ตอนที่ 1646 : คุณหนูใหญ่ แห่งคฤหาสน์คลื่นขจีสกุลหาน!
ต้วนหลิงเทียนไม่ได้รับรู้เลยว่า ตอนนี้ข่าวเรื่องที่เขาครอบครองตราผนึกมารอยู่ จะถูกส่งไปถึงหูศัตรูชั่วชีวิตของบิดาเขาเสียแล้ว
ส่วนตอนนี้เขาก็เดินทางมาถึงเขตอิทธิพลของคฤหาสน์คลื่นขจีเรียบร้อย
ตลอดทางนั้นเขาเดินทางโดยใช้ กระบี่บิน อันเป็นกระบี่ที่ควบรวมมาจากเขตแดนหมื่นกระบี่ ความเร็วของมันเรียกได้ว่าทัดเทียมกับเซียนดั้งเดิมขั้นต้น!
ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว ต้วนหลิงเทียนจึงไม่พบปัญหาใดๆตลอดการเดินทาง
‘ไปถามข้อมูลจากคนอื่นก่อนดีกว่า’
ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะมาถึงเขตอิทธิพลของคฤหาสน์คลื่นขจีแล้ว แต่เขาเองก็ไม่รู้ว่าอยู่ส่วนไหนของเขตอิทธิพลคฤหาสน์คลื่นขจีกันแน่
เมื่อเหินเวหาท่องกระบี่มาจนถึงเมืองเล็กๆแห่งหนึ่ง ต้วนหลิงเทียนก็ลงไปสอบถามข้อมูลมา จึงได้รู้ว่าตอนนี้เขาอยู่เมืองใต้อาณัติของประเทศที่มีตระกูลอันเป็นขุมพลังชั้น 6 ตั้งตนเป็นจ้าวปกครองอยู่
ประเทศแห่งนี้เรียกว่าประเทศเซียน เป็นขุมพลังชั้น 6 ลำดับที่ 6 ภายใต้การปกครองของคฤหาสน์คลื่นขจี
อย่างไรก็ตามตอนนี้ต้วนหลิงเทียนอยู่ในเมืองเล็กๆใต้การปกครองของประเทศดังกล่าว ไม่ได้เป็นเมืองหลวงอะไรด้วยซ้ำ ดังนั้นแล้วคนที่เขาเจอส่วนใหญ่ ที่ร้ายกาจหน่อยก็มีแค่ระดับสู่เซียนเท่านั้น
ในขณะที่ไปสอบถามผู้คนเพื่อหาข้อมูลกับเส้นทาง ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ว่ามีคนกำลังจับตาดูเขาอยู่
ในเรื่องนี้เขาก็ไม่ได้แปลกใจอะไร
เมืองเล็กๆแห่งนี้นับว่าไกลปืนเที่ยงนัก ยากที่จะมีใครแวะเวียนผ่านมา
วันนี้ในเมื่อมีคนแปลกหน้าเช่นเขาเข้ามา ย่อมตกเป็นเป้าหมายเป็นธรรมดา
ด้วยเนตรเทวะ เขาก็พบว่าในบรรดาคนที่เพ่งเล็งเขาร้ายกาจที่สุดก็แค่สู่เซียนขั้นสมบูรณ์แบบเท่านั้น เขาก็คร้านจะแยแสอะไรพวกมันสืบไป
หลังจากที่ไถ่ถามอะไรเรียบร้อยแล้ว เขาก็เดินออกจากเมือง ก่อนที่จะวูบร่างหายไปต่อหน้าต่อตาเหล่าคนที่คอยตามเขามาทั้งหมด
“หายไปที่ใดแล้ว?!”
พอได้เห็นร่างชายหนุ่มในชุดสีม่วงหายตัวไปต่อหน้าต่อตา เหล่าผู้ฝึกตนขอบเขตสู่เซียนขั้นสมบูรณ์แบบไม่กี่คนที่คิดฆ่าปล้นชิงต้วนหลิงเทียน ถึงกับหลั่งเหงื่อเย็นออกมา
“ความเร็วนั่น…อย่างน้อยๆต้องบรรลุสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่?”
หนึ่งในขอบเขตสู่เซียนขั้นสมบูรณ์แบบกล่าวถึมพำ
มันเองก็เจียนบรรลุสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่อยู่รอมร่อ การที่อีกฝ่ายหายตัวไปต่อหน้าต่อตามันได้ เช่นนั้นต้องมีพลังฝึกปรืออย่างน้อยๆ สู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่!
“มิใช่! เจ้าหนุ่มนั่น…ท่ทางจะบรรลุครึ่งก้าวเซียนแล้ว!”
ในบรรดาทั้งหมด ยอดฝีมือที่ท่าทางจะร้ายกาจที่สุดอดไม่ได้ทีจะกล่าวออกมาพร้อมหลั่งเหงื่อเย็น แววตาของมันยังเต็มไปด้วยความเสียขวัญนัก
“ละ…ลูกพี่ อย่าได้บอกพวกเราเชียวว่ากระทั่งท่านยังมองไม่เห็นความเคลื่อนไหวของมัน”
ทันใดนั้นหลายคนเริ่มหน้าเปลี่ยนสี ถามออกมาด้วยความหวาดกลัว
“ในสายตาของข้า…เหมือนมันหายตัวไปในอากาศว่างเปล่า! กระทั่งครึ่งก้าวเซียนทั่วไปยังมิอาจบรรลุความเร็วระดับนี้ได้ มันสมควรเป็นครึ่งก้าวเซียนระดับยอดฝีมือในรายนามนภา หรือไม่ก็ยอดฝีมือในขอบเขตเซียน!”
ชายที่ถูกเรียกหาว่าลูกพี่นั้น มันเป็นคนที่มีพลังฝึกปรือสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่ ตอนนี้ปากของมันอ้าออกค้าง กล่าวด้วยความตื่นตระหนก”ยอดฝีมือระดับนี้น่ากลัวว่าจะพบการลอบติดตามของพวกเราแต่แรกแล้ว โชคดีที่ท่านผู้นั้นไม่คิดถือสาหาความ หาไม่แล้วพวกเราคงยากจะรอดพ้นความตายกันได้!”
จังหวะนี้หลายคนถึงกับเงียบไปไร้คำกล่าว
หากมองให้ละเอียด จะพบว่าหว่างคิ้วหน้าผากพวกมัน ชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อเย็น!
อันที่จริงแล้วการสังหารคนกลุ่มนี้ ก็เป็นเรื่องง่ายดายสำหรับต้วนหลิงเทียนนัก
อย่างไรก็ตามใจต้วนหลิงเทียนจดจ่ออยู่กับแต่ลี่เฟย เขาจึงคร้านจะมัวมาเสียเวลาอะไรกับคนพวกนี้
หลังจากถามว่าพื้นที่ส่วนกลางของเขตอิทธิพลของคฤหาสน์คลื่นขจีอยู่ที่ไหน เขาก็รีบออกเดินทางอย่างเร็วที่สุด
เมื่อมาถึงพื้นที่ส่วนกลางแล้ว เป้าหมายต่อไปของเขาแน่นอนว่าต้องเป็น ฐานที่มั่นของคฤหาสน์คลื่นขจีสกุลหาน ที่ได้รับการจัดอันดับว่าเป็นขุมพลังชั้น 5
ในฐานะขุมพลังชั้น 5 แน่นอนว่าคฤหาสน์คลื่นขจีสกุลหานไม่ได้จะเข้าไปได้ง่ายๆ
ดังนั้นต้วนหลิงเทียนจึงจำต้องมายังเมืองคลื่นขจีเสียก่อน
เมืองคลื่นขจีนับเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดในเขตอิทธิพลของคฤหาน์คลื่นขจี ยิ่งไปกว่านั้นคฤหาสน์คลื่นขจีเองยังตั้งสาขาย่อยขึ้นมา ณ เมืองแห่งนี้ด้วย
สาขานี้มีไว้เพื่อควบคุมดูแลเมืองคลื่นขจี
เจ้าเมืองของเมืองคลื่นขจี ก็เป็นคนของสกุลหาน
คฤหาสน์คลื่นขจีของสกุลหานนั้น แม้จะเป็นขุมพลังชั้น 5 แต่การจัดการภายในก็คล้ายนิกาย สำนัก อยู่บ้าง
ในคฤหาสน์คลื่นขจี ต่อให้ท่านไม่ได้ใช้แซ่หาน แต่หากพลังฝีมือท่านสูงส่งก็ล้วนเป็นที่ยอมรับนับถือ
นอกจากนี้กระทั่งเรื่องผู้นำคฤหาสน์ ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้!
ในคฤหาสน์คลื่นขจีสกุลหาน ตอนนี้ศิษย์ต่างแซ่ที่นับว่าโดดเด่นที่สุดก็คือผู้ฝึกสัตว์ กล่าวไปคนผู้นี้ก็เป็นดั่งพี่น้องแท้ๆของผู้นำคฤหาสน์คลื่นขจีคนปัจุบัน และผู้ฝึกสัตว์คนนี้ก็เป็นที่รู้จักกันดีในคฤหาสน์คลื่นขจี
เช่นนั้นแล้วตราบใดที่ท่านมีดีพอ ไม่ต้องกังวลเรื่องที่มิอาจเข้าร่วมกับคฤหาสน์คลื่นขจีไปเลย
หลังจากที่มาถึงเมืองคลื่นขจี ต้วนหลิงเทียนก็มองหาที่พักเล็กๆแห่งหนึ่ง ก่อนที่จะออกไปนั่งในเหลาอาหารทั้งวัน
เหลาอาหารที่เขาเลือกนั้นเป็นเหลาที่คึกคักที่สุดในเมืองคลื่นขจี ถึงแม้ว่าเหลาแห่งนี้จะใหญ่โตมากชั้น แต่กลับเต็มไปด้วยผู้คนแทบจะตลอดเวลา
ต้วนหลิงเทียนพยายามจนสามารถนั่งโต๊ะริมหน้าต่างได้ เขาสั่งสุราอาหารของขึ้นชื่อต่างๆมามากมายและลิ้มรสชาติอย่างละเมียดละไม
ตอนนี้ต่อให้มีคนรู้จักและสนิทสนมกับต้วนหลิงเทียนมากเพียงใดมาอยู่ที่นี่ ก็คงยากที่จะจดจำเขาได้! เพราะตอนนี้รูปลักษณ์ของเขากลับแปรเปลี่ยนกลับกลายเป็นคนละคนอย่างสิ้นเชิง!
ใบหน้าใหม่นี้ของเขาให้ความรู้สึกเย็นชายากเข้าถึง ประหนึ่งมีไอเย็นแผ่ออกมาห้อมล้อมรอบกาย! นี่ไม่ใช่หน้ากากหนังมนุษย์อะไรทั้งสิ้น แต่เป็นการปลอมตัวโดยใช้ทักษะลับ
ทักษะลับที่ว่าเขาก็ได้รับมาจากผู้เฒ่าหั่ว
แก่นของทักษะลับนี้เป็นอะไรที่ง่ายดายนัก คือใช้ปราณในร่างเพียงเล็กน้อยแปรเปลี่ยนกล้ามเนื้อบนใบหน้าส่วนนี้นิดส่วนนั้นหน่อย หากแต่นั่นกลับส่งผลให้รูปโฉมเปลี่ยนไปใหญ่หลวง!
ทักษะลับชนิดนี้นับว่ายากที่จะมองออกได้ และเหนือกว่าทักษะปลอมแปลงรูปโฉมอื่นๆไม่น้อย
ทักษะการปลอมแปลงอื่นๆไม่อาจหลอกลวงพลังวิญญาณของยอดฝีมือขอบเขตเซียนได้ง่ายๆ
หากแต่ทักษะแปลงโฉมที่ต้วนหลิงเทียนได้รับมาจากผู้เฒ่าหั่วนี้ สามารถหลอกลวงยอดฝีมือขอบเขตเซียนทั้งหลายได้ง่ายดาย เพราะถึงแม้ใบหน้าที่ปลอมแปลงจะถูกสำนึกเทวะแผ่พุ่งมาตรวจสอบ แต่พวกมันก็จะไม่พบความผิดปกติใดๆบนใบหน้าเขาเลย
ต้วนหลิงเทียนที่นั่งริมหน้าต่างก็เงี่ยหูฟังบทสนทนาของผู้คนในเหลาไปเรื่อยๆ
แต่หลังจากนั่งแช่อยู่ 2-3 วัน เขายังไม่ได้ยินข่าวที่มีประโยชน์ต่อเขาเลย!
ตอนนี้เองพอเสี่ยวเอ้อยกอาหารที่เขาสั่งไว้มาถึงอีกครั้ง ต้วนหลิงเทียนพลันยกมือขึ้นก่อนที่จะเรียกหินเซียนระดับ 5 ออกมาก้อนหนึ่ง ก่อนที่จะนำไปวางไว้เบื้องหน้าเสี่ยวเอ้อ
“ท่านลูกค้า นี่คือ…?”
เมื่อเห็นหินเซียนระดับ 5 วางไว้เบื้องหน้าสองตาของเสี่ยวเอ้อก็ลุกวาวขึ้นมา ต้องทราบด้วยว่าหินเซียนระดับ 5 นั้น เทียบได้กับเงินเดือนของมันถึง 3 เดือน!
“เสี่ยวเอ้อ…ข้ามีอะไรจะถามเจ้าหน่อย”
ต้วนหลิงเทียนกล่าว
“เชิญท่านลูกค้าว่ามาเถอะ”
เผชิญหน้ากับคำถามของต้วนหลิงเทียน เสี่ยวเอ้อพยักหน้าทั้งตอบกลับด้วยเสียงผ่านปราณแท้ทันที ทว่าแม้ยามพูดแต่ลูกตาของมันก็จับจ้องมองหินเซียนระดับ 5 ไม่วางตา
“เจ้าเคยได้ยินชื่อ หานเฉวี่ยไน่ หรือไม่?”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวถาม
“คุณหนูเฉวี่ยไน่?”
หลังได้ยินคำถามของต้วนหลิงเทียน เสี่ยวเอ้อก็อดไม่ได้ที่จะโค้งคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย”ท่านลูกค้า ท่านพึ่งมาถึงเมืองคลื่นขจีเป็นครั้งแรกหรือ?”
“เรื่องนี้เจ้ารู้ได้ยังไง?”
คราวนี้ถึงตาต้วนหลิงเทียนเป็นฝ่ายประหลาดใจบ้าง
“ท่านลูกค้า ตราบใดที่ท่านเคยมาพักยังเมืองคลื่นขจีท่านจะรู้ว่า ทุกผู้คนที่อยู่ในเมืองนี้ล้วนรู้จักคุณหนูเฉวี่ยไน่กันดีทั้งสิ้น นางคือคุณหนูใหญ่ของคฤหาสน์คลื่นขจีสกุลหาน และยังเป็นบุตรีเพียงคนเดียวของผู้นำคฤหาสน์ ผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในคฤหาสน์คลื่นขจีสกุลหาน!”
เสี่ยวเอ้อกล่าว
ต้วนหลิงเทียนพอได้ยินก็อดไม่ได้ที่จะเผยยิ้มขื่นขมออกมา นี่เขามัวนั่งบ้าทำอะไรอยู่ตั้ง 2-3 วัน?
หากเขาถามผู้คนตั้งแต่แรกๆ ป่านนี้เขาคงได้รู้เรื่องหานเฉวี่ยไน่ไปนานแล้ว! ไม่ต้องมานั่งกังวลว่าหานเฉวี่ยไน่จะมาจากคฤหาสน์คลื่นขจีจริงหรือไม่!!
‘ดูเหมือนข้าจะเดาถูกแล้วจริงๆ หานเฉวี่ยไน่เป็นคนของคฤหาสน์คลื่นขจี…แต่ไม่คิดเลยว่านางจะเป็นบุตรีคนเดียวของผู้นำคฤหาสน์’
เมื่อนึกถึงเด็กสาวตัวน้อยที่เคยพบในวันวาน สายตาต้วนหลิงเทียนก็เผยความอ่อนโยนขึ้นมา
“หินเซียนก้อนนี้เป็นของเจ้าแล้ว”
หลังจากได้รับทราบแล้วว่าหานเฉวี่ยไน่เป็นคนของคฤหาสน์คลื่นขจีจริงๆ ต้วนหลิงเทียนก็รู้ดีว่าเขาสมควรทำอะไรสืบต่อ
เนื่องจากสถานะที่พิเศษของหานเฉวี่ยไน่ เขาย่อมสามารถไปเยี่ยมนางในฐานะสหายได้ ‘เดี๋ยวนะ ข้าแค่ไปเยือนสาขาของคฤหาสน์คลื่นขจีที่ตั้งอยู่ในเมืองคลื่นขจีนี้ก็พอนี่นา จะไปถึงที่หรือยังไงก็ไม่ต่างกัน ขอเพียงหานเฉวี่ยไน่รู้ว่าข้าอยู่ที่เมืองคลื่นขจีก็ใช้ได้แล้ว’
พอคิดถึงจุดนี้ ต้วนหลิงเทียนก็เริ่มระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก
เส้นประสาทที่ขึงตึงมาหลายวันก็พอได้ผ่อนคลายลงบ้าง
ตอนแรกแม้จะคาดเดาว่าหานเฉวี่ยไน่อาจจะเป็นคนของคฤหาสน์คลื่นขจีสกุลหาน แต่ทั้งหมดล้วนเป็นเขาคาดเดาไปเองไม่มีหลักฐานยืนยันสักอย่าง จึงอดไม่ได้ที่จะตึงเครียดกดดันอยู่บ้าง
เพราะสุดท้ายหากเดาผิด เขาก็จะเดินทางมาอย่างสูญเปล่า และกลายเป็นเคว้งคว้างไร้จุดหมายแล้วจริงๆ
ทว่าตอนนี้ด้วยวาจาของเสี่ยวเอ้อ ทำให้เขารู้ว่าการคาดเดาของเขาถูกต้อง!
“ขอบคุณท่าน!”
เสี่ยวเอ้อเร่งขอบคุณและรีบหยิบหินเซียนระดับ 5 ไปเก็บไว้ทันที
หลังจากที่เสี่ยวเอ้อจากไปแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็เพียงจิบสุราต่ออีก 2-3 เหยือก กับอาหารอีกไม่กี่จาน หลังจากนั้นเขาก็เตรียมตัวจะออกเดินทาง
ตอนนี้เองเสียง 3 เสียงจากโต๊ะข้างๆพลันดังขึ้นเข้าหูเขาพอดี
หากเขาได้ยินบทสนทนาของพวกมันก่อนหน้าคุยกับเสี่ยวเอ้อ เขาคงไม่สนใจอะไรเพราะยังไม่รู้ฐานะที่แท้จริงของหานเฉวี่ยไน่ในคฤหาสน์คลื่นขจี
“ข้าได้ยินมาว่า นายน้อยแห่งคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องจะมาที่คฤหาสน์คลื่นขจีของพวกเรา เพื่อสู่ขอคุณหนูใหญ่อันเลอค่าของผู้ตำคฤหาสน์ให้วิวาห์กับมัน! น่ากลัวว่าคุณหนูใหญ่ของพวกเราคงมิได้สืบทอดคฤหาสน์ต่อจากท่านผู้นำ ดั่งที่ตั้งใจไว้ตอนแรกอีกแล้ว…”
หนึ่งในนั้นกล่าว
“ข้าได้ยินว่าแม้จะตบแต่งไป..แต่คุณหนูใหญ่คงเป็นได้แค่สนม….เฮ่อ”
อีกคนกล่าวขึ้นมา
“ข้าเองก็ได้ยินมาแล้วว่านายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องนั่นเจ้าชู้กรุ้มกริ่มแถมมักมากในกามนัก มีภรรยาน้อยใหญ่อยู่มิต่ำกว่า 5 คน ไหนจะสาวอุ่นเตียงคลายเหงาอีกนับไม่ถ้วน! ไม่คิดเลยว่าครั้งนี้มันจะต้องตาพึงใจคุณหนูใหญ่ของคฤหาสน์คลื่นขจีของพวกเราขึ้นมาได้!”
คนสุดท้ายกล่าวออกด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง
“ข้ารู้มาว่าก่อนหน้านี้อยู่ดีๆ นายน้อยของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องก็นึกครึ้มมาเยี่ยมคฤหาสน์คลื่นขจีของพวกเราอย่างไร้สาเหตุ…จากนั้นพอมันเห็นคุณหนูใหญ่ของพากเรา มันก็ถูกใจนางทันที”
“คุณหนูใหญ่ก็นับว่าโชคร้ายนัก ก่อนหน้านี้นางเป็นดั่งเทพธิดาในคฤหาสน์คลื่นขจีสามารถชี้บันดาลทุกสิ่งได้ตามใจ แต่ต่อหน้านายน้อยของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง นางก็ทำได้แค่เชื่อฟังไม่อาจทำอะไรให้เป็นที่ขัดใจมันได้”