Jun Jiu Ling หวนชะตารัก – ภาค 3 บทที่ 10 บุญกุศลใหญ่หลวงกับความลำบากหนักหนา
บทที่ 10 บุญกุศลใหญ่หลวงกับความลำบากหนักหนา
โดย
Ink Stone_Romance
ไม่ใช่หมอ?เขาจะไม่ใช่หมอได้อย่างไร?
ไม่ใช่หมอทำไมเขาได้ชื่อว่าหมอเทวดา?
เพราะลำบากจึงไม่รักษา นี่หลักการอะไร? ดังนั้นโรคของพระบิดาที่จริงเขารักษาได้ แค่ไม่ยอมรักษาใช่หรือไม่?
“หุบปากของเจ้าไป”
ผู้ชายคนนั้นหันกลับมายัดผลซิ่ง[1]ลูกหนึ่งใส่ปากนาง
“ยื่นจนจะร้อยกวางได้ตัวหนึ่งแล้ว”
ทำไมไม่ใช่ร้อยลาได้ตัวหนึ่ง? นางไม่เข้าใจอยู่บ้าง
“เพรากวางสวยกว่าลาไงเล่า” ผู้ชายคนนั้นเอ่ย หิ้วห่อสัมภาระไว้บนหัวไหล่ของนาง “ไป ไป ไป”
นางถูกผลักให้เดินออกมาจากห้องบูชาเจ้าแม่ฝี มองดูผู้ชายผู้หญิงที่ร้องไห้กันเป็นเบือในลาน
ในห้องเด็กผู้ชายที่ป่วยเป็นฝีดาษคนนั้น หยุดหายใจไปแล้ว เพิ่มเด็กคนนี้เข้าไป บ้านนี้ก็มีเด็กสามคนจบชีวิตเพราะเรื่องนี้แล้ว
นางมองดูผู้หญิงหลายคนที่ร้องไห้จนเป็นลมหมดสติไปปวดใจอยู่บ้าง
“ไป ไป” ผู้ชายที่อยู่ข้างหลังไม่มีลังเลสักนิดผลักนางเดินหน้าก้าวออกประตู
นอกประตูเพื่อนบ้านล้อมมุงดูอยู่ สีหน้าโศกเศร้าและหวาดกลัว
“ทุกข์ระทม ทุกข์ระทม” ผู้ชายทอดถอนใจสีหน้าเศร้าโศกกับบรรดาเพื่อนบ้าน
บรรดาเพื่อนบ้านพากันพยักหน้าให้เขา ไม่ได้กล่าวโทษท่านหมอที่รักษาโรคไม่หาย ฝีดาษโรคเช่นนี้เดิมทีก็เป็นโรคที่ไม่รักษา
“น่าเวทนาจริงๆ นี่เป็นคนที่สามแล้ว ยังเหลือคนเล็กอีกคนหนึ่ง ไม่รู้ว่าจะหนีพ้นหรือไม่”
“ต้องหนีไม่พ้นแน่ พูดกันว่าเมื่อวานก็เริ่มตัวร้อนแล้ว คาดว่าพรุ่งนี้ก็คงล้มแล้ว”
บรรดาเพื่อนบ้านกระซิบกระซาบเสียงเบาต่อ
ฝีดาษของคนบ้านนี้อาละวาดรุนแรง บรรดาเด็กน้อยรอบด้านล้วนไม่อาจไม่หลบ ถึงเป็นเช่นนี้นอกจากเด็กบ้านนี้ก็มีเด็กอีกหลายคนติดโรคตายไปตามๆ กัน
ทางการเปลี่ยนฝั่งนี้เป็นเขตต้องห้ามแล้ว ไม่อนุญาตให้คนบ้านนี้เดินออกมาตามใจ เดิมทีอยากส่งเด็กออกไปก็ไม่มีโอกาสแล้ว
นางหันกลับไปมองคนบ้านนี้ที่ร้องไห้อยู่ในลาน เด็กน้อยอายุสองสามขวบคนหนึ่งถูกผู้หญิงเฒ่าคนหนึ่งกอดไว้ในอ้อมแขน สีหน้าเซื่องซึมแทะนิ้วมือ ไม่เข้าใจความโศกเศร้าและหวาดกลัว
เด็กคนนี้ก็เริ่มตัวร้อนแล้ว เหมือนกับพี่ชายพี่สาวของเขา
คิดว่าไม่นานก็คงล้มลงหมดสติศีรษะใบหน้าเกิดฝี ลามไปทั้งตัวเช่นเดียวกันกับพี่ชายพี่สาวของเขา สภาพเหมือนตุ่มพอง มีน้ำสีขาวออกมา อย่างมากเจ็ดวันอย่างน้อยสามวันก็ตาย
“เขาจะไม่เป็นโรค”
ผู้ชายที่เดินอยู่ข้างหน้าพลันเอ่ยขึ้น
นางประหลาดใจอยู่บ้าง ทั้งยังดูแคลนอยู่บ้าง เขาพูดจามั่นอกมั่นใจเช่นนี้อีกแล้ว พูดเหมือนตอนที่เขาเห็นฝีดาษของคนบ้านนี้ แต่ผลลัพธ์เด็กหลายคนนั่นก็ยังป่วยตายไปแล้ว
“จุดสำคัญของฝีดาษนี่ไม่ได้อยู่ที่รักษา แต่อยู่ที่ป้องกัน”
ผู้ชายที่เดินข้างหน้าเอ่ย
“เจ้าจำได้ไหมว่าหลังข้ามาที่บ้านนี้ทำอย่างไร?”
นางมองแผ่นหลังของผู้ชายข้างหน้า ทำอย่างไร?
หลังมาถึงบ้านนี้เขาแทบจะไม่ได้ทำอะไร นอกจากจ้องเด็กคนอื่นๆ ในบ้านแล้วก็กินๆ ดื่มๆ
“อะไรเรียกไม่ทำอะไร” ผู้ชายจิ๊ปากหันกลับมาถลึงตาใส่นางทีหนึ่ง “นั่นก็คือข้ากำลังทำงานอยู่”
ทำงานอะไร?
สีหน้าของผู้ชายเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม
“ข้ากำลังทำให้พวกเขาหลีกเลี่ยงฝีดาษได้
แต่…
“เจ้าเห็นข้าเป่ายาใส่ในรูจมูกของเด็กพวกนั้นแล้วสินะ?”
ก็เห็นอยู่ ใช้ท่อไม้ไผ่เรียวเล็ก ไม่ได้ให้เด็กทั้งหมดใช้ยาพร้อมกัน แต่ทีละคน
หลังเด็กคนหนึ่งให้ยาเสร็จ ยังไม่อาจป้องกันโรคได้ล้มลง หลังจากนั้นเขาถึงให้ยากับเด็กคนต่อไป
นี่ก็คือการป้องกันที่เขาว่างั้นหรือ? แต่ท้ายที่สุดก็ป้องกันไม่อยู่นี่
“นั่นไม่ใช่ยา”
เขาหันกลับมามองนาง ท่ามกลางแสงตะวันกับเงามืดมองใบหน้าของเขาไม่ชัด
“นั่นคือพิษฝี”
…
ไส้โคมหงิกเป็นดอกไม้ส่งเสียงดัง คุณหนูจวินวางพู่กันในมือลงบนแท่นฝนหมึก เสียงกระทบดังขึ้นเบาๆ
ห้องที่เงียบสงบมีชีวิตขึ้นมานิดหนึ่ง
คุณหนูจวินลุกขึ้นยืน อดไม่ได้เดินกลับไปมาหลายก้าวเหมือนเฉินชีบ้าง
“ฝีดาษเกิดแล้วยากรักษา สิบคนตายสี่ ทั้งส่วนมากยังไม่ใช่อาศัยยาหมอรักษา แต่อาศัยดวง”
“อยากไม่ได้รับอันตรายจากฝีดาษ มีแต่ต้องใช้พิษโจมตีพิษ พิษนี่ก็คือพิษของฝีดาษ”
“ซุนเซิ่งเคยใช้หนองฝีดาษทาต้านฝีดาษ ดังนั้นครั้งนี้ข้าจึงใช้สะเก็ดแผลฝีดาษบดผง”
เอาพิษฝีดาษเป่าเข้าไปในในปากของคนที่ไม่ติดโรค….
มิน่าเด็กหลายคนนั่นถึงล้มป่วยตามต่อกัน
นี่เป็นการรักษาจริงหรือ? นี่มันฆ่าคนแล้ว
“ก็ไม่นับว่าฆ่าคน เด็กพวกนี้เดิมก็เป็นครอบครัวเดียวกัน สัมผัสกันนานวัน กว่าครึ่งล้วนติดโรคแล้ว”
“พิษฝีดาษนี่คนได้รับไปแล้วจะใช้พิษโจมตีพิษได้หรือไม่ ไม่แน่นอนทั้งยังคาดเดาไม่ได้”
“วิธีเช่นนี้พูดออกไปในสายตาชาวโลกย่อมเป็นการกระทำชั่วช้า และอธิบายไม่ได้สักนิด”
“ดังนั้นข้าถึงบอกว่าโรคนี้ไม่สะดวกรักษา ลำบากเกินไปแล้ว”
แม้เรื่องราวผ่านไปหลายปีแล้ว เวลานี้นึกย้อนกลับไป คำพูดที่ผู้ชายคนนั้นพูดตอนนั้น คุณหนูจวินก็ยังคงเหมือนเวลานั้นตะลึงจนสมองว่างเปล่า
ผู้ชายคนนั้นยังหัวเราะอีก ยื่นมือยัดผลซิ่งอีกลูกหนึ่งเข้ามาในปากที่อ้ากว้างของนาง
“แต่คนครอบครัวนี้โชคดีนัก เด็กคนสุดท้ายหลังได้รับพิษฝีจากเด็กคนที่สามที่เป็นโรค เมื่อวานเพียงแค่ตัวร้อน วันนี้มีฝีก็ไม่รุนแรงเช่นนั้นอย่างเด็กหลายคนก่อนหน้าแล้ว ดูท่าครั้งนี้เขาจะรอดพ้นภัย ชีวิตนี้ไม่มีทางได้รับอันตรายจากฝีดาษอีกต่อไปแล้ว”
“นี่ก็คือสาเหตุที่ข้ารักษาได้แต่ข้ากลับไม่อาจรักษา ลองถามดูใครจะยอมรับวิธีที่ฆ่าคนก่อนช่วยคนทีหลังเช่นนี้ได้เล่า?”
“โรคที่ไม่แตะไม่รักษาคือฟ้าให้คนป่วยตาย แต่ลงมือช่วยเหลือกลับเป็นหมอสังหารคนเช่นนี้ ลำบากเกินไปแล้วจริงๆ
นางเข้าใจความหมายของเขา ตัวอย่างเช่นโรคของพระบิดาที่เขาเอ่ยถึง
โรคของพระบิดาหากไม่รักษาก็จะเป็นโรคที่ติดมาจากในครรภ์ ก็คือชะตาควรเป็นเช่นนี้ แต่หากใช้ยาสักเทียบแล้ว เป็นไปได้อย่างที่สุดว่าจะตาย นี่กลับกลายเป็นหมอใช้ยาสังหารคนแล้ว
แต่โรคของพระบิดายังไม่พูดถึงชั่วคราม แต่ฝีดาษเล่า นั่นเป็นถึงฝีดาษเชียวนะ เด็กมากเท่าไรจบชีวิตเพราะสิ่งนี้ หากหาวิธีใช้พิษฝีป้องกันฝีดาษออกมาได้จริง หมอไม่กลัวความยากลำบาก คนตายไปส่วนหนึ่งก็คุ้มค่าแล้ว
ใต้แสงตะวันผู้ชายคนนั้นหัวเราะฮ่ะฮ่ะ สะบัดแขนเสื้อ
“สำหรับหมอคนหนึ่งแล้วคุ้มค่า แต่ข้าไม่ใช่หมอนี่ ข้าไม่ได้มาช่วยโลกช่วยเพื่อนมนุษย์ ข้าไม่จำเป็นต้องทำเรื่องที่เป็นบุญกุศลใหญ่หลวงแล้วก็ลำบากหนักหนาเช่นนี้”
ถ้าอย่างนั้นเขามาทำอะไร? แบกชื่อหมอเทวดา
“ข้าเพียงมาชดใช้ตนเองเท่านั้น”
เขายิ้มเล็กน้อยหันกลับเดินไปข้างหน้า
ชดใช้ตนเอง?
นางที่ในปากยังกัดผลซิ่งอยู่ยืนอยู่ที่เดิมมองเงาที่ลากยาวใต้แสงตะวัน
เงานั่นหยุดลงหันกลับมาอีกครั้ง
“แต่ บางที่เจ้าอาจจำเป็น อนาคตเมื่อเจ้าพบเรื่องที่ลำบากหนักหนายิ่งกว่า ถ้าอย่างนั้นความลำบากที่บุญกุศลใหญ่หลวงเรื่องนี้นำมาก็อาจไม่นับว่าลำบากอะไรอีกแล้ว”
“ดังนั้นข้าจะชี้แนะอีกวิธีให้เจ้าสักหน่อยได้ วิธีนี้ยิ่งน่าเหลือเชื่อ วิธีข้าบอกให้เจ้าฟัง แต่เจ้าต้องทำเอง ข้าจะไม่ดูแล”
นางไม่จำเป็นสักหน่อย นางก็ไม่ใช่หมอเหมือนกัน
นางถุยเมล็ดซิ่งออกมา ตามผู้ชายคนนั้นไป
แต่ชีวิตคนก็เปลี่ยนแปรไม่หยุดเช่นนี้ นางก็คิดไม่ถึงว่าตนเองจะมีวันหนึ่งเช่นนี้ คนที่เดิมทีไม่ใช่หมอคนหนึ่ง ก็แบกชื่อหมอเทวดาทำงานของหมอได้ เป้าหมายก็ไม่ใช่ช่วยโลกช่วยเพื่อมนุษย์ แต่เป็นชดใช้ตนเอง
ชดใช้ตนเอง
อาจารย์บอกว่าเขาทำเพื่อชดใช้ตนเอง ดังนั้นจึงช่วยเพียงคนที่กำลังช่วยได้ ไม่ใฝ่หาชื่อเสียงไม่ใฝ่หาเงินทอง ไม่ต้องการบุญกุศลใหญ่หลวง
แต่ตอนนี้นางชดใช้ตนเองกลับต้องใฝ่หาชื่อเสียง มีเพียงมีบุญกุศลใหญ่หลวงถึงมีกำลังช่วยคนที่ตนเองอยากช่วยได้ ถึงมีกำลังทำได้
คุณหนูจวินยืนสงบอยู่ในห้องครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็เปิดประตู
ในเรือนยามดึกดื่นคนเงียบสงัดไม่ใช่ไม่มีคน เฉินชี ฟางจิ่นซิ่ว หลิ่วเอ๋อร์รวมถึงพนักงานสองคนล้วนยืนอยู่ใต้ชายคา คุณหนูจวินเปิดประตูออกมากะทันหันทำพวกเขาสะดุ้งโหยง
คุณหนูจวินก็ตกใจสะดุ้งโหยงเหมือนกัน
“ทำไมยังไม่นอน?” นางเอ่ย
ตอนนี้ใครจะนอนหลับได้ เฉินชีเอ่ยกับตนเองในใจ
“ลองดูว่ามีอะไรช่วยได้บ้าง” เขายิ้มเฝื่อนเอ่ยบอก
คุณหนูจวินยิ้มแล้ว
“มีสิ” นางเอ่ย คิดนิดหนึ่ง “ข้าอยากทานผลซิ่ง”
……………………………………….
[1] ผลซิ่ง (杏) ผลไม้ชนิดหนึ่งผลกลมรี สีเหลืองแดง รสเปรี้ยวอมหวาน