ตอนที่ 260 มโนธรรมของเจ้าไม่สะเทือนบ้างหรือ

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ตอนที่ 260 มโนธรรมของเจ้าไม่สะเทือนบ้างหรือ ?

แม้ว่าการแสดงออกของเจียงโม่หานจะไม่เด่นชัด แต่หลินเว่ยเว่ยก็ยังจับความอวดเก่งเล็ก ๆ ของเขาได้อย่างแม่นยำ “สิ่งที่เขาชมคือพัด เจ้าจะลำพองใจเพื่อเหตุใด ? ”

ทันใดนั้นสายตาของนางก็มาหยุดอยู่ที่พัดในมือของบัณฑิตน้อย…

เจียงโม่หานยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะหลุบตามองด้วยความภาคภูมิใจโดยไม่ปิดบัง ‘ในที่สุดก็ค้นพบจนได้ ! เป็นอย่างไรบ้าง ว่าที่สามีในอนาคตของเจ้าเก่งใช่หรือไม่ ? เจ้ายังกล้าพูดว่าสามีเป็นเพียงบัณฑิตไร้ความสามารถอีกหรือเปล่า ? ’

หลินเว่ยเว่ยแย่งพัดในมือของเขาไปและกางหน้าพัดออก “คนเช่นเจ้ารู้จักใช้เงินฟุ่มเฟือยตั้งแต่เมื่อใด ? พัดราคาตั้ง 50 ตำลึง มโนธรรมของเจ้าไม่สะเทือนบ้างหรือ ? ใช้ชีวิตไม่เป็นเลย ! ”

เจียงโม่หานมองไปยังพัดที่สร้างขึ้นมากับมือและถูกผู้อื่นซื้อไปอย่างเบิกบานใจ พัดที่เขาเก็บไว้เองล้วนเป็นพัดที่พึงพอใจที่สุด แม้ว่าบนหน้าพัดจะมีต้นไผ่ไม่กี่ต้น มีหินหนึ่งก้อนใต้ต้นไผ่ ดูเรียบง่ายแต่ให้ความรู้สึกองอาจไม่น้อย พัดที่แม้แต่ผู้อาวุโสเซวียยังชื่นชม !

หลินเว่ยเว่ยไม่สนใจว่าเขาจะแสดงสีหน้าอย่างไร นางยังคงเดินเล่นอยู่ในห้องหนังสือ ปากก็ยังพึมพำว่า “บัณฑิตน้อย นี่คือร้านที่เจ้าเปิดเองหรือ ? เจ้าเปิดห้องหนังสือนี้ตั้งแต่เมื่อใด รักษาความลับได้เก่งเชียว ! ”

“คาดไม่ถึงว่าธุรกิจภาพวาดจะขายดีเช่นนี้ ! รอให้สำนึกศึกษาเปิดอีกครั้ง สหายของเจ้ากลับมาเรียนเมื่อใด ธุรกิจนี้จะต้องดียิ่งขึ้น ! บัณฑิตน้อย ธุรกิจที่เจ้าทำดูมีแววรุ่งมาก…แต่การที่เจ้าทำธุรกิจ ไม่มีผลกระทบอันใดต่ออนาคตใช่หรือไม่ ? ” หลินเว่ยเว่ยเดินเล่นอยู่ในห้องหนังสือครู่หนึ่งก็เอ่ยถามด้วยความกังวล

เจียงโม่หานยิ้มพลางกล่าวว่า “ร้านค้าแห่งนี้เป็นร้านที่ข้าเปิดร่วมกับสหาย ! ”

เขาพูดถูก หนังสือทั่วไปภายในร้านล้วนเป็นหนังสือที่ขอให้ใครสักคนนำกลับมาจากโรงพิมพ์ ภาพวาดและหน้าพัดก็เป็นฝีมือวาดของเขาเอง หนังสือที่ไม่ตีพิมพ์แล้วก็เป็นหนังสือที่ผู้อาวุโสเซวียจัดหามาให้…เดิมทีร้านนี้คือร้านของตระกูลอู๋ที่โดนเขาซื้อไว้ ส่วนผู้ที่บริหารห้องหนังสือคือคนสนิทที่จงรักภักดีของผู้อาวุโสเซวีย หากไม่เรียกว่าหุ้นส่วนแล้วจะเรียกคำใดได้อีก ?

“ห้องหนังสือแห่งนี้อยู่ภายใต้ชื่อผู้อื่นหรือ ? คนนั้นเชื่อถือได้หรือไม่ ? ” หลินเว่ยเว่ยมองไปยังหลงจู๊ที่ยังจัดการทุกสิ่งอย่างเป็นระบบระเบียบท่ามกลางความวุ่นวายเหล่านี้ ชายวัย 40-50 ปี ดูสุภาพเรียบร้อย มีเอกลักษณ์ไปทางปัญญาชนผู้มากความรู้…คนเช่นนี้จะทำธุรกิจได้หรือ ?

เจียงโม่หานพยักหน้าเล็กน้อยและกล่าวว่า “เชื่อถือได้แน่นอน ! ประเดี๋ยวไปขายผ้าเป็นเพื่อนเจ้าก่อน แล้วข้าจะพาเจ้าไปพบใครคนหนึ่ง ! ”

“ใคร ? ” ต้องเป็นความลับถึงเพียงนี้เชียวหรือ ? หลินเว่ยเว่ยเดินตามเขาอยู่ด้านหลัง

“เฮ้ ! นี่คืออัจฉริยะเจียงใช่หรือไม่ ! มาห้องหนังสือทั้งที เหตุใดจึงกลับไปมือเปล่า ? เท่าที่ข้าจำได้คือแม้แต่พู่กันน้ำหมึกของตนก็ยังต้องคัดลอกตำรามาแลกไปเลย เจ้าจะซื้อภาพวาดกลับไปได้อย่างไร ? พัดของที่นี่ต้องใช้เงินซื้อ ต่อให้แม่เจ้าปักผ้าตลอดชีวิตก็ยังได้เงินไม่พอซื้อพัดเลย ! ”

โลกกลมเสียจริง ทันทีที่ออกจากห้องหนังสือก็พบกับอู๋ปัว ทว่าครอบครัวของอู่ปัวเหมือนจะล้มละลายจึงไม่มีสหายเสเพลคอยเดินตามก้นอีกแล้ว เห็นได้ชัดว่าเขามาเพียงลำพัง แต่เจ้าหมอนี่สันดานเสียไม่หาย ตระกูลก็เป็นเช่นนั้นไปแล้วยังอยากแสดงความเหนือชั้นใส่ผู้อื่นอีก !

เขาเห็นผ้าที่เจียงโม่หานกอดอยู่ในอกก็ยิ่งรู้สึกลำพองใจพร้อมหัวเราะร่าออกมา “แม่ของเจ้าไม่ปักผ้าแต่เปลี่ยนมาทอผ้าแล้วหรือ ? อ้อ…ที่เจ้ามาก็เพื่อถามร้านว่ายังต้องการให้คัดลอกตำราอีกหรือไม่ ? ฮ่าฮ่าฮ่า…ไร้ค่าเสียจริง ! ”

ทันใดนั้นคอเสื้อด้านหลังของเขาก็ถูกรัดแน่น ขาของเขาก็ถูกยกจนลอยจากพื้นพร้อมน้ำเสียงเคร่งขรึมดังที่ข้างหู “เจ้าว่าใครไร้ค่า ? ! คัดลอกตำรามาแลกพู่กันและน้ำหมึกก็คือการประหยัดของเขา หลักธรรมเรื่องใช้ความประหยัดในการส่งเสริมคุณธรรม เจ้าเข้าใจหรือไม่ ? ศึกษาร่ำเรียนมาตั้งมากมาย เอาความรู้ไปไว้ไหนหมด ? ตัวอักษรแสนยึกยือของเจ้า ทางร้านที่รับคัดลอกตำราก็ยังไม่เอาเลย ! เรียนก็ไม่เอาไหน ธุรกิจของตระกูลก็โดนเจ้าล้างผลาญจนไม่มีเหลือ ใครกันแน่ที่ไร้ค่า ! ”

อู๋ปัวปัดมือปัดเท้าไปมาเหมือนคางคกที่ถูกจับไว้ “ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้ ! เจ้า…เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร ? เจ้ายังอยากมีชีวิตรอดออกไปจากเขตเริ่นอันหรือเปล่า ?”

หลินเว่ยเว่ยยกเขาขึ้นสูงจากพื้นด้วยการยืนอยู่บนขั้นบันไดที่สูงกว่า ก่อนจะวางเขาในระดับสายตาปกติของตน “ข้ารู้ว่าเจ้าคือนายน้อยอู๋ปัว ! ชายหนุ่มเสเพลที่สุดในเมือง ลูกผู้ดีมีเงิน…ไม่สิ จะบอกว่าเจ้าเป็นลูกผู้ดีมีเงินก็คงจะดูถูกลูกผู้ดีตัวจริงเสียงจริงเปล่า ๆ

อู๋ปัว บุตรชายผู้ล้างผลาญตระกูลคนแรกของอำเภอเป่าชิง ทำลายชื่อเสียงของตระกูลไม่เหลือชิ้นดี ร้านถูกโอนถ่ายกรรมสิทธิ์ จริงสิ ท่านอาของเจ้าก็โดนเนรเทศ ไร้ค่าทั้งตระกูล ! กล้าขู่ว่าข้าจะไม่มีชีวิตรอดออกจากเขตเริ่นอันอย่างนั้นหรือ ? ตระกูลเจ้าปกครองเขตเริ่นอันหรือ ? เจ้าเอาเจ้าหน้าที่ดูแลราษฎรไปไว้ที่ใด เอานายอำเภอหวางไปไว้ที่ไหน ? ”

“เด็กอัปลักษณ์ เชื่อหรือไม่ว่าตอนนี้ข้าสังหารเจ้าได้ ! ปล่อยข้าลงเดี๋ยวนี้ ! ” อู๋ปัวลั่นวาจาหยาบคายออกมา หากไม่ใช่เพราะขาคู่นั้นถูกยกจนลอยอยู่กลางอากาศ คำพูดเหล่านี้ก็คงจะไม่รุนแรงเท่าไรนัก !

มุมปากของหลินเว่ยเว่ยยกยิ้มอย่างชั่วร้าย “ปล่อยเจ้าหรือ ? เจ้าพูดเองนะ ! ”

นางมองไปรอบด้านเพื่อหาขั้นบันไดสูงที่สุด ระยะห่างจากพื้นน้อยสุดก็ประมาณ 1 หมี่ จากนั้นก็ยกมือที่จับอู๋ปัวให้สูงขึ้นพร้อมเขย่งปลายเท้าของตน “ข้าปล่อยแล้วนะ ข้าจะปล่อยจริง ๆ แล้ว ! ”

“อย่า…” ใบหน้าของอู๋ปัวถอดสี คิดว่าจะขู่นางอย่างไรให้ยอมวางตนลงดี ๆ ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าคอเสื้อด้านหลังถูกปล่อย ร่างทั้งร่างร่วงหล่นลงมาอย่างอิสระสู่พื้นดิน

“ไอหยา ! ” แผ่นหลังของเขากระแทกพื้นอย่างแรงจนต้องส่งเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด คนที่มามุงดูล้วนจุกแทนเขาทั้งสิ้น !

“พวกท่านก็เห็นว่าเขาบอกให้ข้าปล่อยเอง ! ” ใบหน้าซาลาเปาอันขาวเนียนของหลินเว่ยเว่ยเต็มไปด้วยความไร้เดียงสา

ทันใดนั้นผู้คนที่มามุงดูก็พากันหัวเราะ กระทั่งมีคนแสดงความคิดเห็นว่า

“เด็กสาวผู้นี้ช่างกล้าหาญยิ่งนัก ! ยกชายหนุ่มรูปร่างกำยำด้วยมือข้างเดียวเหมือนหิ้วลูกไก่ตัวเล็กอย่างไรอย่างนั้น”

“ถูกสาวน้อยผู้นี้ยกขึ้นมาอย่างง่ายดายเหมือนอุ้มสุนัข ศักดิ์ศรีของตระกูลอู๋ไม่เหลือแล้ว ! ”

“คนแซ่อู๋ผู้นี้ ในอดีตเคยถลุงเงินของครอบครัว พวกเขามั่งคั่งร่ำรวยที่สุดในเขตเริ่นอันด้วย วันนี้โดนเหยียบย่ำเหมือนเศษดิน ! สถานะของตระกูลอู๋ในตอนนี้ยังมีต้นทุนอันใดมากลั่นแกล้งผู้อื่นอีกหรือ ! ”

“ตระกูลอู๋จบเห่แล้ว ในอดีตคนที่โดนเขารังแกล้วนโกรธแต่ไม่กล้าพูด ตอนนี้เขาโดนเด็กสาวผู้หนึ่งสั่งสอนไม่เหลือชิ้นดี ! คนแซ่อู๋ผู้นี้ต้องตกอยู่ในสถานการณ์น่าอับอาย ต่อไปเขาจะได้กินข้าวทั้งน้ำตา ! ”

เมื่ออู๋ปัวได้ยินการวิพากษ์วิจารณ์เหล่านั้นก็พาลโกรธเคืองและพยายามลุกขึ้นจากพื้น เขาโดนโทสะครอบงำแล้วพุ่งตัวใส่หลินเว่ยเว่ยอย่างไม่คิดหน้าคิดหลัง “นางสารเลว ข้าจะฆ่าเจ้า…”

หลินเว่ยเว่ยยกเท้าขวาขึ้น ในตอนที่เขาพุ่งตัวเข้ามาชน นางก็ใช้ไหวพริบอย่างฉับไวจนอู๋ปัวลอยกลับออกไปทันที จากนั้นก็ล้มกองกับพื้นที่ห่างออกไป 7-8 หมี่แล้วนอนกุมท้องขดตัวงอเหมือนกุ้ง เขาเจ็บปวดจนพูดสิ่งใดไม่ออก

หลินเว่ยเว่ยจึงแสร้งทำสีหน้าไร้เดียงสาต่อ “พวกท่านก็เห็นว่าเขาพุ่งตัวเข้ามาชนขาของข้าเอง ข้าไม่ได้ออกแรงเลยสักนิด เขาคงตั้งใจหลอกลวงแล้วคิดจะเรียกเงิน ตระกูลอู๋ตกต่ำถึงเพียงนี้แล้วหรือ ? ไอหยา ข้าอยากถามจริง ๆ ว่าท่านอาของเขาอยากเรียกร้องเงินด้วยหรือไม่ จึงไปวางเพลิงโกดังเก็บสินค้าที่อยู่บนท่าเรือแล้วถูกจับได้ ที่แท้การเรียกร้องเงินผู้อื่นก็เป็นนิสัยของตระกูลอู๋นี่เอง ! ”