บทที่ 267 ใกล้จะออกเดินทางแล้ว (2)

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 267 ใกล้จะออกเดินทางแล้ว (2)

บทที่ 267 ใกล้จะออกเดินทางแล้ว (2)

เช้าวันรุ่งขึ้น พวกเถาฮวาเก็บข้าวของเรียบร้อยแล้ว

เพราะทั้งสองบ้านไม่ได้อยู่ไกลกัน เถาฮวาเลยเอาสัมภาระมาไว้ที่บ้านซู แล้วมารวมตัวกันเพื่อที่จะออกเดินทาง

พวกเขากำลังหารือกันว่าจะให้รถไถชุมชนพาไปดีหรือไม่ แต่ว่าก็ได้ยินเสียงแตรรถมาแต่ไกล

ทุกคนมองไปตามทิศทางของเสียง ก่อนจะเจอรถคันใหญ่สามคันขับมา

“พวกจื่ออันมาหรือ?” เถาฮวาถาม

คุณย่าซูมองก่อนจะตั้งใจฟังดี ๆ “เสียงรถของจื่ออัน”

“ป้ายังได้ยินอยู่หรือเนี่ย?” เถาฮวาเอ่ยติดตลก

ขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกันอยู่ มีรถสามคันจอดอยู่ไม่ไกลจากบ้านซู

เสี่ยวจูผู้เป็นคนขับรถของเฉินจื่ออันลงจากรถคันแรก รถคันหลังเป็นเหล่าซาน

คนที่ลงจากรถบรรทุกคันใหญ่ในตอนท้ายคือชายวัยกลางคนที่มีอายุไล่เลี่ยกับเหล่าซาน คุณย่าซูมองอย่างระมัดระวังแต่เธอก็จำเขาไม่ได้

แต่เสี่ยวเถียนจำได้ว่านี่คือเพื่อนร่วมงานของพ่อ และเธอเคยเจอเขามาก่อน

“เหล่าซาน ทำไมเอารถมากมายขนาดนี้?” คุณปู่ซูถาม

“พ่อครับ แม่ครับ ผมมารับพวกเขาครับ หัวหน้าทีมยานยนต์ให้พวกเราพาเขาไปส่งในเมืองเพื่อขึ้นรถไฟครับ”

“เสี่ยวจูก็พอแล้ว ทำไมต้องเอารถมาเพิ่มด้วยเล่า?” คุณย่าซูถาม

“แม่คงไม่รู้ หัวหน้าทีมยานยนต์ได้ยินว่าบ้านเรามีหลานที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้สามคนรวดเดียว แล้ววันนี้ต้องไปเมืองหลวง เขาเลยให้ยืมรถเป็นพิเศษครับ”

เหล่าซานดูมีสง่าราศีมาก ตอนที่เขาพูด เหมือนมีแสงเรืองรองเปล่งออกมาจากหัว

ครั้นเห็นใบหน้าของผู้ชายคนข้าง ๆ ที่เต็มไปด้วยความอิจฉา กลับกันถ้าเป็นเขาก็อิจฉา ได้รถมาให้ยืมไปส่งหลาน ๆ โดยเฉพาะ โอ๊ะ ไม่สิ พวกนักศึกษาของบ้านซูต่างหาก

“นี่ใครหรือ?” คุณย่าซูชำเลืองมองลูกชายอย่างแขยง ๆ แล้วมองคนข้าง ๆ แทน

คนหน้าตาคุ้นเคยไม่รอให้เหล่าซานแนะนำ ก่อนจะตอบอย่างร่าเริง “คุณป้า ผมชื่อหลิวเต๋อเซิ่งครับ ป้าอาจจะไม่รู้ว่างานนี้แย่งมาลำบากมาก ผมคิดอยากจะถู ๆ โชคจากบ้านพวกคุณสักหน่อยครับ”

น้ำเสียงของเขามีความภาคภูมิใจพอ ๆ กับของเหล่าซาน

คุณย่าซูคิดขึ้นมา คนในทีมยานยนต์นิสัยแบบนี้หมดเลยหรือ?

“ลูกบ้านหลิวจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยปีหน้าครับ” เหล่าซานอธิบาย

คุณย่าซูมีความสุขมาก และพูดด้วยรอยยิ้ม “คุณพูดแบบนี้ ฉันอายจริง ๆ ขอบคุณที่ช่วยเหลือพวกเรานะ”

“คุณป้า มีใครในอำเภอบ้างที่ไม่รู้ว่าหลานบ้านซูสามคนจากชุมชนหงซินสอบเข้ามหาวิทยาลัยในเมืองหลวงได้ แถมทั้งจังหวัดยังมีไม่กี่คนด้วย!”

อิจฉาจะตายแล้ว!

บ้านเขาไม่ต้องเอามหาวิทยาลัยเมืองหลวงก็ได้ แค่สอบได้ของจังหวัดก็พอ

“คุณย่าซู บ้านคุณคงไม่รู้ว่าเป็นคนดังในอำเภอแล้วนะครับตอนนี้” เสี่ยวจูยังพูดติดตลกด้วยรอยยิ้ม

การมาถึงของพวกเขาทำให้คนตื่นตระหนก และมามุงดูความคึกคัก

พอรู้ว่ารถทั้งสามคันนี้มีหัวหน้าทีมยานยนต์จัดมาให้บ้านซูพาลูกหลานไปส่งที่สถานีรถไฟเป็นพิเศษ แต่ละคนก็รู้สึกอิจฉาขึ้นมา

สายตาของทั้งชุมชนเห็นแค่ความรุ่งโรจน์ของบ้านซูเท่านั้น

สำหรับคนบ้านอื่น แค่มีรถจักรยานก็ดีแล้ว แต่บ้านซูมีรถยนต์ด้วย

แต่บ้านอื่นไม่มีนักศึกษาเลย บ้านซูสอบได้ทีเดียวสามคนรวด น่าอิจฉาจริง ๆ

พอซูฉางจิ่วมาถึงก็เห็นคนอยู่ตรงนี้พอสมควรแล้ว บรรยากาศคึกคักกันมาก

ถึงลูกสาวจะสอบเข้าได้แค่มหาวิทยาลัยในจังหวัด ไม่ได้ดีเท่าหลานบ้านซู แต่แค่นี้ก็พอแล้ว

เพราะก่อนหน้านี้ไม่เคยเรียนหนังสือมาก่อน ที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ต้องขอบคุณคนบ้านซูเหลือเกินในช่วงเวลาหลายปีมานี้

“พวกเธอจะต้องไปเรียนหนังสือกันแล้ว และทางชุมชนก็ไม่ได้มีความเห็นอะไร และนี่เป็นของเล็ก ๆ น้อย ๆ จากฉันในนามของทุก ๆ คนอยากจะมอบให้”

ซูฉางจิ่วยิ้มก่อนจะยื่นซองจดหมายสีแดงออกมา เริ่มจากสามพี่น้องบ้านซูจนไปถึงซูเสี่ยวเหมย ต่างมีส่วนแบ่งของทุกคน

ยังไม่ทันได้ตอบสนองในมือก็มีซองแดงแล้ว อยากจะรีบส่งกลับคืนไปแต่ก็ไม่ทัน

“หัวหน้า คุณจะทำแบบนี้ไม่ได้นะ!”

“ทำไมไม่ได้ล่ะ?” ซูฉางจิ่วกล่าว “ในฐานะหัวหน้าชุมชน ทำไมฉันจะมอบรางวัลให้กับเด็กรุ่นหลังที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ล่ะ?”

สิ่งที่พูดนั้นเรียกได้ว่าสมเหตุสมผล!

“สิ่งที่ฉันเอามาพูดในวันนี้คือ ถ้าสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ทางชุมชนจะมอบเงินห้าหยวนให้ทุกคน”

หลังจากว่าจบ ทุกคนต่างก็แสดงความคิดเห็น แต่เรามีคนที่สอบเป็นนักศึกษาได้เยอะขนาดนี้ ให้รางวัลสักหน่อยก็ไม่เป็นไร

และหลังจากที่มีข่าวว่าหงซินมีคนสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้หลายคน พวกชายหนุ่มในชุมชนก็บอกว่าเด็กสาวที่บ้านมีความสุขกันมาก

มีแค่หลิวซิ่วอิงเท่านั้นที่พอได้ยิน ใบหน้าก็ดำทะมึน

ทำไมกัน? เงินของชุมชนก็คือของทุกคนสิ ทำไมต้องเอาไปให้ใครก็ไม่รู้ด้วย?

เพื่อประโยชน์ของบ้านซูเท่านั้นเองหรือ?

“หัวหน้า แบบนี้ไม่ได้นะ แค่ปัดมือเบา ๆ เงินยี่สิบหยวนก็หายไปแล้วนะ ไม่ว่าชุมชนเราจะมีเยอะขนาดไหน แต่จะทำแบบนี้ไม่ได้นะ!”

ซูฉางจิ่วขมวดคิ้วด้วยความรังเกียจ หลิวซิ่วอิงกวนประสาทจริง ๆ

ทุกคนก็มีความสุขดี มีแต่เธอที่เห็นแย้ง

“งั้นมาลงมติกัน ถ้าทุกคนขัดแย้ง เดี๋ยวเงินนี้ฉันออกเอง!”

พอทุกคนได้ยินที่หัวหน้าว่า พวกเขาก็พูดคุยกัน

“ฉันไม่คัดค้านนะ ชุมชนเรามีนักศึกษาตั้งหลายคน ตอนฉันกลับบ้านเกิด คนอื่นยังมองด้วยความสูงส่งเลย”

“ใช่ มีชุมชนไหนบ้างที่มีนักศึกษามากในคราวเดียวแบบนี้น่ะ?”

“สองวันก่อน ลูกชายคนรองเหมือนจะไม่เห็นด้วยนะ แต่จู่ ๆ ก็ตอบตกลง ก่อนจะบอกว่าเป็นความสามารถของชุมชนเราที่มีนักศึกษาเยอะขนาดนี้!”

ทุกคนพูดคุยกัน และต่างก็เห็นด้วย

สิ่งนี้ทำให้สีหน้าหลิวซิ่วอิงใบหน้าน่าเกลียดมากขึ้นเรื่อย ๆ

ไม่ได้การ เรื่องนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้ เธอต้องไปฟ้องที่ชุมชนใหญ่ แล้วถามเจ้าหน้าที่เลยว่าทรัพย์สินส่วนรวมมันมอบให้รายคนกันแบบนี้ได้ด้วยหรือ?

ถึงคนส่วนใหญ่จะเห็นด้วย แต่ก็มีบางส่วนที่ไม่เห็นด้วย

แค่ไม่กี่คน เขาไม่สนใจหรอก

ส่วนน้อยต้องยอมรับเสียงส่วนมากสิ!

นี่คือนโยบายที่จะไม่เปลี่ยนแปลงของเรา

ไม่มีตรงไหนที่เป็นปัญหา!

หลิวซิ่วอิงคิดจะหาคนมาสร้างปัญหากับเธอ แล้วกำหนดคนที่จะมาต่อต้านไปด้วยกัน

พวกเขาเป็นคนขี้เหนียว ไม่แสวงหาความก้าวหน้า ใจแคบและไม่เห็นหัวคนอื่น

ถือได้ว่าเป็นคนส่วนน้อยที่มีรสนิยมคล้ายกัน

พวกเขารวมตัวกันและพูดพึมพำ ๆ ก่อนจะเห็นพ้องกันว่าจะสร้างปัญหา ให้พวกผู้นำเบื้องบนได้รู้ว่าซูฉางจิ่วเป็นพวกแอบอ้างว่าทำเพื่อส่วนรวม

พวกเขาตกลงที่จะรายงานเรื่องนี้ต่อชุมชนใหญ่ทันที ไม่อย่างนั้น ถ้าเงินต้องเอาไปให้คนอื่น ต้องแย่แน่

ซูฉางจิ่วไม่รู้ว่าพวกเขากำลังวางแผนอยู่ ตอนนี้จึงให้กำลังใจเด็ก ๆ แล้วคุยกับเถาฮวา จากนั้นก็ไปหาเสิ่นจื่อเจิน

“อาจารย์เสิ่น คุณเป็นคนดี อนาคตข้างหน้าฝากเถาฮวาและลูก ๆ ของเธอให้คุณดูแลด้วยนะครับ”

เสิ่นจื่อเจินยิ้ม “เถาฮวาเป็นภรรยาผม พวกเด็ก ๆ ก็เป็นลูกของผม ผมจะดูแลพวกเขาอย่างที่ควรจะทำครับ”

ขณะที่กำลังพูดคุยกัน ก็เห็นครอบครัวน้องสาวของเถาฮวาอย่างซูกุ้ยฮวามาหา

“พี่คะ พวกเรามากันแต่เช้ามืดเลย กลัวว่าจะมาไม่ทันนะเนี่ย”

ฝั่งเสี่ยวเถียนไม่ได้รบกวนการร่ำลาของคนบ้านอื่น เธอดึงพวกพี่ ๆ มาคุยด้วย

สามพี่น้องไม่เต็มใจจะแยกจากน้องเล็กเลย และตอนนี้ก็มีเรื่องที่ยังพูดไม่จบด้วย

หลังจากนั้น กุ้ยฮวาและเถาฮวาคุยใกล้จะเสร็จแล้ว ตอนนั้นเหล่าซานก็ตะโกนให้ขึ้นรถ

พวกเขาขึ้นรถไฟเช้าวันที่ 17 เดือน 1

เดิมทีคิดจะให้รถไถไปส่ง จากนั้นก็นั่งรถรับส่งไปตัวจังหวัดแทน พอไปถึงที่นั่นก็ช่วงสองทุ่มสามทุ่มพอดี

พักที่ตัวเมืองจังหวัดคืนหนึ่ง เช้าวันที่สองก็นั่งรถไฟไป

แต่ใครจะคิดเล่าว่าเหล่าซานจะขับรถมา ทำให้ประหยัดเวลาได้มากขึ้น

เพราะเหตุนี้ คุณย่าซูจึงบอกให้พวกเขากินข้าวก่อนออกเดินทาง

“แม่ เดี๋ยวมันจะไม่ทัน ที่อำเภอยังมีคนรออีก” เหล่าซานว่า

“หมายถึงซิ่วเอ๋อร์ใช่ไหม?” คุณย่าซูถาม

“ไม่ใช่ครับ ผู้นำอำเภอกำลังรออยู่ที่โรงเรียน บอกว่าพวกเด็ก ๆ เป็นเกียรติเป็นศรีแก่โรงเรียนมัธยมอันดับหนึ่ง และเป็นของอำเภอด้วย สมควรแก่การได้รับรางวัล”

ตอนที่เหล่าซานมา เขาตกลงว่าจะพาไปถึงอำเภอตอนเที่ยงเพราะผู้นำของเมืองอยากจะพบ

คุณย่าซูไม่ได้พูดอะไรเมื่อเธอได้ยินคำว่าผู้นำ

แม้ลูกเขยจะไม่ใช่ผู้นำ แต่ก็เป็นเจ้าหน้าที่ของอำเภอ เธอเลยชินแล้ว!

“เข้าใจแล้ว งั้นก็ไม่ต้องกินแล้ว ตอนเที่ยงไปกินที่บ้านหม่านซิ่วเอา เหล่าซาน บ้านเรายังมีเนื้อกับไข่ แกเอา…”

“แม่ไม่ต้องแล้วครับ เตรียมไว้หมดแล้ว วันนี้พี่สะใภ้รองของผมลาพักร้อน พวกเธอช่วยหม่านซิ่วทำอาหารอยู่ที่บ้าน” เหล่าซานรีบหยุดไว้ “แม่ อีกสองวันพวกเสี่ยวเถียนก็ต้องไปแล้ว ไม่งั้นก็ไปที่อำเภอวันนี้ทีเดียวเลย!”

คุณย่าซูลังเล แค่ส่งหลานสามคนก็ช้ำใจแล้ว แล้วคนอื่นยังต้องไปอีกหรือ?

“ผมว่าให้แม่กับพ่อไปนอนที่อำเภอสักสองวันแล้วกัน ถ้าพวกพี่ใหญ่พี่รองมีเวลาก็ตามไปส่งเด็ก ๆ ด้วย!”

เดิมทีเหล่าต้าอยากจะบอกว่าไปไม่ได้ แต่หัวหน้าซูกับหลี่จู้จื่อก้าวออกมาเสียก่อน

“ฟาร์มไก่เดี๋ยวพวกเราดูเอง รีบไปเถอะ มันเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่งเลยนะ!”

“ใช่ครับ พี่ใหญ่พี่รองวางใจเลยนะ ผมจะดูแลเอง”

หลังจากได้ยิน คนทั้งสองก็ไม่ลังเล

พวกเขาเก็บข้าวของและออกไปพร้อมกับสัมภาระก่อนจะขึ้นรถ ทว่าก็เห็นจักรยานหลายคันมุ่งหน้ามาแต่ไกล ๆ

เหมือนจะมาบ้านซู แต่พวกเขาไม่รู้จักคนเหล่านั้นเลย

เหล่าซานเร่ง “รีบไปเร็วเข้า อย่าชักช้าเลย”

เพราะไม่รู้จักกัน เขาไม่อยากทำให้เสียเวลา

“เดี๋ยวก่อน ๆ!”

คนปั่นคงเห็นว่าพวกเขาจะออกเดินทางจึงรีบตะโกนลั่น

กระดิ่งยังดังไม่หยุด

ไม่นานนัก จักรยานก็แล่นมาถึงหน้ารถ แต่ละคนหอบหายใจหนัก

เหล่าซานว่าจบก็เรียกให้ทุกคนขึ้นรถ