ตอนที่ 299 มีความเห็นอย่างไร

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 299 มีความเห็นอย่างไร?

เฮยหมู่ตานเข้ามาดูใกล้ๆ ใช่จริงๆ ด้วย แม้แต่ในส่วนลึกของเรือนด้านในที่ไม่อนุญาตให้คนนอกเข้าไปก็ถูกวาดเอาไว้ในแผนที่ด้วย เส้นทางเองก็มีการทำสัญลักษณ์ระบุไว้อย่างชัดเจน อดไม่ได้ที่จะเอ่ยด้วยความแปลกใจ “เรือนส่วนในของเรือนเมฆาขาว แค่จ่ายเงินเข้าไปใช้บริการก็สามารถเข้าไปเดินเตร่ได้อย่างนั้นหรือเจ้าคะ?”

หนิวโหย่วเต้าส่ายหน้า ไม่รู้เหมือนกันว่าหยวนกังเอามาได้อย่างไร

“ตรงตำแหน่งที่ทำเป็นสัญลักษณ์เลือนรางเอาไว้มันหมายความว่าอย่างไรหรือเจ้าคะ?” เฮยหมู่ตานยื่นมือเข้าไปชี้ยังตำแหน่งสองสามจุดที่อยู่บนแผนที่

หนิวโหย่วเต้าวางแผนที่ลง จากนั้นหยิบกระดาษอีกแผ่นที่เต็มไปด้วยตัวอักษรขึ้นมาอ่าน

ตัวอักษรบนกระดาษแปลกประหลาดมาก เฮยหมู่ตานอ่านไม่รู้เรื่อง ทว่าหนิวโหย่วเต้าอ่านเพียงนิดเดียวก็รู้แล้วว่าหยวนกังเขียนด้วยตัวเอง เนื่องจากเป็นตัวอักษรในแบบที่พวกเขาทั้งคู่ล้วนคุ้นเคย

เนื้อความบนกระดาษเล่าว่าหยวนกังได้เข้าไปทำความรู้จักกับซูจ้าวแล้ว ไปสำรวจเรือนเมฆาขาวด้วยตัวเองมาแล้ว

เรือนเมฆาขาวแห่งนี้หาได้ธรรมดาอย่างที่เห็นกันภายนอกไม่ เรือนส่วนในมีคนคอยเฝ้าอยู่ทั้งในที่ลับและที่แจ้ง คนงานบางส่วนก็ดูไม่ธรรมดาเช่นกัน หยวนกังลองทำการหยั่งเชิงดูท่าทีเล็กน้อย สงสัยว่าเรือนส่วนในน่าจะมีผู้บำเพ็ญเพียรอยู่ไม่น้อย เมื่อดูจากการตอบสนองและความสามารถในการได้ยินบางอย่างในตอนที่ทำการหยั่งเชิงแล้ว หยวนกังสงสัยว่าทั้งซูจ้าวและฉินเหมียนน่าจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรทั้งคู่

ความสัมพันธ์ระหว่างซูจ้าวและซีย่วนต้าอ๋องเป็นเช่นที่ร่ำลือกันหรือไม่ เรื่องนี้ควรค่าแก่การสงสัย!

เขายังเล่าอีกว่าในเรือนหลังหนึ่งที่อยู่ส่วนในน่าจะเก็บปีกทองเอาไว้เป็นจำนวนมาก เลี้ยงปีกทองหลายตัวไว้คอยติดต่อสื่อสารยังพอเข้าใจได้ แต่เลี้ยงไว้เป็นฝูงนี่น่าสงสัยแล้ว แม้นหยวนกังจะไม่ได้เห็นกับตา แต่ตอนอยู่ที่จังหวัดชิงซานหยวนกังรับผิดชอบจัดการเรื่องข่าวกรองของทางสำนักเบญจคีรี ได้ใกล้ชิดกับปีกทองเป็นจำนวนมาก แค่ได้ยินเสียงก็พอจะแยกแยะได้คร่าวๆ แล้ว

แรกเริ่มปีกทองที่สำนักเบญจคีรีเลี้ยงไว้เหล่านั้นก็มีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างรุนแรงต่อหยวนกังเช่นกัน ต่อมาพอคุ้ยเคยแล้วก็ไม่ได้แสดงปฏิกิริยาใดๆ อีก เห็นได้ชัดว่าปีกทองที่เรือนเมฆาขาวเลี้ยงไว้ยังไม่คุ้นเคยกับการที่หยวนกังเข้ามาใกล้

เมื่อลองสรุปความจากรายละเอียดและร่องรอยที่พบแล้ว หยวนกังวิเคราะห์ออกมาว่าเรือนส่วนในของเรือนเมฆาขาวคล้ายฐานบัญชาการลับแห่งหนึ่งมากกว่า

แน่นอนว่าหยวนกังเองก็บอกว่านี่เป็นเพียงการสันนิษฐานเบื้องต้นของเขาเท่านั้น ยังไม่สามารถยืนยันได้

ส่วนเรื่องราวของซูจ้าวเป็นอย่างไรนั้น เขาเพิ่งพบหน้าครั้งแรก ยังไม่สะดวกจะสืบสาวลึกมากเกินไป ความหมายของหยวนกังคือต้องใช้เวลาทำความรู้จักไปช้าๆ เดี๋ยวเขาจะค่อยๆ คิดหาทาง

ตำแหน่งที่ทำสัญลักษณ์เลือนรางไว้บนแผนที่แผ่นนั้นคือสถานที่ที่หยวนกังเข้าไปไม่ได้ พูดให้ถูกคือเป็นบริเวณที่ทางเรือนเมฆาขาวไม่อนุญาตให้เขาเข้าใกล้ ในบรรดาสถานที่เหล่านั้นมีสถานที่ที่ขังปีกทองรวมอยู่ด้วย

หยวนกังบอกว่าเขาจดจำหน้าตาของซูจ้าวได้ชัดเจนแล้ว แต่ฝีมือด้านการวาดภาพไม่ดีเท่าไร คนใกล้ตัวก็ไม่มีใครที่มีฝีมือในด้านนี้เลย ไม่สามารถวาดออกมาจากความทรงจำได้

ความหมายที่หยวนกังจะสื่อคือรอให้พบกับหนิวโหย่วเต้าเมื่อไร เขาจะบรรยายรายละเอียดแล้วให้หนิวโหย่วเต้าวาดออกมา

สุดท้ายหยวนกังได้เขียนเตือนเขา บอกว่ารอบที่พักของหนิวโหย่วเต้ามีคนที่ไม่ทราบประวัติมาเตร็ดเตร่วนเวียนอยู่เป็นจำนวนมาก พร้อมถามว่าเขาไม่ได้เกิดปัญหาอะไรขึ้นใช่หรือไม่

หยวนกังไม่รู้จริงๆ ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เรื่องบางเรื่องแม้จะดูอึกทึกครึกโครม แต่นอกจากคนบางส่วนที่มียศมีฐานะแล้ว คนธรรมดาทั่วไปยากจะทราบถึงเรื่องนี้ได้ คนที่รู้ก็ไม่มีทางเอาไปเล่าส่งเดช ฮูเหยียนเวยที่หลอกถามข้อมูลมาได้ง่ายๆ ก็ถูกกักบริเวณไว้แล้ว มิเช่นนั้นเกรงว่าเขาคงทราบถึงเรื่องบางอย่างแล้ว

อีกทั้งหนิวโหย่วเต้าก็ไม่อยากให้เขารู้เรื่องนี้ ไม่อยากให้เขาเข้ามาพัวพัน

หลังจากเทียบเนื้อหาในจดหมายกับแผนที่อยู่สักพัก หนิวโหย่วเต้าพลันหรี่ตาพลางพึมพำว่า “ผู้บำเพ็ญเพียร…อาจจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียร…”

หลังจากวางกระดาษลง หนิวโหย่วเต้ายกมือไพล่หลังเดินกลับไปกลับมาพลางใช้ความคิด หากว่าซูจ้าวเป็นผู้บำเพ็ญเพียรตามที่หยวนกังสงสัยจริงๆ เช่นนั้นความสัมพันธ์ระหว่างซูจ้าวและซีย่วนต้าอ๋องก็ควรค่าพอให้สงสัยจริงๆ หากว่าเป็นสตรีธรรมดาก็แล้วไปเถิด ด้วยศักดิ์ฐานะของซีย่วนต้าอ๋องแล้ว การจะมีผู้บำเพ็ญเพียรหญิงสักคนเป็นนางห้ามก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไร แต่นี่เขาไม่เพียงจะเอาผู้บำเพ็ญเพียรหญิงมาเป็นนางห้าม ทว่ายังให้ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงไปดูแลหอคณิกาเช่นนี้ มันดูไม่ค่อยเข้าท่าสักเท่าไร

เฮยหมู่ตานอ่านเนื้อหาในจดหมายไม่รู้เรื่อง ทว่าได้ยินเสียงพึมพำของหนิวโหย่วเต้า จึงลองเอ่ยเตือนเล็กน้อย “ตามกฎของหอเลือนสลัวแล้ว ผู้บำเพ็ญเพียรห้ามทำการค้าในโลกของคนธรรมดาเจ้าค่ะ”

หนิวโหย่วเต้าตอบกลับประโยคหนึ่ง “หากว่าเป็นกิจการของซีย่วนต้าอ๋อง พวกเขาเพียงบอกว่าเป็นฝ่าซือติดตามก็รอดตัวแล้ว”

“หากว่ามีผู้บำเพ็ญคอยเฝ้าอยู่ แล้วหยวนเหยี่ยเข้าไปสถานที่สำคัญด้านในเรือนเมฆาขาวได้อย่างไรเจ้าคะ? ทั้งยังวาดแผนที่อย่างละเอียดเช่นนี้ออกมาอีก” เฮยหมู่ตานยังคงสงสัยอยู่ ในมุมมองของนาง ทั้งที่หยวนกังเป็นแค่คนธรรมดา แต่กลับเต็มไปด้วยความสามารถอันน่าเหลือเชื่อมากมาย

หนิวโหย่วเต้าส่ายหน้า ไม่ได้เอ่ยตอบ กำลังคิดเรื่องที่หยวนกังบอกว่าอยากพบเขาอยู่ ด้วยสถานการณ์ของเขาในตอนนี้ มีคนมากมายจับตามอง จะออกไปพบหยวนกังได้อย่างไร

ในเวลานี้เอง กงซุนปู้ปรากฏตัวขึ้นหน้าประตู “เต้าเหยี่ย!”

หนิวโหย่วเต้าหันไปมอง กวักมือเรียกเขาเข้ามา

กงซุนปู้รายงานว่า “เต้าเหยี่ย ทางด้านเกาะในทะเล เรือใหญ่ที่มารวมตัวกันมีประมาณสามร้อยลำแล้วขอรับ! นี่คือเรือเปล่าที่ได้รับการดัดแปลงเท่านั้น ยังมีเรือใหญ่อีกส่วนที่ทยอยเดินทางมาถึง ตัวเรือของเรือเหล่านี้จมลงไปในน้ำค่อนข้างลึก ดูเหมือนจะเป็นเรือที่มีการบรรทุกของมาเต็มพิกัด มาจอดเทียบรวมกันอยู่ด้านข้าง ไม่มีวี่แววว่าจะถูกนำไปดัดแปลงเลยขอรับ”

“ลงทุนไม่น้อยจริงๆ ดูเหมือนจะมีจำนวนมากกว่าที่ข้าคาดการณ์ไว้เสียอีก คนที่รับผิดชอบจัดการเรื่องนี้มีความสามารถไม่เบาเลยจริงๆ! คิดไม่ถึงจะทำการขนส่งม้าศึกจำนวนมากขนาดนี้ออกไปได้” หนิวโหย่วเต้าหัวเราะเฮอะๆ จากนั้นเอ่ยสั่งการต่อ “จำไว้ ห้ามไปยุ่งอะไรกับพวกเขา คอยจับตามองก็พอ อย่าแหวกหญ้าให้งูตื่น!”

“ขอรับ!” กงซุนปู้รับคำสั่งแล้วจากไป

หนิวโหย่วเต้าเดินมาหยุดหน้าโต๊ะ มองดูแผนที่เรือนเมฆาขาวอีกครั้ง จนกระทั่งสลักลึกอยู่ในสมองแล้วถึงได้เผากระดาษทั้งสองแผนทิ้งไปพร้อมกัน

เขามองเปลวไฟในเตา ปากก็พึมพำว่า “เหตุใดสำนักหยกสวรรค์ยังไม่ส่งข่าวมาอีก?”

เขารอฟังข่าวจนค่อนข้างร้อนใจ ลิ่งหูชิวเตือนได้ถูกต้องแล้ว ฮ่องเต้ไม่มีทางปล่อยให้เขาถ่วงเวลาเช่นนี้ไปเรื่อยๆ หากยังถ่วงเวลาต่อไปเช่นนี้ อาจจะไปกระตุ้นให้ฮ่องเต้ลงมืออีกครั้งได้ แบบนั้นสถานการณ์ของเขาจะอันตรายเป็นอย่างมาก

เรื่องในครั้งนี้ ตัวเขาเองก็รับรู้ได้เช่นกันว่าถูกฮ่องเต้คนนั้นเล่นงานจนหมดปัญญาแล้วจริงๆ ระดับชั้นเชิงแตกต่างกัน ทันทีที่ฮ่องเต้ลงมือ สิ่งที่ปรากฏขึ้นมาคืออำนาจ ใช้อำนาจกดดันคน ทำให้เขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่หลบหลีกไปไหนไม่ได้

มีเรื่องเรื่องหนึ่งที่เขาพอคาดการณ์ได้คร่าวๆ แล้ว ฮ่องเต้น่าจะทราบเรื่องที่เขาถูกฉู่อันโหลวหยามเกียรติจากคำบอกเล่าของพวกเผยเหนียงจื่อแล้ว

เฮยหมู่ตานเอ่ยขึ้นว่า “ข้าจะไปสอบถามให้อีกครั้งนะเจ้าคะ”

หนิวโหย่วเต้าโบกมือพลางกล่าวว่า “ไม่ต้อง แค่จับตามองพวกเฟิงเอินไท่ไว้ก็พอ ข้าจะรออีกแค่สองวันเท่านั้น หากยังไม่มีจดหมายมา เช่นนั้นข้าก็ทำได้เพียงต้องหาทางปกป้องตัวเอง”

เฮยหมู่ตานมองออกไปนอกประตู “ด้านนอกมีคนจับตามองอยู่มากมายปานนั้น คนเหล่านั้นต่างอยากได้ใบอนุญาต เหตุใดต้องรออีกสองวันล่ะเจ้าคะ หรือเพราะยังไม่เห็นผู้ใดบุกเข้ามาร้องขอถึงหน้าประตู?”

ทางนี้ลองส่งคนออกไปลองทดสอบดู ทันทีที่ออกจากเมืองก็ถูกคนจับไปตรวจค้นตัวทันที หลังจากแน่ใจแล้วว่าบนตัวไม่ได้พกใบอนุญาตไว้จริงๆ ถึงได้ปล่อยตัวกลับมา ความจริงได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดจริงๆ

หนิวโหย่วเต้ายิ้มเยาะพลางเอ่ยว่า “ร้องขออย่างนั้นหรือ? เจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือไง? ไม่มีผู้ใดกล้าเข้ามาร้องขอสิ่งนี้อย่างเปิดเผย มีแต่จะแอบชิงไปอย่างเงียบๆ ผู้ใดกล้านำใบอนุญาตไปอย่างเปิดเผย ผู้นั้นก็จะตกเป็นเป้าหมายของคนหมู่มากทันที ในส่วนนี้ทุกคนล้วนทราบแก่ใจดี ต่อให้มีคนผ่านประตูเข้ามาในเรือนนี้ พอออกไปก็คงถูกจับไปค้นตัวอย่างละเอียดทุกซอกมุมอยู่ดี”

เขาเพิ่งจะนั่งกลับลงบนเก้าอี้เอนหลังได้ไม่นาน ก็มีเสียงฝีเท้าที่ดูเร่งร้อนแว่วมาจากด้านนอก เสียงของเฟิงเอินไท่แว่วมาแต่ไกล “น้องหนิว น้องหนิว!”

หนิวโหย่วเต้าผุดลุกขึ้นมา เห็นเฟิงเอินไท่สาวเท้าเดินนำศิษย์สองคนเข้ามา ลิ่งหูชิวก็ตามหลังเข้ามาด้วย คาดว่าคงตามจับตามองฝั่งเฟิงเอินไท่อยู่ตลอดเช่นกัน

ทันทีที่เข้าประตูมา เฟิงเอินไท่ก็คว้าแขนหนิวโหย่วเต้าพลางกล่าวว่า “น้องหนิว มีข่าวจากทางสำนักแล้ว”

หนิวโหย่วเต้าถามทันที “มีข้อสรุปแล้วหรือ?”

“มีข้อสรุปแล้ว!” เฟิงเอินไท่พยักหน้ารับ จากนั้นก็ส่ายหน้าพลางยิ้มเจื่อน “ข้าถูกตำหนิยกใหญ่เลย”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ท่านถูกด่าก็สมควรแล้ว หากเปลี่ยนเป็นข้า ข้าจะไล่ท่านออกจากสำนักเสียด้วยซ้ำ”

เฟิงเอินไท่กล่าว “เจ้านี่มัน…”

หนิวโหย่วเต้าปัดมือที่ชี้หน้าเขาลงไป “เหล่าเฟิง อย่ามัวแต่พูดจาไร้สาระเลย หากถ่วงเวลาต่อไปอีกจนทางฮ่องเต้หมดความอดทน เมื่อนั้นจะมีคนตายเอาได้ อีกฝ่ายสามารถหาเหตุผลมาไล่ตะเพิดพวกเราออกไปจากที่นี่ได้ตลอดเวลา เผลอๆ อาจขับไล่พวกเราออกจากเมืองไป หากเป็นเช่นนั้นพวกเราคงได้สนุกกันแน่ รีบพูดมา สรุปแล้วทางสำนักหยกสวรรค์ว่าอย่างไรบ้าง”

เฟิงเอินไท่กล่าวว่า “เจตนาของทางสำนักเรียบง่ายยิ่ง เรื่องราวเกินจะควบคุมไหว อิทธิพลของสำนักหยกสวรรค์แผ่มาไม่ถึงทางนี้ เจ้าสำนักสั่งให้วางมือทันที ใบอนุญาตส่งออกม้าศึกหนึ่งแสนตัวห้ามเก็บเอาไว้แม้แต่ใบเดียว ให้ทิ้งไปให้หมด จะจัดการอย่างไรก็ได้ทั้งนั้น แต่ต้องให้ภายนอกรับรู้กันทั่วว่าใบอนุญาตถูกเปลี่ยนมือแล้ว ไม่ได้อยู่กับทางเราแล้ว”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยเย้าว่า “ท่านอยากขายเอาเงินไม่ใช่หรือ? อ้อมค้อมอยู่นาน ถ่วงเวลามานานขนาดนี้ สุดท้ายมันก็เหมือนที่ข้าเคยกล่าวไปไม่มีผิด!”

เฟิงเอินไท่ประสานมือเอ่ยอ้อนวอน “น้องหนิว ถือว่าพี่ชายอย่างข้าผิดพลาดไปแล้ว เจ้าอย่าได้นำมาหยอกล้อข้าอีกเลย คุยเรื่องงานเถอะ!” เขาคว้ามือหนิวโหย่วเต้า ตบหลังมือเขาเบาๆ “เรื่องงานสำคัญที่สุด! ก็อย่างที่เจ้าว่ามา หากรอต่อไปเกรงว่าฮ่องเต้คงจะตะเพิดพวกเราออกจากเมืองไป แบบนั้นจะมีคนตายเอาได้!”

ลิ่งหูชิวถอนหายใจเอ่ยไปว่า “ก็สมควรจัดการตามนี้แต่แรกแล้ว”

เฟิงเอินไท่หันไปเอ่ยว่า “ลิ่งหูซยง ความลำบากใจของข้า เจ้าก็น่าจะเข้าใจนี่ ใบอนุญาตส่งออกม้าศึกแสนตัวเชียวนะ หากไม่ได้รับความเห็นจากทางสำนัก ข้าไหนเลยจะกล้าบอกว่าทิ้งก็ทิ้งได้? ผู้ใดจะรับผิดชอบเรื่องนี้ไหวเล่า!”

“โชคดีที่สำนักหยกสวรรค์ยังนับว่าฉลาดพอ ไม่ได้ละโมบจนหลงผิด” ลิ่งหูชิวหัวเราะเหอะๆ ปัดมือพลางเอ่ยว่า “รีบจัดการเถอะ!”

หนิวโหย่วเต้าหันไปผงกหัวให้เฮยหมู่ตานเล็กน้อย เฮยหมู่ตานเดินไปทางด้านหลัง หยิบใบอนุญาตทั้งสิบใบที่เก็บซ่อนไว้ออกมา ส่งให้หนิวโหย่วเต้า

หนิวโหย่วเต้านับใบอนุญาตเล็กน้อย คว้ามือเฟิงเอินไท่มา ฟาดลงกลางฝ่ามือเขา “ครบสิบใบ ท่านลองตรวจดูอีกที”

“ไม่ต้องตรวจแล้ว!” เฟิงเอินไท่ดันคืนไปอีกครั้ง “น้องหนิวจัดการตามสบายเลย”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ท่านอย่ามาทำตัวว่าง่ายหน่อยเลย ข้าไม่มีทางหาเรื่องใส่ตัวแน่”

เฟิงเอินไท่ยังคงดันกลับไป “นี่ไม่ใช่ความคิดของข้า แต่เป็นคำสั่งจากทางสำนัก”

หนิวโหย่วเต้าถลึงตาใส่พลางเอ่ยว่า “ท่านพูดมาให้ชัดเจนดีกว่า หมายความว่าอย่างไรกันแน่?”

เฟิงเอินไท่กวักมือเรียกเล็กน้อย จากนั้นรับกระดาษแผ่นหนึ่งมาจากมือของศิษย์คนหนึ่ง ยื่นส่งให้หนิวโหย่วเต้าต่อ “จดหมายลับที่เพิ่งถอดความเสร็จ ความเห็นทุกตัวอักษรจากทางสำนักหยกสวรรค์อยู่ในนี้ทั้งหมดแล้ว ข้าไม่ได้ปิดบังอำพรางเลยแม้แต่ตัวเดียว นน้องหนิวอ่านดูก็รู้เอง”

หนิวโหย่วเต้ารับจดหมายไปอ่านทันที ยิ่งอ่านสีหน้าก็ยิ่งอึมครึม

ลิ่งหูชิวก็รีบขยับเข้ามาหาเช่นกัน ชะโงกหน้าเข้าไปอ่านด้วย

เนื้อหาช่วงแรกในจดหมายเป็นการว่ากล่าวติเตียนเฟิงเอินไท่จริงๆ บอกว่าเอาไว้จัดการเรื่องทางแคว้นฉีเสร็จเรียบร้อยจะจัดการกับเฟิงเอินไท่ทีหลัง

เนื้อหาหลังจากนั้นเป็นคำสั่งของสำนักหยกสวรรค์ ทางสำนักหยกสวรรค์ให้เฟิงเอินไท่ยกเรื่องนี้ให้หนิวโหย่วเต้าไปจัดการ โดยไม่สนใจว่าเฟิงเอินไท่จะเคยลงนามสัญญาอันใดไว้หรือไม่ สั่งให้เฟิงเอินไท่มาขอให้หนิวโหย่วเต้าคืนสัญญาทั้งหมดให้แล้วทำลายทิ้งซะ ทางสำนักหยกสวรรค์ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้ ไม่ว่าสุดท้ายแล้วจะจัดการเรื่องราวออกมาอย่างไร ล้วนยกให้หนิวโหย่วเต้าและอีกสามสำนักไปรับผิดชอบเอาเอง

………………………………………………………..