ตอนที่ 213

Great Doctor Ling Ran

“หลิงรันกำลังจะทำการผ่าตัดในฐานะหัวหน้าศัลยแพทย์”

“ นั่นไม่ก้าวร้าวเกินไปหรอ เขากลายเป็นหัวหน้าศัลยแพทย์ในวัยยี่สิบต้น ๆ เลยนะ?”

“เมื่อพูดไป: ‘ฉันคิดว่าไปนั่งฟังพระเทศน์ยังจะดีกว่า‘ คนที่มีพรสวรรค์ภายในองค์กรไม่เคยจะได้รับคำชมแต่กับเอาคนภายนอกมากแทน “

แพทย์ประจำแผนที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันพูดคุยกันเองระหว่างกลุ่มสนทนาของแพทย์ประจำแผนก

แพทย์ประจำแผนกในศูนย์เวชศาสตร์การกีฬาและกระดูกและข้อนั้นเดินทางมาจากหลายที่ แม้ว่าพวกเขาจะดีที่สุดในโรงเรียน แต่ก็มีไม่มากนักที่สามารถคว้าโอกาสในการได้รับการเลื่อนตำแหน่งในศูนย์ได้ แพทย์ประจำแผนกส่วนใหญ่จะจบลงด้วยความผิดหวังกับเงินเดือนที่ต่ำเกินและพวกเขาเองก็มีโอกาสอันน้อยนิดที่จะได้ฝึกฝนทักษะของเขามันจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาจึงยังติดอยู่ในตำแหน่งแพทย์ประจำแผนกหรือไม่ก็แพทย์ประจำบ้าน

สถาบันวิจัยของจี้ตงยี้นั้นแตกต่างจากโรงพยาบาลเกรดเอขนาดใหญ่เพราะมันมีโอกาสน้อยที่แพทย์จะได้รับการเลื่อนตำแหน่ง หากคุณไม่สามารถผลักดันอันดับคุณจะจมลงสู่จุดแล้วคุณก็อาจจะต้องแข่งขันกับพวกแพทย์ที่มาจากภายนอกต่อไป ตัวอย่างเช่นแพทย์อย่างหลิงรันอาจจะครองตำแหน่งที่พวกเขาสมควรได้รับหลังจากการฝึกฝนที่นี้ก็เป็นได้

“ ฉันจะไปดู ทุกคนใครสนใจที่จะไปพร้อมกับฉันบ้าง?” แพทย์ประจำแผนกเชิญชวนเพื่อนในกลุ่มเขา

“ไปด้วย ไปด้วย.” มีแพทย์หลายคนที่ต้องการติดตามเขาไปด้วย

ในช่วงเวลาสั้น ๆ มีแพทย์เกือบยี่สิบคนวิ่งเข้าไปในห้องสาธิต พวกเขาไม่เพียง แต่เป็นแพทย์ประจำบ้านเท่านั้น แต่ยังมีแพทย์อีกหลายคนที่เข้าร่วมเป็นถึงหัวหน้าแพทย์ที่ว่างด้วย

เนื่องจากจู้ตงยี้อยู่ในแถวหน้าทุกคนไม่ได้พูดคุยแบบพล่อยๆ พวกเขาแต่ละคนหาที่นั่งที่จะนั่งและรอให้การผ่าตัดเริ่มขึ้น

ห้องสาธิตของศูนย์เวชศาสตร์กระดูกและเวชศาสตร์ต้องใช้ค่าใช้จ่ายเป็นเงินจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีการติดตั้งกล้องจุลทรรศน์ในห้องผ่าตัดที่เชื่อมกับห้องสาธิตไว้ให้สามารถชมด้วยกันได้ มันทำให้ในห้องสามารถมองเห็นกระบวนการผ่าตัดสามัญและการผ่าตัดแผลขนาดเล็กได้จากห้องสาธิต นอกจากนี้การสลับระหว่างจอแสดงผลทั้งสองก็ค่อนข้างสะดวกและสามารถสื่อสารด้วยเสียงแบบเรียลไทม์ มันเป็น “เทคโนโลยีการแสดงผล” และเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการสาธิตการสอน

ซึ่งในสถาบันวิจัยการมีความกล้าที่จะผ่าตัดในห้องผ่าตัดที่เชื่อมต่อกับห้องสาธิตก็เป็นข้อมูลอ้างอิงสำหรับทุกคนในการประเมินระดับการเลื่อนขั้นของแพทย์

อย่างไรก็ตามสำหรับแพทย์การใช้ห้องสาธิตที่น่ากลัวที่สุดคือตอนที่ครอบครัวขอให้ผู้ป่วยมาเยี่ยมชมด้วย

โดยที่ห้องผ่าตัดของโรงพยาบาลทั่วไปนั้นเหมือนกล่องดำ ครอบครัวจะส่งผู้ป่วยเข้าและผู้ป่วยถูกผลักออกจากกล่องดำหลังการผ่าตัด ครอบครัวจะรู้สถานะก่อนที่ผู้ป่วยจะเข้าห้องผ่าตัดและหลังจากผู้ป่วยเสร็จจากการผ่าตัดเท่านั้น พวกเขาจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในห้องผ่าตัดเลย

เห็นได้ชัดว่ามันไม่เหมาะสมที่จะขอให้ครอบครัวของผู้ป่วยเข้ามาในห้องผ่าตัด เพราะมันจะง่ายที่จะเพวกเขาจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการทำงานของศัลยแพทย์ อย่างไรก็ตามมันจะค่อนข้างง่ายสำหรับศัลยแพทย์ที่จะควบคุมศัลยแพทย์ที่ปฏิบัติการผ่าตัดอยู่ในห้องสาธิต

แน่นอนว่าหากใครต้องการเข้าห้องสาธิตมันก็ไม่ง่ายนักที่เพราะต้องได้รับอนุญาตจากสถาบันและคนๆนั้นต้องเป็นพิเศษมากจึงจะได้เข้ามา

หมอคูผลักประตูเบา ๆ เปิดไปอย่างเงียบ ๆ ไปที่มุมห้องสาธิตและแตะที่หัวล้านตรงกลางศีรษะของเขาและถอนหายใจเบา ๆ

เขาใส่ใจเรื่องนี้มากกว่าแพทย์ประจำบ้านคนอื่น ท้ายที่สุดเขายังมีส่วนร่วมในการออกแบบแผนการผ่าตัดของหลิวเหว่ยด้วยดังนั้นเขาจึงตระหนักถึงหลิวเหว่ยและแผนการผ่าตัดเป็นอย่างดีรวมถึงระดับทักษะที่จำเป็นสำหรับการผ่าตัด

หมอคูพยักหน้าให้หมอหลายคนเห็นเขาและนั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่งที่แถวสุดท้ายในห้อง เขาจ้องไปที่หน้าจอสีดำสนิท

หลังจากระยะเวลาผ่านไปนานหน้าจอก็สว่างขึ้นทุกคนหยุดพูดคุยและมองไปที่หน้าจอตรงกลางโดยที่ทั้งสองมีสนามผ่าตัดที่แสดงโดยกล้องผ่าตัดและฉากห้องผ่าตัดที่แสดงโดยกล้องพาโนรามา กล้องของกล้องจุลทรรศน์สองหัวยังคงเป็นสีดำและมีเสียงออกมาจากมัน

“หมอหลิงให้ฉันช่วยคุณสวมชุดผ่าตัด”

“หมอหลิงดูที่รายการอุปกรณ์มีอะไรที่ต้องเพิ่มอีกไหม”

“นิสัยคุณเป็นยังไงคุณต้องดื่มน้ำระหว่างผ่าตัดรึเปล่า”

สิ่งแรกที่มาคือเสียงของพยาบาลที่ดังขึ้นมาจากจอในห้องสาธิต

หมอในห้องสาธิตดูกันและกัน แพทย์ประจำบ้านรู้สึกอึดอัดใจ แต่พูดว่า “พวกเธอเปลี่ยนเป็นคนมารยาทดีตั้งแต่ตอนไหน”

“ เมื่อพวกเธอเห็นคนหล่อๆ” เสียงคร่ำครวญหมอประจำแผนกน้ำหนัก220 ปอนด์ เขาพูดว่า “คุณไม่เห็นสิ่งที่พวกเขาพูดกับหมอสุดหล่อคนนั้นหรอ?”

“จริงๆพวกเธออาจมีอะไรบ้างอย่างที่ซ่อนอยู่ก็เป็นได้?”

“ทำไมพวกนายไม่ไปช่วยเทพธิดาของพวกนายถือกระเป๋าเลยล่ะ?”

เมื่อห้องสาธิตเงียบลงอีกครั้งทุกคนมองที่หน้าจออีกครั้งด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้ราวกับว่าพวกเขามีศัตรูร่วมกัน

มีแพทย์หญิงน้อยมากในแผนกศัลยกรรมกระดูก ในห้องผ่าตัดปฏิบัติการของแผนกศัลยกรรมกระดูกมืออาชีพพยาบาลชายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ เมื่อพวกเขาดูพยาบาลหญิงที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลพูดคุยกับหลิงรันมันทำให้กลุ่มแพทย์ประจำบ้านนั้นไม่พอใจ รวมถึงพยาบาลชายเหล่านั้นด้วย

… ..

ในห้องผ่าตัด

หลิงรันจ้องที่เท้าของผู้ป่วยเป็นเวลานาน

มันเป็นครั้งแรกที่เขาเห็นเท้านี้ แต่จากการแสกนเอ็มอาร์ไอ ความคุ้นเคยของเขากับเท้านี้นั้นไกลเกินกว่าความเข้าใจด้วยตัวเขาเอง

เจียนเทียนยูมองไปที่หลิงรันด้วยความสนใจอย่างมากและถามว่า “ หมอหลิงตอนนี้เราจะทำอะไรดี?”

“ โอ้…ฉันจะวาดเส้นผ่าตัด” หลิงรันกลับมามีสติอีกครั้ง เขาเอื้อมมือไปหาปากกาลูกลื่นและขีดสองสามบรรทัดที่เท้าที่บาดเจ็บของผู้ป่วย จากนั้นเขาถามหาปากกาสีอื่นแล้ววาดอีกบรรทัด

“ความแตกต่างระหว่างพวกมันคืออะไร” หมอลู่ถามอย่างประหม่า เขาเป็นผู้ช่วยคนที่สองในวันนี้ แต่เขาก็ไม่รู้มากเกี่ยวกับการรักษาเอ็นร้อยหวาย หากมีบางสิ่งที่เขาเข้าใจส่วนใหญ่เป็นความรู้จากตำราและวิดีโอ ในกรณีที่ไม่มีระบบช่วยเขาและการที่เขาไม่หล่อเหมือนหลิงรันมันก็เป็นเรื่องยากที่คนอื่นจะเข้ามาช่วยเขา อีกทั้งความรู้เกี่ยวกับการผ่าตัดเอ็นร้อยหวายของเขาเท่ากัยศูนย์ในตอนนี้

หลิงรันมองไปที่หมอลู่ด้วยสายตาที่ค่อนข้างงุนงง “แตกต่างอะไรนะ?”

“เส้นการผ่าตัดมีสองสี”

“โอ้เส้นดำเป็นรอยบากสีขาว … หมายถึงเส้นเอ็นที่ฉีกขาด” หลิงรันชี้ไปที่เส้นผ่าตัดและบิดตัวเล็กน้อยเพื่อให้หมอลู่มองเห็นได้ชัดเจน

เจียนเทียนยูซึ่งตอนแรกไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ เขารู้ทันทีว่าเขาไม่ได้อ่านคำแนะนำของแผนกการถ่ายภาพทางการแพทย์ดังนั้นเขาจึงลืมยืนยันตำแหน่งของเอ็นร้อยหวายซึ่งตอนนี้เขาคิดออกแค่สิ่งที่เขาจำได้เท่านั้น แต่หลิงรันเองก็ไม่ได้พึ่งพาแผนกการถ่ายภาพทางการแพทย์และสามารถอ่านผลแสกนด้วยตนเองอยู่แล้ว

เจียนเทียนยู ให้หลิงรันดูที่แผลอย่างจริงจังก่อนที่เขาจะก้มหัวลงไป เด็กที่ทำคะแนนแปดสิบห้ารับรู้ว่าเด็กที่มีคะแนนร้อยคะแนนได้เช่นเดียวกับที่แพทย์อย่างเจียนเทียนยูรู้ว่าทักษะของหลิงรันนั้นมีความสามารถอย่างไร

เมื่อมีการใช้ผลการแสกนเอ็มอาร์ไอสำหรับการวินิจฉัยการฉีกของเอ็นร้อยหวายนั้นไม่เพียงแต่แยกแยะความรุนแรงของการฉีกของบาดแผลเท่านั้น แต่ยังบอกถึงสภาพของปลายทั้งสองที่ฉีกขาดและระยะห่างระหว่างรอยฉีกด้วย

นี่เป็นข้อมูลทางคลินิกที่มีความหมายมากและความสำคัญของผลการแสกนเอ็มอาร์ไอ

เจียนเทียนเขารู้สึกอึดอัดใจแต่รู้สึกอิจฉาหลิงรันเป็นอย่างมาก เพราะหลิงรันมีความสามารถเช่นนี้ในวัยยี่สิบเพียงเท่านั้น ซึ่งถือว่าเขามีความสามารถมากจริงๆ

เจียนเทียนยูตรวจสอบตัวเองและพบว่าแม้ว่าเขาจะมีเวลาว่างครึ่งปีที่จะใช้ในการพัฒนาการอ่านเอ็มอาร์ไอจากคะแนนแปดสิบห้าเป็นคะแนนหนึ่งร้อย แต่อย่างไรก็ตามครึ่งปีคงจะไม่เพียงพอสำหรับเขาซึ่งจริงๆถึงแม้จะมีเวลาว่างถึงสองปีเขาอาจจะทำมันไม่ได้อยู่ นอกเสียจากเขาจะใช้เวลาทั้งหมดนั้นทุ่มไปกับการฝึกอ่านเอ็มอาร์ไอทั้งหมดแต่มันก็ยากที่จะพัฒนาให้มันดีขึ้นอยู่ดี

อย่างไรก็มันก็ยังมีโอกาสเป็นไปได้ที่เขาจะทำคะแนนได้ถึงร้อยจริงๆ

ณ ตอนนี้ทักษะของเจียนเทียนยูในศัลยกรรมกระดูกซึ่งประกอบไปด้วยสองทิศทางคือข้อต่อและเวชศาสตร์การกีฬา เขาผูกมือเขาไว้แล้วเขาไม่สามารถแบ่งเวลาได้อีกต่อไป

หลิงรันสังเกตเห็นการผ่าตัดของหมอลู่และเจียนเทียนยูจึงตัดสินใจที่จะอธิบายอย่างชัดเจนยิ่งขึ้นกับผู้ช่วยของเขา เขากล่าวว่า “จากการถ่ายภาพเอ็มอาร์ไอฉันเห็นความเข้มของสัญญาณสูงที่ จำกัด อยู่ที่บริเวณเอ็นของภาพตรงจุดนี้มันมีน้ำหนักแบบ ที1 และแบบ ที2 น้ำหนักกลุ่มของเส้นเอ็นนั้นหยาบกว่าและไม่สม่ำเสมอมากขึ้นนี่เป็นลักษณะของการบาดเจ็บบางส่วน สามารถมองเห็นตำแหน่งได้จากรูปภาพที่มีน้ำหนัก ที2 เมื่อสัญญาณของมันสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญนั่นจะเป็นส่วนที่ชัดเจนที่สุดของการฉีกขาด “

หลิงรันชี้ให้เห็นตำแหน่งโดยตรงกับ เจียนเทียนยูและหมอลู่จากนั้นเขาถามวิสัญญีแพทย์เกี่ยวกับสถานการณ์และขอให้มีดผ่าตัดเพื่อเริ่มการผ่าตัด

คราวนี้ความเร็วของหลิงรันนั้นเร็วมากหลิงรานสั่งให้ “ดึงเปิดผิวหนัง” ในขณะที่เขาวางมีดผ่าตัดลงในถาดเจียนเทียนยูได้แต่ลังเลอีกสองสามวินาทีก่อนที่เขาจะรู้ว่าการผ่าตัดได้เริ่มขึ้นแล้ว

เมื่อเปรียบเทียบกับเขาหมอลู่ผู้ซึ่งเป็นผู้ช่วยคนที่สองที่คุ้นเคยกับสไตล์ของหลิงรันมากกว่า หลิงรันไม่ชอบพูดอะไรมากในการผ่าตัดอยู่แล้ว และเขาก็ไม่เหมือนศัลยแพทย์ที่ไม่มั่นใจและต้องการขอการยืนยันจากผู้ช่วยของพวกเขาตลอดเวลา เขาทำสิ่งที่จำเป็นต้องทำเสมอในขณะที่ผ่าตัดอยู่

ยิ่งไปกว่านั้นหลิงรันยังเป็นแพทย์ “ที่ชอบฉายเดี่ยว” ซึ่งเป็นปกติเขามีกลยุทธ์ที่ละเอียดสำหรับขั้นตอนส่วนใหญ่ในการผ่าตัด บางครั้งเมื่อผู้ช่วยไม่สามารถจัดการหรือเมื่อพวกเขาเกิดอาการฟุ้งซ่านหลิงรันจะไม่พูดอะไรสักคำและเลือกที่จะเข้าไปผ่าตัดด้วยตัวเอง

ความเข้มข้นแบบนี้ค่อยๆซึมซับเข้าไปสู่หมอลู่,มาหยางลินและหยูหยวน มันก่อให้เกิดผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อชีวิตของทั้งสามคนในฐานะศัลยแพทย์ แต่โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสองคนที่ทำงานร่วมกับเขามาตั้งแต่ต้น

ในเวลานี้หมอลู่เอื้อมมือออกไปโดยอัตโนมัติและพูดว่า “เครื่องรีแอคเตอร์“

พยาบาลมองไปที่เจียนเทียนยูและมอบรีแอคเตอร์ให้แก่หมอลู่ ซึ่งหมอลู่ได้ทำการดึงกล้ามเนื้อรอบ ๆ เอ็นร้อยหวายอย่างระมัดระวังและตั้งใจเผยให้เห็น ขั้นตอนนี้เกือบจะเหมือนกับเทคนิคเอ็มถังโดยเฉพาะที่เอ็นนั้นหนาขึ้นและเนื้อเยื่อของกล้ามเนื้อใหญ่ขึ้น

หลังจากล้างออกด้วยน้ำเกลือเล็กน้อยเส้นเอ็นที่ฉีกขาดจะได้รับการสัมผัสจากน้ำเกลือ เจียนเทียนยูเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยและรู้สึกเสียใจที่ไม่ฟังคำอธิบายจากแผนกการถ่ายภาพทางการแพทย์ มิฉะนั้นเขาสามารถตัดสินตำแหน่งที่ถูกต้องและจะไม่ถูกควบคุมโดยหลิงรัน

“การเย็บแบบปิดท้าย” หลิงรันเตือนความจำ เขาไม่มีอะไรจะพูดมาก พวกเขาเพียงแค่ต้องใช้วิธีแบบเคสเลอร์ไว้ซึ่งหมอคู เคยใช้มันเมื่อวันก่อนในการเย็บอย่างรวดเร็ว

เส้นประสาทเส้นเล็กเส้นประสาททั่วไป ซึ่งหมอคูใช้เวลานานในการทำให้การผ่าตัดครั้งก่อนแต่มันราบรื่นขึ้นจากหลิงรันที่เขาจัดการทุกอย่างได้อย่างง่ายดายก่อนที่จะส่งมันต่อให้หมอคู

การเย็บแบบปิดท้ายเป็นรูปแบบการเย็บที่ง่ายที่สุด พวกเขาใช้มันเพื่อแยกเส้นเอ็นร้อนหวายโดยทั้งเอ็นทั้งสองที่แยกออกจากกันนำมารวมเข้าด้วยกันแล้วเย็บให้แน่นกลับมารวมกันอีกครั้ง

เนื่องจากเอ็นร้อยหวายมีความแข็งแรงและหนาพอจึงไม่มีช่องว่างในการเย็บแผลที่ละเอียดอ่อนเช่นเทคนิคเอ็มถังวิธีการแก้ไขเคสเลอร์หรือวิธีการเย็บแบบเคสเลอร์ธรรมดาถูกใช้โดยแพทย์มือใหม่ที่เข้าร่วมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเหมือนกัน แต่ผลที่ได้แตกต่างกัน

หลิงรันเปลี่ยนท่าทางและเย็บแผลอย่างรวดเร็ว เจียนเทียนยูพยายามอย่างเต็มที่ที่จะร่วมมือกับหลิงรัน ความเร็วของเขาไม่เพียงพอที่จะไล่ตามหลิงรันได้ทัน

ในห้องสาธิตหมอคูซึ่งเป็นผู้ชมได้แต่นั้งงงงัน เขามักจะเย็บด้วยวิธีเคสเลอร์ที่มีการประยุกต์ยู่เสมอและก่อนหน้านี้เขาต้องการใช้เทคนิคนี้เพียงเพราะว่าเขากลัวหลิงรันแค่เท่านั้น

ในหัวใจของหมอคูเขาคิดว่าเขาทำได้ดีต่อหน้าหลิงรัน อย่างไรก็ตามตอนนี้เขาได้ดูหลิงรันซึ่งเป็นผู้ช่วยคนแรกของเขาในการผ่าตัดครั้งก่อนกลายเป็นหัวหน้าศัลยแพทย์ในการผ่าตัดครั้งนี้และยังดูว่าหลิงรานแสดงเทคนิคการเย็บแผลเคสเลอร์ด้วยวิธีใด

นี่มันมากเกินไป! ตาเถ้าเจียนเอ๋ย นี่มันมากเกินไปแล้ว! ‘