่ะหรอคิดเสนอแผน? หวังว่าแผนของเจ้าคงจะไม่ใช่แผนโง่ๆ หรอกใช่ไหม? ” หมิงซี่หยินได้พูดออกมาอย่างเย้ยหยัน

ซู่ฮ่องกงได้ยิ้มออกมาอย่างเขินอาย เขาเคยชินกับการถูกเย้ยหยันแบบนี้แล้ว เพราะแบบนั้นตัวเขาจึงไม่ได้รู้สึกโกรธแค้นอะไร ซู่ฮ่องกงได้พูดต่อ “ท่านอาจารย์ ข้ารู้ว่าศิษย์พี่เจ็ดและหนูขโมยทั้งห้าจะต้องพบกันที่ไหน! “

คำพูดของซู่ฮ่องกงทำให้ทุกคนที่ฟังอยู่ตกใจ

หมิงซี่หยินรีบถามออกมาอย่างรีบร้อน “ศิษย์น้องเจ็ดชอบทำตัวลึกลับอยู่เสมอ คนอย่างเจ้านั่นจะบอกความลับให้เจ้าได้ล่วงรู้ได้ยังไงกัน? “

ซู่ฮ่องกงได้พูดต่อไป “ข้าบังเอิญค้นพบความลับเรื่องนี้เข้า และยิ่งไปกว่านั้นสมัยก่อนศิษย์พี่เจ็ดก็เชื่อใจข้ามาก”

“เพราะแบบนั้นเจ้าก็เลยเปลี่ยนเป็นทรยศเจ้านั่นแทนสินะ? ” หมิงซี่หยินได้พูดออกมาอย่างประชดประชัน

“…” ซู่ฮ๋องกงถึงกับพูดไม่ออก ‘ศิษย์พี่สี่แค้นอะไรข้ากันนักหนา? ถ้าหากข้าต้องตายไปก็คงจะเป็นเพราะศิษย์พี่สี่นี่แหละ! ‘

“ที่ไหนกัน? ” ลู่โจวถามออกมา

ข้อมูลของซู่ฮ่องกงอาจจะไม่ได้มีความหมายอะไรเลย แต่ถึงแบบนั้นฟังเอาไว้ก่อนก็ไม่ได้เสียหายอะไร ยิ่งไปกว่านั้นมีความเป็นไปได้สูงที่ศิษย์คนที่เจ็ดจะวางกับดักเอาไว้ที่นั่น แต่ถึงแบบนั้นลู่โจวก็ไม่ได้เกรงกลัวอะไร ตัวเขาต้องการที่จะไปเจอกับสีวู่หยาให้ได้ กับดักเล็กๆ น้อยๆ คงจะไม่มีค่าอะไรถ้าหากจะต้องเผชิญหน้ากับพลังที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริง

“ร้านอาหารสายลมในเมืองทางตอนเหนือ” ซู่ฮ่องกงได้ตอบกลับมาอย่างเร่งรีบ

“เหล่าอัศวินดำได้ระงับเหตุความวุ่นวายในเมืองทางตอนเหนือไปก่อนหน้านี้แล้ว แต่ทำไมหนูขโมยทั้งห้ายังกล้าที่จะกลับไปยังเมืองทางตอนเหนือได้กัน? ” จ้าวยู่ที่ได้ฟังก็ถามออกมาอย่างสงสัย

“ที่ที่อันตรายที่สุดคงจะเป็นที่ที่ปลอดภัยด้วยที่สุดล่ะนะ…ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่มีใครรู้ว่าพวกหนูขโมยทั้งหมดมีหน้าตาเป็นยังไง แม้ว่าจะเจอพวกเขาที่กลางท้องถนนแต่ถึงแบบนั้นก็คงจะไม่มีใครจำพวกมันได้แน่ ข้าไม่แปลกใจเลยจริงๆ ที่เจ้าพวกนั้นจะนัดพบกันที่เมืองทางตอนเหนือนั่นน่ะ” หมิงซี่หยินเองก็เห็นด้วย

ลู่โจวหันไปหาหมิงซี่หยิน “หมิงซี่หยิน”

“ครับท่านอาจารย์”

“เจ้าไปที่เมืองทางตอนเหนือและพาสีวู่หยากลับมาซะ…”

ลู่โจวได้พูดต่อ “แล้วบอกเจ้าพวกหนูขโมยทั้งห้าด้วยล่ะว่าให้มาขอขมาข้าที่นี่จะดีกว่า ไม่งั้น…”

เมื่อหมิงซี่หยินได้ยินคำว่าไม่งั้น ตัวของเขาก็สั่นเล็กน้อย ดูเหมือนว่างานในครั้งนี้ตัวเขาจะพลาดไม่ได้แล้ว

พลังวรยุทของสีวู่หยาถูกผนึกเอาไว้ การที่จะจับตัวเขาเอาไว้ก็คงจะไม่ใช่เรื่องยาก ก่อนหน้านี้หมิงซี่หยินก็ไม่สามารถที่จะจับกุมตัวศิษย์ทรยศคนนี้ได้สำเร็จ เพราะแบบนั้นตัวเขาจึงรู้สึกไม่พอใจเรื่อยมา ตอนนี้หมิงซี่หยินได้รับข้อมูลมาแล้ว เขาคงจะใช้ประโยชน์จากข้อมูลนี้ได้แน่ ‘คนเรามักจะเรียนรู้กับความผิดพลาดครั้งแรกเสมอ…ในตอนนั้นศิษย์พี่รองอยู่กับศิษย์น้องเจ็ด…ข้าสงสัยจริงๆ ว่าในคราวนี้ศิษย์น้องเจ็ดจะอยู่ข้างใครอีก? ‘ แม้ว่ายู่ฉางตงจะเป็นนักดาบผู้เก่งกาจมากสักแค่ไหน แต่ถึงแบบนั้นเขาก็ไม่มีทางที่จะเป็นผู้คุ้มกันส่วนตัวให้กับสีวู่หยาได้ตลอดไปแน่

“ครับท่านอาจารย์! ” หมิงซี่หยินได้ถอยกลับไปด้านข้างก่อนที่จะจากไปอย่างไม่ได้รีบร้อนอะไร

ซู่ฮ่องกงที่เห็นแบบนั้นก็ได้พูดต่อไป “ท่านอาจารย์…นี่ถือเป็นความดีความชอบใช่ไหมครับ? ได้โปรดเถอะท่านอาจารย์, ศิษย์พี่ ได้โปรดทวงคืนเสื้อคลุมวิถีเซนให้กับข้าด้วย! “

ลู่โจวจ้องไปที่ซู่ฮ่องกงก่อนที่จะพูดออกมา “เจ้าน่ะเป็นแค่ศิษย์ทรยศที่คิดขายข้อมูลของพวกเรา…เจ้าคิดว่าพวกเราจะจัดการกับเจ้ายังไงกัน? “

ซู่ฮ่องกงไม่กล้าที่จะขอร้องอะไรอีกต่อไป ตัวเขาได้แต่ก้มหน้ายอมรับผิดแต่โดยดี “ศิษย์ผิดไปแล้ว! “

ในตอนนั้นเองสุดท้ายแล้วตัวเขาก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ซู่ฮ่องกงท้ายที่สุดแล้วก็ยอมเก็บงำความลับสถานที่นัดพบจนมาถึงตอนนี้ เห็นได้ชัดว่าศิษย์คนนี้ก็ยังเป็นคนที่เชื่อถือไม่ได้และเห็นแก่ตัวเป็นที่สุด!

“เฆี่ยน 50 ที…เจ้าสามจะเป็นผู้ลงโทษเจ้าเอง” ลู่โจวได้เอามือไขว้หลังก่อนที่จะหันไปรอบๆ

ในตอนนั้นเองใบหน้าของซู่ฮ่องกงก็ซีดเผือด ตัวเขาไม่สามารถทำอะไรได้นอกซะจากยอมรับโทษแต่โดยดี ลู่โจวผู้เป็นอาจารย์ไม่มีท่าทีที่จะเหลียวหลังกลับมามองหรือสงสารแต่อย่างใด เห็นได้ชัดว่าอาจารย์ผู้นี้ตั้งใจที่จะลงโทษตัวเขา การเฆี่ยน 50 ครั้งในครั้งนี้มันจะต้องเจ็บปวดกว่าการเฆี่ยนกว่า 100 ครั้งในครั้งที่แล้วอย่างแน่นอน ที่เป็นแบบนี้เพราะเป็นฝีมือของต้วนมู่เฉิงนั่นเอง

“ครับท่านอาจารย์” ต้วนมู่เฉิงที่ได้รับคำสั่งมาก็ได้กลับเข้าไปที่ถ้ำแห่งเงาสะท้อนอีกครั้ง ต้วนมู่เฉิงได้จับซู่ฮ่องกงนอนคว่ำลงกับแท่นหินก่อนที่จะเริ่มทำโทษในทันที

“ศิษย์พี่…ศิษย์พี่ได้โปรดเบามือกับข้าด้วยเถอะ…”

“ข้าขอโทษด้วยศิษย์น้อง…กฎยังไงก็ต้องเป็นกฎ ที่ข้าจะต้องหนักมือกับเจ้าไปก็เพราะประโยชน์ของตัวเจ้าเอง ถ้าหากทุกคนไม่ทำตามกฎของภูเขาทอง พวกเราจะกลับไปรุ่งเรืองเหมือนกับในอดีตได้ยังไงกัน? ” ต้วนมู่เฉิงได้พูดออกมาก่อนที่จะใช้ไม้ลงโทษซู่ฮ่องกงในทันที

ผั๊วะ!

“โอ๊ยยยยยยย! ” เสียงคล้ายกับหมูถูกเชือดได้ดังขึ้น

“ติ้ง! ลงโทษซู่ฮ่องกงสถานหนัก ได้รับแต้มบุญ: 500” ลู่โจวในตอนนี้ไม่ได้หันหลังกลับไปมองซู่ฮ่องกงด้วยซ้ำไป ตัวเขาได้เอามือไขว้หลังก่อนที่จะเดินกลับมาจากถ้ำแห่งเงาสะท้อน

“ขอให้เดินทางปลอดภัยท่านอาจารย์”

“ขอให้เดินทางปลอดภัยท่านปรมาจารย์”

ทุกๆ คนต่างก็ทำความเคารพให้กับลู่โจว

เมื่อลู่โจวได้เดินจากไปทุกๆ คนต่างก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก

หมิงซี่หยินที่ยังคงอยู่ได้พูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม “ศิษย์น้องแปด เจ้าน่ะหาเรื่องใส่ตัวเองนะ เจ้าควรจะขอบคุณที่ถูกเฆี่ยนแค่ 50 ครั้งเท่านั้น…ข้าคิดว่าท่านอาจารย์จะทำลายพลังวรยุทธไม่ก็ฆ่าเจ้าไปแล้ว”

“ขอบคุณ…ขอบคุณที่เป็นห่วงข้าศิษย์พี่…โอ๊ย! “

ผั๊วะ! ผั๊วะ!

แม้แต่ผู้ฝึกยุทธผู้ที่มีร่างกายที่แข็งแรงกว่าคนทั่วไปได้รับการลงโทษแบบนี้ ยังไงซะคนที่ถูกทำโทษจะต้องรู้สึกถึงความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสได้แน่ ยิ่งไปกว่านั้นต้วนมู่เฉิงยังเป็นคนที่ตรงไปตรงมา เขาไม่มีวันยอมผ่อนปรนกับการทำโทษนี้แน่ ต้วนมู่เฉิงได้ทำโทษซู่ฮ่องกงอย่างไร้ปรานี

น้ำตาได้ไหลอาบใบหน้าของซู่ฮ่องกงอีกครั้ง

หมิงซี่หยินที่เห็นแบบนั้นก็ได้แต่ส่ายหัวก่อนที่จะพูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม “ข้าจะคิดหาวิธีเอาเสื้อคลุมกลับมาให้เจ้าเอง”

เมื่อซู่ฮ่องกงได้ยินแบบนั้นตัวเขาก็มีความสุขมากขึ้น แม้ว่าจะถูกเฆี่ยนด้วยไม้หนา แต่ถึงแบบนั้นเขากลับรวบรวมเรี่ยวแรงที่เหลืออยู่คารวะหมิงซี่หยิน “ศะ…ศิษย์พี่…โอ๊ย! ข้าขอบคุณท่านจริงๆ ที่ดีต่อข้าถึงเพียงนี้! “

หมิงซี่หยินไม่ได้หันมาเหลือบมองผู้เป็นศิษย์น้องอีกต่อไป เขาหันหลังให้ก่อนที่จะจากไป

ฝานซงที่เห็นแบบนั้นก็ได้วิ่งไปหาหมิงซี่หยิน “ท่านหมิงซี่หยิน ท่านมีสติปัญหาและมันสมองที่ฉลาดเฉลียว ถ้าหากท่านหมิงซี่หยินไม่ทันระวังตัว ระวังศิษย์คนที่เจ็ดหลอกลวงไว้ด้วย…เอ่อข้าหมายถึงระวังคนทรยศคนนั้นหลอกลวงเอาไว้ด้วย”

“มีอะไรอีกไหม? ” หมิงซี่หยินพบว่าเรื่องนี้มันแปลก

“ไม่…ไม่มีอะไรแล้ว ข้าก็แค่อยากให้ท่านระวังตัวก็เท่านั้น คำพูดของข้าไม่ได้มีคำโกหกแม้แต่คำเดียว” ฝานซงได้พูดออกมาอย่างจริงจัง

“ข้าจะฟังไว้ก็แล้วกัน แม้ว่ามันจะดูเหมือนคำเยินยอแต่ข้าก็คิดว่าคำพูดของเจ้ามันจริงใจ…” หมิงซี่หยินได้ตอบกลับมาก่อนที่จะหายไปในพริบตา

ในตอนนั้นเองที่กระท่อมอันแสนเงียบสงบ

สีวู่หยาในตอนนี้ไม่ได้พยายามคลายพลังผนึกมนตราอีกต่อไป ตัวเขากำลังนั่งเอนกายอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ก่อนที่จะอาบแสงแดดอ่อนๆ ข้างๆ ตัวเขามีกองตำราเกี่ยวกับพลังมนตราอยู่จำนวนหนึ่ง “ท่านอาจารย์ไปเรียนรู้การใช้พลังมนตราระดับสูงมาเมื่อไหร่กัน? ” สีวู่หยาไม่สามารถหาคำตอบของคำถามนี้ได้เลย เพราะแบบนั้นตัวเขาก็ได้แต่สับสน

สีวู่หยาได้หาตำราทั้งหมดมาก็เพื่อที่จะมองหาวิธีคลายพลังผนึกมนตราด้วยตัวเอง ตัวเขาได้ลองวิธีการส่วนใหญ่ที่มีทั้งหมดในตำราไปหมดแล้ว แต่ถึงแบบนั้นก็ไม่มีวิธีไหนเลยที่สามารถคลายพลังได้

ในตอนนั้นเองผู้ฝึกยุทธชุดเทาก็ได้ปรากฏตัวขึ้น เขาเป็นหนึ่งในสาวกของสำนักแห่งความมืดนั่นเอง เขาได้คุกเข่าให้กับสีวู่หยาก่อนที่จะพูดออกมา “ท่านเจ้าสำนัก ข้าได้ตรวจสอบเรื่องของศาลาปีศาจลอยฟ้าแล้ว ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ได้ติดต่อะไรกับนักบวชชาวพุทธหรือแม้แต่นักพรตเต๋ายอดฝีมือเลย”

สีวู่หยาได้ลุกขึ้นมาอย่างช้าๆ ตัวเขาได้เดินไปรอบๆ กระท่อมที่กำลังพักอยู่

“ทั้งเรื่องนักบวชชาวพุทธยอดฝีมือที่แท่นบูชาศักดิ์สิทธิ์ในเมืองรูหนาน, นักพรตเต๋ายอดฝีมือที่แม่น้ำสวรรค์, สุดยอดพลังมือทั้งเก้าที่เมืองถังซี…หรือแม้แต่สุดยอดพลังที่ปรากฏขึ้นบนแท่นประลองดอกบัว เรื่องทั้งหมดนี้ศาลาปีศาจลอยฟ้าไม่ได้รับความช่วยเหลือจากคนอื่นเลยอย่างงั้นหรอ? “

สีวู่หยาได้เห็นเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนแท่นประลองดอกบัว ตัวเขามั่นใจมากว่าพลังทั้งหมดที่ผู้เป็นอาจารย์ได้ใช้ออกมามันจะต้องเป็นพลังจากม่านพลังไม่ผิดแน่

“พวกเรายังไม่มีเบาะแสอะไรเพิ่มเติมเลยครับ”

สีวู่หยาที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้พูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม “ถ้าหากเป็นแบบนี้จริงข้าก็มั่นใจได้เลยว่าท่านอาจารย์กำลังหาหนทางใหม่อยู่แน่…แต่ถึงแบบนั้นยังไงซะเขาก็ยังเป็นเหมือนเดิม”

“ท่านเจ้าสำนัก พวกเราควรที่จะตรวจสอบเรื่องนี้ต่อไปไหม? “

“ไม่จำเป็นแล้ว” สีวู่หยาส่ายหัวก่อนที่จะพูดออกมาใหม่ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าใครกันเป็นสายลับของศาลาปีศาจลอยฟ้า”

“ตอนนี้ที่พวกเรารู้ก็คือใครคนนั้นมีทักษะสูงส่ง ในตอนนี้พวกเรายังไม่รู้ว่าเขาเป็นใครกันแน่? “

แล้วเรื่องพระราชสำนักล่ะ?

“พวกเราเองก็ยังไม่มีเบาะแสเรื่องนี้เช่นกัน…แต่พวกเราก็ได้รับข้อมูลหนึ่งมา ตอนนี้ยอดฝีมือจากหรงเป่ยลั่วหลานได้อยู่ที่พระราชวังแล้ว คนคนนั้นน่าจะเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังการโจมตีที่แท่นประลองดอกบัว เขาเป็นผู้ใช้เวทมนตร์คาถาไม่ผิดแน่”

“ม่อหลี่เองก็มีไพ่ตายซ่อนเอาไว้สินะ” สีวู่หยาได้พูดต่อไป “นี่คือทั้งหมดแล้วสินะ? “

“ครับท่านเจ้าสำนัก” ชายคนนั้นได้โค้งคำนับให้ก่อนที่จะจากไป

สีวู่หยาได้กลับเข้าไปในกระท่อมก่อนที่จะนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดิม ตัวเขาได้หลับตาก่อนที่จะพักผ่อนไปชั่วครู่ หลังจากนั้นไม่นานก็มีสาวกคนหนึ่งปรากฏตัวออกมา

“ท่านเจ้าสำนัก มีรายงานมาจากเมืองทางตอนเหนือ”

“พูดมา”

“หนูขโมยทั้งห้าได้ขโมยเสื้อคลุมวิถีเซนของซู่ฮ่องกงมา พวกเขาบอกว่ามันเป็นของชดเชยสำหรับการเดินทางไปยังศาลาปีศาจลอยฟ้า”

หลังจากที่สาวกคนนั้นรายงานจบ ดวงตาของสีวู่หยาก็เบิกกว้างขึ้นมา สีหน้าอันไร้ความรู้สึกของเขาได้เปล่งคำพูดหนึ่งออกมา “เจ้าพวกโง่! “

“ท่านเจ้าสำนัก หนูขโมยทั้งห้าไม่ได้เป็นสมาชิกของสำนักแห่งความมืด การที่จะควบคุมเจ้าพวกนั้นได้จึงเป็นเรื่องยาก พวกเราควรฉวยโอกาสนี้จัดการเจ้าพวกนั้นเลยดีไหมครับ? “

สีวู่หยาไม่ได้ตอบกลับคำถามนั้นไป ตัวเขาได้ใช้ความคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะสั่งการออกมา “ส่งข้อความข้าไปให้พวกหนูขโมยทั้งห้า บอกให้เจ้าพวกนั้นไปพบข้าที่เมืองทางตอนเหนือในอีก 2 วันข้างหน้าซะ”

“ท่านเจ้าสำนัก การที่ท่านจะออกไปเสี่ยงแบบนี้ไม่ใช่ความคิดที่ดีเลย ให้ข้าจัดการงานนี้ให้กับท่านเอง! ” สาวกคนนั้นได้พูดออกมา

“ไม่เป็นไร” สีวู่หยาได้พูดต่อ “ยอดฝีมือจากหรงเป่ยมาอยู่ที่นี่แล้ว ได้เวลาที่เมืองทางตอนเหนือที่สงบสุขมานานจะลุกเป็นไฟขึ้นมาอีกครั้ง”

“ข้าเข้าใจแล้ว! “

เช้าวันที่สองในศาลาปีศาจลอยฟ้า

ลู่โจวค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาจากการทำความเข้าใจเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ ตัวเขาได้ตรวจสอบพลังพิเศษดู ในตอนนี้มันมีพลังเติมเต็มมามากกว่าครึ่งแล้ว โชคดีที่ลู่โจวสามารถเติมเต็มพลังด้วยความเร็วที่มากขึ้นได้ ก่อนหน้านี้ตัวเขาต้องใช้เวลากว่า 7-10 วันกว่าที่จะเติมเต็มพลังพิเศษได้อย่างสมบูรณ์ ถ้าหากยังคงเป็นแบบนี้ลู่โจวจะต้องเติมเต็มพลังโดยใช้เวลาแค่ 5 วันเท่านั้น ตัวเขาไม่ได้ต้องการที่จะทำความเข้าใจเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ต่อ ลู่โจวได้ยืนขึ้นก่อนที่จะไปเดินไปยังโต๊ะตัวเดิม โต๊ะที่มีภาพวาดเก่าแก่ถูกวางเอาไว้ ภาพวาดยังคงดูไม่ได้แตกต่างอะไรจากเมื่อวาน มีเพียงพระราชวังที่อยู่ในเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่ดูชัดเจนมากยิ่งขึ้น ส่วนอื่นๆ ภายในภาพยังคงดูเบลอและว่างเปล่าเช่นเคย

“หรือบางทีจะมีชิ้นส่วนของเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ที่เหลืออยู่ในพระราชวังจริงๆ? “

แล้วถ้าหากเป็นแบบนั้นจะไปตามหาพวกมันได้ยังไงกัน?

แม้ว่าเจียงอาเฉียนจะมีความสามารถมากขนาดไหน แต่งานในครั้งนี้ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับการงมเข็มในมหาสมุทร ยิ่งไปกว่านั้นเจียงอาเฉียนเองยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าชิ้นส่วนเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ที่เหลือมีหน้าตาเป็นยังไง

‘หรือว่าฉันควรจะไปที่นั่นเองกัน? ‘ ไม่มีใครรู้เรื่องของเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์นอกจากตัวของลู่โจวเอง

“ท่านอาจารย์…ศิษย์น้องแปดยังคงเป็นเหมือนเดิม พลังลมปราณภายในร่างกายของเขาแปรปรวนเช่นเคย” เสียงของต้วนมู่เฉิงได้ดังออกมาจากด้านนอก

“ถ้าหากฝานซงปิดผนึกพลังลมปราณของเขาเอาไว้ไม่ได้…ถ้าหากเป็นแบบนั้นก็สู้กับเจ้านั่นจนกว่าพลังลมปราณจะหมดซะ” ลู่โจวได้ตอบกลับไป

“สมกับเป็นความคิดของท่านอาจารย์ ทำไมศิษย์ถึงคิดไม่ออกกัน? ” ต้วนมู่เฉิงที่ได้ฟังแบบนั้นก็ดีใจ หลังจากนั้นเขาก็ได้พึมพำออกมา “เป็นเวลานานแล้วที่ข้าไม่ได้ประมือกับใคร…”

ในตอนที่ต้วนมู่เฉิงกำลังจะหันหลังกลับไป ลู่โจวก็ได้ถามอะไรออกมาซะก่อน “แล้วจ้าวยู่ไปไหนกัน? “

‘จ้าวยู่ในตอนนี้กำลังทำตัวแปลกไป ฉันควรจะใส่ใจนางให้มากกว่านี้’

นอกจากนี้จ้าวยู่มักจะเป็นคนส่งข่าวคราวมาให้ และในตอนนี้ทำไมต้วนมู่เฉิงถึงได้มาทำหน้าที่แทนกัน?

“ศิษย์น้องจ้าวยู่รู้สึกไม่สบายเท่าไหร่ นางกำลังพักผ่อนอยู่ที่ศาลาทางตอนใต้ครับ” ต้วนมู่เฉิงได้ตอบไปตามความจริง

‘ไม่สบายอย่างงั้นหรอ? ‘ เมื่อผู้ฝึกยุทธฝึกฝนตัวเองจนมาถึงขั้นศักดิ์สิทธิ์ได้ คนคนนั้นก็จะไม่มีร่างกายที่เจ็บป่วยได้อีกต่อไป

ลู่โ๗วได้ออกมาจากศาลา ตัวเขาเห็นต้วนมู่เฉิงกำลังยืนทำความเคารพอยู่ที่ด้านนอก หลังจากที่เห็นแบบนั้นลู่โจวก็ได้พูดออกมา “ไปตรวจดูเจ้าแปดซะ”

“ศิษย์จะไปเดี๋ยวนี้” ้ต้วนมู่เฉิงได้หันกลับก่อนที่จะเดินจากไป

หลังจากนั้นลู่โจวก็ได้เดินทางไปยังศาลาทางทิศใต้

ที่ศาลาทางใต้เงียบสนิท

“จ้าวยู่” ลู๋โจวได้ส่งเสียงเรียกผู้เป็นลูกศิษย์ออกมา

“ทะ…ท่านอาจารย์? ” มีเสียงตอบกลับที่เต็มไปด้วยความตกใจดังอยู่ภายในห้อง

แม้ว่าจะได้ยินเสียงเรียกแต่จ้าวยู่ก็ไม่ได้แสดงตัวออกมา

ลู่โจวในตอนนี้ไม่ได้เข้าไปในทันที ตัวเขาที่ได้ยินเสียงตอบกลับมาสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดที่มีอยู่ในน้ำเสียงจ้าวยู่ได้ เมื่ออยู่ใกล้ประตูมากพอ ตัวเขาก็สัมผัสได้ถึงพลังบางอย่างที่ดูเหน็บหนาว ลู่โจวขมวดคิ้วก่อนที่จะโบกแขนของตัวเอง

หลังจากที่โบกแขนพลังลมก็ได้พัดผ่านไปที่ประตู มันได้เปิดประตูออกมานั่นเอง ลู่โจวในตอนนี้เห็นจ้าวยู่ได้ในทันที

จ้าวยู่ไม่ได้นอนพักผ่อนอยู่ นางสั่นไปทั้งตัวและกำลังนั่งอยู่ที่มุมห้องมุมหนึ่ง หน้าผากของนางชุ่มไปด้วยเหงื่อ ร่างกายของนางได้ปล่อยพลังความเย็นออกมาตลอดเวลา พลังความเย็นและพลังความอบอุ่นในอากาศได้ทำให้เส้นผมของนางเปียก ที่เสื้อผ้าของนางมี่ชั้นน้ำแข็งบางๆ เกาะอยู่

เมื่อเห็นผู้เป็นอาจารย์ สีหน้าของจ้าวยู่ก็เต็มไปด้วยความตกใจ นางไม่คาดคิดว่าท่านอาจารย์จะมาเยี่ยมเยี่ยนในเวลาแบบนี้ได้ นางได้ฝ่าพลังอันหนาวเย็นไปก่อนที่จะคุกเข่าลงบนพื้น ฟันของนางได้ขบกับฟันตัวเองในขณะที่พูดทักทายลู่โจวอยู่ “ทะ…ท่านอาจารย์”

ทันทีที่ลู่โจวเห็นสภาพของจ้าวยู่เขาก็เข้าใจได้ทันทีว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ตัวเขาได้ส่ายหัวออกมาอย่างช่วยไม่ได้ให้กับเหล่าสาวกทั้งหลาย ‘…ไม่มีใครยอมปล่อยให้ฉันได้พักได้ผ่อนเลยสินะ’