บทที่ 152 นึกไม่ถึงเลยว่า เธอคิดถึงเฟิงหานชวน

อ้อนรัก คุณภรรยาคนสวย

ระหว่างทางเกาเหวินจับมือของเฉินฮวนฮวน และกล่าวกำชับว่า “ผู้อำนวยการคนนั้น อาจารย์หนี นิสัยค่อนข้างเข้าถึงยาก คราวหน้าเธอเจอเขาแค่ทักทายก็พอ ไม่ต้องพูดอะไรมาก”

เฉินฮวนฮวนก็รู้สึกได้ถึงความเย็นชาของหนีซวง เธอพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง และกล่าวว่า “พี่เหวิน ฉันจะเชื่อฟังพี่ทุกอย่างค่ะ”

“อืม เมื่อกี้บนรถฉันบอกเธอแล้ว แม้ว่าเธอจะเต้นได้ดีมาก แต่เวลาฝึกซ้อมอย่าทำตัวโดดเด่นเกินหน้าเกินตา แค่เรียนไปตามอาจารย์อย่างมีวินัยก็พอ” เกาเหวินเตือนอีกครั้ง “ความโดดเด่น แสดงออกเร็วไปก็ไม่ดี”

“ฉันจะไม่ทำค่ะ พี่เหวิน” เฉินฮวนฮวนก็ไม่ใช่คนที่ชอบโอ้อวดเช่นนั้น

เมื่อเดินตามเกาเหวินมาจนสุดชั้นสอง เกาเหวินก็หยุดฝีเท้าลง เฉินฮวนฮวนจึงรู้ว่ามาถึงหอพักของเธอแล้ว

“แกร๊ก” เกาเหวินเปิดประตูทักทายคนด้านใน “สวัสดี ฉันมาแล้ว”

ผู้คนในนั้นล้วนแต่งกายด้วยชุดฝึกซ้อม ราวกับว่าพวกเขาพร้อมที่จะออกเดินทางแล้ว

“เกาเหวิน? นี่เธอ…” ฉิวอิ๋งเดินมา เธอขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย และถามว่า “ได้ยินว่าขาของเธอเต้นไม่ได้สามเดือน เธอไม่ต้องการขาแล้วเหรอ”

“แน่นอนว่าฉันต้องการขาของฉันอยู่แล้ว ฉันพารุ่นน้องมาด้วย เธอจะมาแทนที่ฉัน” เกาเหวินหันกลับมาพูดกับเฉินฮวนฮวน “นี่คือหัวหน้าหอพัก 217 ฉิวอิ๋ง เด็กฝึกหัดอันดับหนึ่งของซิงต้งเอนเตอร์เทนเมนท์”

“สวัสดีค่ะ ฉันชื่อเฉินฮวนฮวน” เฉินฮวนฮวนยื่นมือไปหาฉิวอิ๋งอย่างสุภาพ

ฉิวอิ๋งแตะมือของเธออย่างเกียจคร้านแล้วชักมือกลับ ก่อนจะถามเกาเหวินต่อ “ดังนั้น ต่อไปตำแหน่งของเธอยกให้เขาแล้ว?”

“ใช่ วันนี้ฉันมาส่งเขา เดี๋ยวเขาจะไปเข้าเรียนกับเธอ ฉันต้องออกจากเขตกิจกรรมแล้ว” เกาเหวินเอ่ยบอก พร้อมกับเดินเข้าไปด้านใน แล้วเดินไปที่เตียงทางทิศใต้สุด “ฮวนฮวน นี่คือเตียงของฉัน คืนนี้เธอก็นอนที่นี่นะ”

“ค่ะ พี่เหวิน” เฉินฮวนฮวนพยักหน้าตอบ

จู่ๆ เธอก็รู้สึกเหมือนตัวเองมาโรงเรียน ไม่เหมือนกับมาเข้าร่วมการคัดเลือก

ภายในหอพักนอกจากฉิวอิ๋งและเฉินฮวนฮวนแล้ว ยังมีเพื่อนร่วมห้องอีก 4 คน พวกเธอต่างมาทักทายและแนะนำตัวกับเฉินฮวนฮวน

หนึ่งในนั้นมีหญิงสาวร่างสูงขาเรียวยาวคนหนึ่งชื่อว่าจ้าวซี เธอไม่ค่อยจะแยแสเฉินฮวนฮวนสักเท่าไร เมื่อเกาเหวินกำลังจะไป เธอบอกให้ระวังจ้าวซีเอาไว้

เฉินฮวนฮวนไม่เคยเป็นศัตรูคู่แค้นกับใคร และไม่เคยเอามาใส่ใจมากนัก เธอคิดว่าคนอื่นไม่รุกรานเธอ เธอก็ไม่รุกรานใคร เธอจึงไม่คิดอะไรมาก

เฉินฮวนฮวนรู้ว่า เกาเหวินและจ้าวซีไม่ค่อยถูกกัน ความสัมพันธ์ของเธอกับฉิวอิ๋ง หวังซูเหม่ย และเฉินเจี๋ยถือว่าไม่แย่ และความสัมพันธ์ของเธอกับติงเซียงก็ค่อนข้างดี

หลังจากเกาเหวินไปแล้ว ติงเซียงมาหาเฉินฮวนฮวนแล้วควงแขนเธอ และกล่าวว่า “ฮวนฮวน เธอกินข้าวเช้าหรือยัง ต่อไปนี้เรามาเป็นเพื่อนกันเถอะ ไปโรงอาหารด้วยกันไหม”

“ฉันกินแล้ว แต่ฉันไปเป็นเพื่อนเธอก็ได้” เฉินฮวนฮวนรู้ว่ายังไม่ถึงเวลาเข้าเรียน และเธอก็อยากเข้าใจสถานการณ์ให้มากขึ้นจากติงเซียงนักเรียนเก่าของที่นี่

“โอเค งั้นเราไปโรงอาหารกันเถอะ หลังจากนั้นฉันจะพาเธอไปเข้าเรียน พวกเราอยู่ห้องเดียวกัน” ท่าทางของติงเซียงกระตือรือร้นมาก เธอยังกล่าวว่า “เหวินเหวินบาดเจ็บที่ขา ฉันไม่สบายใจมากเลย ฉันคิดว่าต่อไปนี้ฉันต้องไปคนเดียวแล้ว ไม่คิดว่าเขาจะส่งเธอมา”

“ใช่ มันกะทันหันมาก ตอนพี่เหวินมาหาฉัน ฉันรู้สึกงงนิดหน่อย” เฉินฮวนฮวนบอกตามความจริง

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า เดี๋ยวเธอก็ปรับตัวได้ แต่ไม่เป็นไรหรอก ถ้าพื้นฐานไม่ดี อาจารย์จะสอนให้” ติงเซียงรู้ว่าเฉินฮวนฮวนไม่ใช่นักเรียนสาขาวิชาดนตรี เธอเพียงถูกเกาเหวินดึงเข้ามาแทนที่เธอชั่วคราวเท่านั้น

เมื่อได้ยินติงเซียงบอกว่าเธอพื้นฐานไม่ดี เฉินฮวนฮวนก็รู้ว่าเกาเหวินไม่ได้พูดอะไรกับติงเซียงมากนัก ยิ่งไปกว่านั้น เธอไม่สามารถใช้โทรศัพท์มือถือระหว่างการฝึกอบรม โทรศัพท์มือถือของพวกเธอถูกส่งไปเก็บไว้ที่สำนักงานหอพัก

“อืม โอเค” เฉินฮวนฮวนเพียงพยักหน้า และไม่ได้พูดอะไรมาก

ทั้งสองคนเดินหัวเราะพูดคุยกันจนมาถึงโรงอาหาร เฉินฮวนฮวนเห็นหญิงสาวหลายคนที่สวมชุดฝึกซ้อมแบบเดียวกันกับพวกเธอ กำลังรับประทานอาหารเช้าอยู่ที่โรงอาหารเช่นกัน

ติงเซียงลากเฉินฮวนฮวนมาที่หน้าต่างกระจกด้านหน้าของร้าน เธอตักข้าวต้มและผักดองหนึ่งชุด และหาที่ว่างนั่ง

เฉินฮวนฮวนสังเกตว่าหลายร้าน นอกจากข้าวต้มแล้วก็มีแต่ข้าวต้ม ไม่มีอาหารอย่างอื่น

“ติงเซียง โรงอาหารของที่นี่จัดให้แต่ข้าวต้มเหรอ” เฉินฮวนฮวนรู้ว่าอาหารของที่นี่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย แต่เธออดไม่ได้ที่จะถามด้วยความสงสัย

ในเมื่อต้องฝึกซ้อมอย่างเข้มข้น จะกินอาหารจืดชืดแบบนี้ได้อย่างไร

“เธอเรียกฉันว่าเซียงเซียงก็พอ ไม่ต้องห่างเหินขนาดนั้นหรอก ปกติตอนเช้าก็มีแต่ข้าวต้ม ตอนกลางวันกับตอนเย็นเป็นสลัดผัก ไข่ต้ม หรือข้าวกล้องอะไรพวกนี้แหละ เพราะว่าทีมงานต้องควบคุมน้ำหนักของพวกเรา ถือโอกาสให้พวกเราลดน้ำหนักไปด้วย”

ติงเซียงเอ่ยบอก พร้อมกับกล่าวอย่างปลงใจ “ยังไงพวกเราก็เป็นเด็กฝึกหัด ก่อนหน้านี้บริษัทก็ไม่เคยให้เรากินของอร่อยๆ หรอก เรากินพวกนี้จนชินแล้วล่ะ เธอถามแบบนี้ ไม่ค่อยชินใช่ไหม”

“อันที่จริงฉันก็กินได้ ฉันก็กินข้าวต้มบ่อยๆ” เฉินฮวนฮวนเกาศีรษะตัวเองเงียบๆ

เมื่อก่อนเธอประหยัดมาก เธอและคุณยายมักจะกินข้าวต้มกับผักดองอะไรพวกนี้เป็นประจำ เพื่อเป็นการประหยัดเงิน โอกาสน้อยมากที่เธอจะกินของอร่อย

ทว่า เมื่อมาอยู่บ้านตระกูลเฟิง แม่บ้านหลี่ทำอาหารมากมายเป็นพิเศษทุกครั้ง ทำให้เธอเจริญอาหารมากขึ้น

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเห็นว่าติงเซียงกำลังกินข้าวต้มอย่างเอร็ดอร่อย เธออดนึกถึงอาหารเช้าที่เฟิงหานชวนทำให้เธอไม่ได้ เธอกลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว อาหารที่เขาทำมันอร่อยมากจริงๆ

จู่ๆ เธอก็คิดถึงเฟิงหานชวน

เพิ่งจะห่างกันเพียงหนึ่งชั่วโมงกว่า เธอก็คิดถึงเฟิงหานชวนแล้ว

สิ่งสำคัญที่สุดคือ เธอประหลาดใจมาก นึกไม่ถึงเลยว่า เธอคิดถึงเฟิงหานชวน?

เมื่อคิดว่าช่วงเวลาครึ่งเดือนนี้ ไม่เพียงแต่เธอไม่จะไม่ได้พบเฟิงหานชวนแล้ว เธอไม่สามารถแม้แต่จะโทรหาเฟิงหานชวนได้เลยด้วยซ้ำ จู่ๆ เฉินฮวนฮวนก็รู้สึกทรมานใจเล็กน้อย

“ฮวนฮวน เธอเป็นอะไรเหรอ ท่าทางเหมือนกำลังเศร้า เธอกลัวข้าวต้มกับสลัดผักใช่ไหม” ติงเซียงหัวเราะ และกล่าวว่า “ตอนฉันเพิ่งเซ็นสัญญากับบริษัทนายหน้าในฐานะเด็กฝึกหัด ผู้ดูแลไม่ให้ฉันกินนู่นนี่นั่น เหมือนกับเธอตอนนี้แหละ ตอนนั้นฉันแทบอยากจะร้องไห้ อย่าพูดถึงเรื่องเศร้าเรื่องเจ็บปวดมากเลย!”

เฉินฮวนฮวนฟังคำหยอกล้อของติงเซียง เธออดที่จะหลุดยิ้มออกมาไม่ได้

อันที่จริง เธอไม่ได้เศร้าเพราะไม่มีอาหารอร่อย แต่เป็นเพราะเฟิงหานชวน

เธอรู้สึกว่า ตัวเองตกอยู่ในความสัมพันธ์ของการทดลองแต่งงานแล้วใช่ไหม

เห็นได้ชัดว่าก่อนหน้านี้เธอเกลียดเฟิงหานชวนมาก สุดท้ายในวันสองวัน เธอก็พึ่งพาผู้ชายคนนี้เสียแล้ว

เดี๋ยวก่อน จู่ๆ เธอก็นึกได้ว่า ตอนนี้พวกเขาไม่นับว่ากำลังทดลองแต่งงานกันแล้วใช่ไหม

เพราะว่าตอนเช้า ระหว่างทางไปส่งเธอหน้าประตูใหญ่ เฟิงหานชวนกล่าวไว้ประโยคหนึ่ง

เขาบอกว่า พวกเรายังจำเป็นต้องทดลองแต่งงานกัน?

ความหมายของประโยคนี้คือ เธอเป็นภรรยาในสำมะโนครัวของเขา และเป็นภรรยาอย่างเป็นทางการของเขา เขาต้อนรับเธอ และยอมรับเธอ พวกเขาไม่จำเป็นต้องทดลองแต่งงานกันอีกต่อไป แต่พวกเขาเป็นคู่สามีภรรยาที่ซื่อสัตย์ต่อกันอย่างเปิดเผยแล้ว

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ พวงแก้มของเฉินฮวนฮวนค่อยๆ แดงระเรื่อขึ้น