โจวต้าไห่ที่อยู่อีกด้านสองตาเป็นประกาย จับจ้องมองเหล่าไท่ไท่กับโจวกุ้ยหลานเขม็ง
ทั้งหมดนี่คือเงินนะ ต่อไปพวกเขาแค่เผาถ่าน ก็หาเลี้ยงตัวเองได้แล้ว!
“พวกท่านลองคิดๆว่าต่อไปมีเงินแล้วจะทำอะไร ข้าไปต้มน้ำอาบก่อนล่ะ วันนี้เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว”
โจวกุ้ยหลานลุกขึ้น บิดขี้เกียจเล็กน้อย รู้สึกปวดเมื่อยไปทั้งตัว
เดินทั้งวัน ตัวนางก็ไม่ไหวแล้ว
“น้ำต้มไว้นานแล้ว รีบไปแช่เท้าอาบน้ำซะ” เหล่าไท่ไท่ยิ้มตาหยี ลุกขึ้นบอกทุกคน จากนั้นก็ไปห้องครัวเตรียมตักน้ำ
ทั้งหมดอาบน้ำเสร็จเรียบร้อย โจวกุ้ยหลานพึ่งจะนอนลงบนเตียงเตา กอดเจ้าก้อนน้อยพลางจุ๊บแก้มเขา หลับตาลงหลับไปเลย
ฝันดีทั้งคืน
พอนางตื่นมาอีกครั้ง บิดขี้เกียจ ลืมตาขึ้น ก็ได้เห็นดวงตาคู่นั้นของเหล่าไท่ไท่จ้องนางเขม็ง
“ไอ้หยา ตกใจหมดเลย!” โจวกุ้ยหลานร้องอุทานออกมา ถอยหลังไปข้างหลังสองก้าว
“ท่านแม่ ท่านทำอะไรแต่เช้าน่ะ คนทำคนตกใจตายได้นะ!”
โจวกุ้ยหลานไม่พอใจ ตกใจครั้งนี้ หัวใจนางแทบทะลุออกนอกอก
“เจ้าบอกแม่ตามตรง เมื่อวานใช้เงินไปเท่าไหร่?” เหล่าไท่ไท่จ้องโจวกุ้ยหลานเขม็ง ไม่ยอมพลาดอารมณ์ในดวงตานางเลยสักนิด
เรื่องนี้ยังไม่จบอีกหรอ….
“โจวกุ้ยหลานตบหน้าผากตัวเอง ถอนหายใจยาว
“ท่านแม่ ข้าเป็นลูกสาวท่าน ท่านคิดว่าข้าจะโง่บอกท่านเรื่องนี้หรือไง?”
เหล่าไท่ไท่ไม่พอใจ “ข้าเป็นแม่เจ้า! เจ้ายังปิดบังข้าอีกรึ?”
“เพราะท่านเป็นแม่ข้า ข้ารู้นิสัยท่านถึงไม่บอกท่านไง ท่านวางใจเถอะ ข้าไม่มีทางบอกท่านหรอก” โจวกุ้ยหลานบอก นั่งขึ้นมา ขยี้ตาตนเอง ถึงรู้สึกว่าบนเตียงเตามีแค่นางคนเดียว
เจ้าก้อนน้อยตื่นเช้ากว่านางอีก ขายขี้หน้าจริงๆ….
เหล่าไท่ไท่โกรธจนจะยกมือตีโจวกุ้ยหลาน โจวกุ้ยหลานทำคอแข็งเถียงว่า “ท่านตีเถอะ ตีให้ตายข้าก็ไม่บอกท่านหรอก!”
“นังหนูน่าตายนี่! จะทำข้าอกแตกตาย!” เหล่าไท่ไท่โกรธจนคำรามดัง สุดท้ายก็ทำใจตบลูกสาวคนเล็กไม่ลง
นังหนูนี่พึ่งรอดตายมาได้ นางยังสงสารอยู่เลย!
เวลานี้ก็ไม่อยากมองท่าทางแบบนี้ของลูกสาวคนเล็ก นางหมุนตัวลงจากเตียงเตา และก้าวเท้าออกไป
โจวกุ้ยหลานตบหน้าอกตนเองแผ่วเบา “ตกใจเกือบตาย!”
เช้าป่านนี้ทำวิญญาณนางแทบออกจากร่างลอยไปแหน่ะ
ถ้าบอกเหล่าไท่ไท่ไป นางไม่ต้องคิดอยู่สบายหรอก ต่อให้ตายก็พูดไม่ได้!
นางครุ่นคิด ยื่นมือไปหยิบเสื้อผ้ามาใส่ เดินออกมา เห็นแค่เจ้าก้อนน้อยขุดดินหาไส้เดือนอยู่ที่ว่างด้านนอก
โจวกุ้ยหลานไปอาบน้ำที่เรือนด้านหลัง เหล่าไท่ไท่ที่อยู่ในห้องครัวร้องเรียกนาง นางรีบเดินเข้าห้องครัว ยกโจ๊กชามหนึ่งกินกับขนมเปี๊ยะขึ้นมา
“พี่ใหญ่กับสวีฉางหลินล่ะ?”
โจวกุ้ยหลานกินโจ๊ก พลางถามเหล่าไท่ไท่
“พวกเขาไปเผาถ่าน งานหาเงินง่ายอย่างนี้มีหรือจะไม่ทำ?” เหล่าไท่ไท่บอก และคิดถึงเงินสี่ตำลึงนั่น จิกตาใส่นางพลางว่า “นังหนู เงินเมื่อวานนั่นมีสองตำลึงเป็นของพี่ใหญ่เจ้า ดังนั้นพี่ใหญ่เจ้าติดหนี้เจ้าแค่แปดตำลึงแล้วนะ”
โจวกุ้ยหลานไอค่อกแค่กกับโจ๊กในมือ รอจนนางเป็นปกติแล้ว ก็มองเหล่าไท่ไท่อย่างไม่อยากเชื่อสายตา “ท่านแม่ ข้าเป็นลูกสาวแท้ๆท่านหรือไม่เนี่ย? ความผิดข้างั้นรึ?”
“ข้าทำไมล่ะ? เจ้ามีเงินซื้อของซี้ซั้วมากมายนี่ ยังจะใจดำแย่งเงินที่พี่ใหญ่เจ้าหามาอย่างยากลำบากนี่ได้รึไง?” เหล่าไท่ไท่แค่นเสียงเย็นใส่
เมื่อคืนนางนอนนับนิ้วอยู่บนเตียงเตา ยิ่งคิดยิ่งตกใจ ของพวกนี้ต้องมากกว่าสิบตำลึงแน่
ของดีเหล่านั้นนางไม่รู้ราคา ก็เลยไม่ได้คิด
สามารถใช้จ่ายเงินมากขนาดนี้ได้ในครั้งเดียว นังหนูน่าตายนี่ต้องมีเงินไม่น้อยแน่
“ของๆข้าโดนไฟเผาไปหมดแล้ว ทำไมท่านไม่สงสารข้าล่ะ? ท่านดูนะ พวกข้าไม่มีแม้แต่ที่จะอยู่ด้วยซ้ำ!” โจวกุ้ยหลานย้อนอย่างไม่พอใจ
เหล่าไท่ไท่แค่นเสียงเย็นใส่ “ข้ามีหรือจะไม่รู้จักนิสัยเจ้า ไม่รู้ว่าซ่อนเงินในกระเป๋านั่นมากแค่ไหน!”
โจวกุ้ยหลานคอแข็งเถียงว่า “ข้ามีเงินที่ไหนกัน? ต่อให้มีก็ใช้หมดแล้วรึ? ท่านแม่ ของที่ข้าซื้อล้วนเป็นของที่พวกเราต้องใช้ ท่านดูสิ ข้ายังต้องใส่เสื้อผ้าท่าน สวีฉางหลินก็ใส่เสื้อผ้าพี่ชายข้า ท่านจะบีบคั้นพวกเราให้ตายรึ?”
เวลานี้จะถอยไม่ได้เด็ดขาด ไม่งั้นต่อไปเหล่าไท่ไท่ต้องจ้องนางไม่ให้ขยับตัวแน่ ถ้านางรู้ว่านางมีเงิน ต่อไปคงอยู่ไม่สงบสุขแน่
“เสื้อกั๊กขนนั่นที่เจ้าซื้อ ก็เป็นของที่พวกเราใช้รึ?” เหล่าไท่ไท่หรี่ตาเพ่งเล็งโจวกุ้ยหลาน
“นั่นซื้อให้ท่านนะ! ข้าเห็นว่าท่านแก่แล้ว ไม่อยากให้ท่านทนหนาวไง? ท่านดูสิ ข้าไม่ได้ซื้อให้ตัวข้าเองกับสวีฉางหลินเลย ซื้อแค่ดอกฝ้ายกับผ้า เพื่อให้พวกเราสามารถทำเสื้อคลุมและผ้าห่มใหม่ได้ ทำไมให้ข้าซื้อคนเดียวล่ะ? ข้าวและแป้งขาวนั่น พวกท่านไม่ได้กินรึ?”
พูดไปพูดไป โจวกุ้ยหลานเบ้ปากอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ
“พี่น้องกันแท้ๆยังคิดบัญชีกันละเอียดเลยน่ะ ถ้าท่านพูดอย่างนี้ ของพวกนี้พี่ชายข้าห้ามใช้ กินก็ไม่ได้ ท่านก็อยู่กับพี่ชายข้า ก็กินเหมือนพวกเราไม่ได้ อย่างมากกินที่ข้าซื้อมาได้นิดหน่อย!”
เหล่าไท่ไท่เบิกตากว้าง จ้องดูโจวกุ้ยหลานเริ่มคิดบัญชี
“ยังมีอีกนะ ถ่านนี้สวีฉางหลินของข้าออกแรง พี่ชายข้าเผาไม่เป็น จะแบ่งเงินอย่างเท่าๆกันกับฉางหลินได้ยังไง? อย่างมากให้เขาส่วนเดียว ถือเป็นค่าแรงเขา ถ้าเขาไม่ทำ ก็ให้ฉางหลินทำคนเดียว ยังไงซะเดือนหนึ่งขายได้เท่าไหร่ก็มีจำนวนอยู่…” โจวกุ้ยหลานคิดบัญชีเป็นชุดๆ
เหล่าไท่ไท่ร้อนใจนัก “นังหนูน่าตายนี่ เจ้ายังอยู่บ้านแม่นะ! ทำไมเจ้าไม่คิดอันนี้เข้าไปด้วยล่ะ?”
“งั้นลูกสาวที่แต่งออกไปแล้วจะกลับมาอยู่บ้านแม่สักหลายวันมิได้รึ? อย่างมากข้าก็จ่ายค่าเช่าห้องแล้วกัน หนึ่งเดือนหนึ่งเฉียนพอกระมัง? หากยังไม่พอ งั้นพวกเราก็ย้ายออกไป เช่าบ้านคนอื่นอยู่แล้วกัน”
โจวกุ้ยหลานไม่กลัวเหล่าไท่ไท่หรอก
“ไอ้โหย นังหนูน่าตายนี่ ยังคิดบัญชีกับข้าอีกแน่ะ!” เหล่าไท่ไท่ร้อนใจแล้วจริงๆ
อย่าว่าแต่หนึ่งเดือนหนึ่งเฉียน ต่อให้หนึ่งปีหนึ่งเฉียน ก็มีคนยอมให้พวกเขาอยู่แน่!
ชาวนาทั้งปีก็คอยดูแลไร่นาของตนนี่แหละ ปกติขายไข่ไก่เปลี่ยนเป็นเกลือ สิ้นปีขายหมูขายไก่ได้เงินมาหน่อย ทุกคนล้วนไม่มีหนทางหาเงิน นี่ไงทุกคนยังจนกันอยู่เลย
“ท่านเริ่มคิดกับข้าก่อน ข้าก็คิดกับท่านบ้างแล้วสิ”
โจวกุ้ยหลานไม่สนใจ กินของในมือต่อไป
เงินสองตำลึงนี่นางไม่มีทางยอมถอยหรอก!
ถึงแม้ว่าสำหรับนางแล้ว เงินสองตำลึงไม่มีอะไรมาก แต่จะให้นางกับฉางหลินเลี้ยงพี่ใหญ่นางก็ใช่ที่ ต้องให้พี่ใหญ่ใช้แรงงานตัวเองมาแลก ที่นางทำได้คือ ถ้ามีหนทางหาเงินก็ดึงพี่ใหญ่มาทำด้วยเท่านั้น
หลักการช่วยแล้วต้องช่วยอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ไม่งั้นคนจะเกลียดน่ะ นางเข้าใจมันอย่างดีเลย
“ได้ได้ได้ ไม่คิดแล้วไม่คิดแล้ว เงินสองตำลึงนั่นคิดซะว่าซื้อเมล็ดข้าวพันธุ์ พวกเรากินด้วยกัน ได้แล้วใช่ไหม?” เหล่าไท่ไท่ยอมลงให้