ตอนที่ 571 ข้าผิดไปแล้ว ตอนที่ 572 ละโมบโลภมากไม่รู้จักพอ

ข้าอาศัยทำนาให้ร่ำรวยมหาศาล

ตอนที่ 571 ข้าผิดไปแล้ว

เดิมทีร้านชุ่ยเหยียนไจก็ถูกสี่ห้าร้านแก่งแย่งจนไม่มีลูกค้าแล้ว บัดนี้เมื่อต้องโทษประหารชีวิต ร้านชุ่ยเหยียนไจจึงดูเป็นแหล่งรวมความโชคร้ายเข้าไปใหญ่ จึงยิ่งไม่มีผู้คนเหยียบย่างเข้าไป

ในช่วงเวลาเพียงไม่กี่วัน ร้านค้าก็เป็นอันต้องปิดตัวลง

เรื่องมงคลอันใหญ่โตเพียงนี้ ซ่งอิงไม่ลืมเขียนจดหมายบอกกล่าวซ่งหม่านซานสักหน่อยเช่นกัน

การตอบจดหมายของซ่งหม่านซานก็สั้นง่ายได้ใจความมากเป็นพิเศษเช่นกัน โดยเขียนคำว่า ‘เยี่ยม’ ต่อกันสามคำ จากนั้นก็ซื้อตัวบุคคลมากความสามารถจากทางด้านเมืองยงส่งมาให้คนหนึ่ง และระบุว่าซื้อด้วยเงินส่วนตัว เพื่อแสดงถึงความรักและเอ็นดูหลานสาว!

แน่นอนว่า ซ่งหม่านซานย่อมรู้เช่นกันว่าผู้เฒ่าซ่งอยู่ที่ตัวอำเภอ จึงไม่ลืมมอบเสื้อคลุมหนังสัตว์ตัวใหญ่ให้ผู้เฒ่าซ่ง! นอกจากนั้นยังเลือกหนังสือสามสี่เล่มให้ซ่งสวินอีกด้วย

เพียงแต่หนังสือเหล่านั้น ราคาไม่ใช่ถูกๆ เลย

เขาก็ช่างยอมเสียสละให้ได้

ทว่าปัจจุบันซ่งหม่านซานก็มีเงินแล้ว สมกับเป็นผู้ที่หน้าใหญ่ใจโตของจริง

สบู่หอมเป็นกิจการผูกขาด อีกทั้งเป็นที่นิยมแพร่หลายไปทุกที ตราบใดที่ไม่ใช่คนจากครอบครัวยากจนแร้นแค้นเกินไปก็แทบจะมีใช้กันทั้งนั้น อีกทั้งมีคำเล่าลือกันของฮั่วเจ้ายวนก่อนหน้านี้ ปัจจุบันร้านค้าทางด้านนั้น ทุกวันล้วนมีกำไรสุทธิไม่ต่ำกว่าเจ็ดแปดร้อยตำลึงเงิน!

แล้วนี่ยังอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่กำลังคนไม่มากพอด้วยซ้ำ

แน่นอนว่าส่วนหนึ่งที่ขายออกไปในนั้นเป็นการขายส่งด้วย เพียงแต่ร้านค้ายังคงเน้นการขายปลีกเป็นหลัก เพียงแค่กระจายผลประโยชน์ออกไปเล็กๆ น้อยๆ เป็นครั้งคราวก็เท่านั้น

ผลกำไรของซ่งหม่านซานหนึ่งส่วน ทุกเดือนก็จะได้เจ็ดสิบตำลึงเงิน เก็บหอมรอบริบหนึ่งปีก็จะซื้อเรือนหลังโตในเมืองยงสักหลังได้ พาภรรยาและลูกๆ มาใช้ชีวิตที่สุขสบายได้แล้ว

มิน่าล่ะ ตอนที่ซ่งอิงกลับหมู่บ้านซิ่งฮวา เหยาซื่อสะใภ้เล็กจึงมองนางด้วยแววตาที่เหมือนกับจับจ้องก้อนเงินตำลึงทองอย่างไรอย่างนั้น

ซ่งอิงอยู่ที่ร้านงานยุ่งชนิดเท้าไม่ติดพื้นมากว่าครึ่งเดือน จึงได้ไปสักการะเทพพร้อมกับซ่งเหล่าเกิน

“ช่วงเวลาเพียงแค่นี้ ร้านค้าแห่งนั้นก็พังพินาศแล้วหรือ” ในใจซ่งเหล่าเกินตื่นตระหนกจนสยบความแคลงใจลงไม่ได้ “หลายวันก่อนข้าได้ยินคนอื่นเอ่ยถึงอยู่ตลอด พูดกันว่าผู้จัดการร้านคนนั้นทำเรื่องบาปกรรมไว้ไม่น้อย ลอบฆ่าคนไปตั้งสามสี่คน นี่ยังไม่รวมถึงร้านค้าหลายแห่งเหล่านั้นที่ถูกข่มเหงจนตกต่ำ…”

“บัดนี้เวรกรรมตามสนองคนชั่วแล้ว ท่านปู่คงไม่ได้ไปดูที่ลานประหารกระมัง” ซ่งอิงเอ่ยถาม

ซ่งเหล่าเกินเบิกตาเล็กน้อย ในวันนั้น เขาอยากไป แต่เดินไปได้ครึ่งทางก็รู้สึกว่าไม่ไปดีกว่าเขาอายุมากแล้ว ทนรับแรงกระตุ้นทางอารมณ์มากๆ ไม่ไหว เกิดเขาตระหนกตกใจ ตาเหลือกเป็นลมหมดสติแล้วขาดใจตายไป จะทำอย่างไรเล่า

“เดี๋ยวยามที่ไปสักการะเทพก็ตั้งใจหน่อยละ ปีนี้เจ้าถือว่าไม่ค่อยราบรื่นเท่าไรนัก เจอเรื่องยุ่งยากวุ่นวายนับครั้งไม่ถ้วน ลำพังเรื่องที่เกี่ยวข้องกับที่ว่าการนี่ก็สามสี่ครั้งแล้วกระมัง” ผู้เฒ่าซ่งกล่าว

ซ่งอิงแย้มยิ้มหน้าชื่นตาบาน

แม้เข้าไปเกี่ยวข้องกับทางการแต่ก็ไม่ถือว่ายุ่งยากวุ่นวายเกินไป เพียงแต่คนธรรมดาทั่วไปอย่างซ่งเหล่าเกินย่อมมีความรำคาญใจและรู้สึกเป็นลางร้ายอยู่บ้างในใจ

ปีหน้าเดือนสอง ซ่งสวินต้องไปสอบแล้ว ถือว่าเป็นการลงสนามสอบอย่างเป็นทางการ ดังนั้นเขาจึงอยู่ทบทวนบนเรียนที่สถานศึกษา การไปสักการะเทพคราวนี้ก็มีเพียงนางและซ่งเหลาเกินปู่หลานสองคน

ที่พวกเขาไปคืออารามเต๋า กลิ่นธูปคละคลุ้งยิ่ง

หลายวันมานี้ซ่งเหล่าเกินเดินเล่นอยู่ในตัวอำเภอไม่น้อย หลานชายทั้งสองจากครอบครัวบุตรลำดับที่สามก็มาเจอเป็นการเฉพาะเช่นกัน ผนวกกับนำของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ไปมอบให้อาจารย์ของซ่งสวิน พอเขารับรู้ว่าซ่งสวินมีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะสอบผ่าน จึงยิ่งรู้สึกกระฉับกระเฉงไปใหญ่ แทบจะเดินได้เกินกว่าที่ความสามารถของผู้เฒ่าคนหนึ่งจะเดินไหวแล้ว

หลังจากสักการะเทพมากมาย เขาก็คิดว่าจะกลับหมู่บ้านวันพรุ่งนี้ ไม่อยู่เฝ้าบ้านเป็นเวลานานเกินไป รู้สึกในใจกระสับกระส่ายเพียงแต่เส้นทางขากลับจากอารามเต๋า พวกเขาก็ดันเจอเผยซื่อตระกูลดองนั่นเข้าเสียแล้ว

เผยเหล่าเอ้อร์ชักสีหน้าทันที

ซ่งเหล่าเกินปรายตาไปอีกด้าน ทำเป็นมองไม่เห็น จากนั้นส่งเสียงขึ้นมา “ต้าไป๋เอ้ย เราไปกันเถอะ”

ซ่งเสี่ยนที่ถูกมองข้ามก็เหมือนกับลูกสะใภ้สาวที่เศร้าสร้อยคนหนึ่ง ขณะมองซ่งอิงและผู้เฒ่าซ่งเป็นความรู้สึกเสมือนอยู่กันคนละโลก

“ท่านปู่! ข้าผิดไปแล้ว! ข้าผิดไปแล้วจริงๆ ท่านพาข้ากลับบ้านเถอะ! หลังจากนี้ข้าจะไม่แข่งกับน้องสาวคนรองอีกแล้ว ท่านอย่าได้ทอดทิ้งข้าอีกเลย!”

ซ่งเสี่ยนปฏิกิริยาโต้ตอบรวดเร็วทีเดียว สาวเท้าก้าวมาอย่างว่องไวปานสายลม ก่อนจะกระโจนเข้าใส่โดยไม่รีรอ เข้าขวางรถเกวียนลาเอาไว้

ตอนที่ 572 ละโมบโลภมากไม่รู้จักพอ

ผู้เฒ่าซ่งหัวใจเต้นระรัวขึ้นมาชั่ววูบ แต่กลับไม่ใจอ่อน

อีกฝ่ายเป็นหลานชายของครอบครัวตน หากกล่าวว่าไม่รู้สึกอะไรเลยนั่นคงเป็นการโกหก แต่เรื่องราวในตอนแรกยังคงชัดเจนอยู่ในความทรงจำ เขาไม่กล้าเป็นผู้ตัดสินใจหรอก เดี๋ยวภายหลังครอบครัวจะไม่เป็นอันสงบสุขอีก

ดูอย่างทุกวันนี้สิ ชีวิตแต่ละวันสุขสบายใจเพียงใด

ครอบครัวบุตรคนโตแม้ว่าติดหนี้สินอยู่ แต่สองสามีภรรยาล้วนหาเงินได้ ใช้หนี้ได้ไม่เป็นปัญหา นอกจากนี้ยังได้ริเริ่มกิจการครอบครัวเอาไว้ให้หลานต๋าอีกด้วย!

ครอบครัวบุตรลำดับที่สามและบุตรลำดับที่สี่ก็เช่นเดียวกัน ชีวิตในแต่ละวันต่างก็สุขสบายขึ้นมาบ้างแล้ว!

เขาต้องคิดไม่ได้ขนาดไหนจึงจะรับเอาหลานเสี่ยนกลับไป

“เจ้าเป็นเขยที่แต่งเข้าตระกูลฝ่ายหญิงแล้ว ตระกูลซ่งเราพูดแล้วทำอย่างที่พูด เรื่องในครอบครัวนี้เจ้าก็อย่าได้กังวลใจไป หลังจากนี้กตัญญูคนตระกูลเผยให้ดีๆ เถิด” ผู้เฒ่าซ่งกล่าว

เขาพูดจบ แม้ว่ารู้สึกปวดใจ แต่ก็สบายใจขึ้นมาเล็กน้อยอย่างน่าประหลาด

เมื่อก่อนเจ้าเอาแต่ใส่ใจตระกูลเผยนี้นักมิใช่หรือ แล้วเป็นอะไรไปเล่า ปัจจุบันหลังเป็นเขยแต่งเข้าแล้วจึงพบว่าคนตระกูลเผยไม่ใช่คนดีหรือไร

ซ่งเสี่ยนถึงกับสำลักอยู่ในปาก “ท่านปู่ ข้าผิดไปแล้วจริงๆ…”

แทนที่ซ่งเหล่าเกินจะรับฟัง กลับมองไปยังเผยเหล่าเอ้อร์แวบหนึ่ง “เผยเหล่าเอ้อร์ ไฉนไม่ได้ยินข่าวคราวจากทางครอบครัวเจ้าบ้างเลยล่ะ ลูกชายเจ้าจะตายแล้วมิใช่หรือ…”

เผยเหล่าเอ้อร์สีหน้าบูดบึ้ง

หลังทำให้อีกฝ่ายโกรธเกรี้ยว ซ่งเหล่าเกินรู้สึกสุขใจมาก จากนั้นทำท่าเหมือนพระสังกัจจายน์โพธิสัตว์องค์หนึ่ง ถลกแขนเสื้อทั้งข้างขึ้นเล็กน้อยวางพาดลงบนหน้าตัก นั่งลอยหน้าลอยตาอยู่บนรถเกวียนลา

หลายวันมานี้ เขาคิดได้แล้ว

ลูกหลานย่อมมีโชควาสนาเป็นของตัวเอง ที่เขาทำได้เขาก็ทำหมดแล้ว เหลือแค่เอาหนึ่งชีวิตผู้เฒ่ามอบออกไปก็เท่านั้น หลานๆ รุ่นหลังเหล่านี้ยังจะมีอันใดให้ไม่รู้จักพออีก

จริงอย่างที่เอ้อร์ยาพูดไว้ก่อนหน้า เมื่อในบ้านไม่มีขี้หนูแล้ว น้ำปรุงถั่วเหลืองนี่ก็ยังคงกินได้

ดูหลานชายคนอื่นๆ ของเขาสิ แต่ละคนเก่งกาจทั้งนั้นมิใช่หรือ!

อาจารย์เขากล่าวไว้แล้วว่าหลานสวินขยันขันแข็งเช่นนี้ อย่างแย่สุดก็สอบได้ซิ่วฉาย!

นอกจากนี้ หลายชายคนที่สามและหลานชายคนสี่ของตนก็ไม่เลวเช่นกัน เอ้อร์ยากล่าวไว้แล้วเช่นกันว่าภายภาคหน้าสองคนนี้เรียนผู้คุ้มกันจบมาแล้ว หลังจากนั้นก็จะจ้างพวกเขาคุ้มกันสินค้า เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีงานทำ ถึงขั้นว่าหากมีความสามารถด้านศิลปะการต่อสู้อย่างดี ก็เปิดสำนักผู้คุ้มกันขึ้นมาเองสักแห่งได้เช่นกัน!

เมื่อก่อนเขาไม่กล้าคิดสิ่งเหล่านั้น แต่ตอนนี้แตกต่างไปแล้ว

พวกเขาล้วนเป็นเด็กๆ ที่รู้ความและมีอนาคตอันสดใสทั้งนั้น ในอนาคตจะต้องลืมตาอ้าปากได้แน่!

เห็นซ่งเหล่าเกินมีท่าทีเช่นนี้ ซ่งเสี่ยนรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวจริงๆ

ต่อให้ตอนแรกซ่งเหล่าเกินขับไล่เขาออกไป เขาก็ยังคงรู้สึกว่าผู้เฒ่าซ่งเพียงแค่โมโหชั่วขณะเท่านั้น…

แต่ตอนนี้ เขาเข้าใจแล้ว

ตนถูกทอดทิ้งแล้ว

แววตาที่ผู้เฒ่าซ่งมองเขายังดูมีความใกล้ชิดสนิทใจไม่เท่าตอนที่ผู้เฒ่ามองพวกซ่งสวินเมื่อก่อนเลยด้วยซ้ำ เหมือนกับกวาดตามองญาติที่ไม่ค่อยคุ้นเคยคนหนึ่ง…

ซ่งอิงให้ต้าไป๋เดินอ้อมซ่งเสี่ยน ก่อนจะเคลื่อนที่ต่อไป

นางรู้สึกว่าตอนนี้ผู้เฒ่าซ่งถือว่าคลายปมในใจได้แล้วกระมัง

“ท่าทางของพี่ใหญ่ดูเหมือนใช้ชีวิตไม่แย่สักเท่าไรเหมือนกันนะเจ้าคะ” ซ่งอิงกล่าว

“เรื่องนี้ข้าก็พอรู้อยู่ ก่อนหน้านี้เขาหางานขนสินค้าให้ร้านข้าวสารได้ ทำมาระยะหนึ่งแล้ว ขนาดทำเช่นนี้แล้วก็ยังถูกคนครอบครัวเผยดูถูกด่าว่ากินอยู่ไปวันๆ พี่ใหญ่เจ้าเดิมทีก็ไม่ใช่คนที่นิสัยใจคอเหยาะแหยะ หลังถูกเล่นงานหลายวันเข้าก็อาละวาดเสียครอบครัวเผยอยู่ไม่เป็นสุขทันที

เขาเข้าสู่ตระกูลพร้อมแบกความกตัญญูเข้าไป ยุคสมัยนี้ชายที่แต่งเข้าตระกูลฝ่ายหญิงเดิมทีก็ถือว่าไม่เป็นธรรม หลังจากเขาเอะอะโวยวาย ก็พูดไปถึงประเด็นที่ว่าตนได้ช่วยชีวิตบุตรชายคนเล็กของตระกูลเผยเอาไว้ ตระกูลเผยกลับดูถูกเหยียดหยามเขา…อาละวาดจนเพื่อนบ้านซ้ายขวาตำหนิตระกูลเผยว่าไม่ได้เรื่อง…” ซ่งเหล่าเกินไม่พอใจเช่นกัน

“ปัจจุบันพี่ใหญ่เจ้าก็มีความสามารถแล้วเช่นกัน ได้ไปถึงร้านขนมตระกูลเผย เรียนรู้ทักษะฝีมือเอาไว้แล้ว ด้วยความเจ้าเล่ห์ของเขา ให้เวลาเขาสามถึงห้าปี ไม่แน่ว่าก็ยุยงให้แยกครอบครัวได้ หลังได้เงินตกมาอยู่ในมือสักหน่อย ก็คงหันมาทำเองตามลำพัง” ผู้เฒ่าซ่งกล่าวขึ้นมาอีกครั้ง

ซ่งอิงค่อนข้างประหลาดใจ

“ถึงอย่างไรก็เป็นหลานชายข้า ข้าไม่ให้เขากลับมา แต่ก็ไม่อาจปล่อยให้ตระกูลเผยกดขี่ข่มเหงจนตายได้เช่นกัน ก็เลยแอบถามไว้บ้างเท่านั้นเอง” ซ่งเหล่าเกินกล่าวขึ้นอีกครั้ง

ส่วนที่ว่าสาเหตุของการที่ซ่งเสี่ยนยอมรับผิดแล้วในตอนนี้ เขาเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจ

เป็นเพราะเสียใจภายหลังแล้วจริงๆ อย่างไรเล่า และบิดามารดาเขาก็มีรายรับในแต่ละเดือนไม่น้อย เขาจึงเกิดความละโมบโลภมากไม่รู้จักพอ