ตอนที่ 300 เพื่อนบ้านเบี้ยวหนี้ไม่ยอมจ่าย

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 300 เพื่อนบ้านเบี้ยวหนี้ไม่ยอมจ่าย

พอหลินม่ายกลับมาถึงบ้าน ก็ไม่ลืมขึ้นไปดูโรงงานเล็ก ๆ บนห้องใต้หลังคา พบว่าพนักงานกำลังจะเลิกงานพอดี

ทันทีที่พนักงานเห็นเธอ ต่างก็ทักทายด้วยรอยยิ้ม หลินม่ายทักทายพวกเขาทีละคนอย่างอ่อนโยน

เถาจืออวิ๋นตามหลินม่ายลงไปที่ห้องชั้นสอง ถามอย่างร้อนใจ “เธอได้จักรเย็บผ้ากับจักรโพ้งมาหรือเปล่า?”

หลินม่ายพยักหน้า “ฉันเหมามาหมดเลย แต่จำนวนอาจจะเกินความจำเป็นไปหน่อย มีจักรเย็บผ้าหนึ่งร้อยหลัง จักรโพ้งอีกสามสิบหลัง”

เถาจืออวิ๋นเอื้อมมือไปตบไหล่ “ไม่เป็นไร ใช่ว่าอาคารโรงงานที่เธอซื้อไม่มีที่เก็บซะหน่อย อีกไม่นานโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าแบรนด์ Unique ของเราก็ขยายกิจการใหญ่โตขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว สักวันจักรส่วนเกินพวกนั้นก็จำเป็นกับเรา ถ้าไม่อยากเก็บไว้เอง เอาไปขายต่อก็ยังได้”

“ฉันก็คิดเหมือนพี่นั่นแหละ” หลินม่ายถามต่อ “ฉันขอให้จั๋วหรานฝากข้อความมาบอกพี่ ให้พี่ไปติดต่อโรงงานสิ่งทอหลาย ๆ ที่เพื่อขอซื้อผ้าที่เหมาะกับการตัดเย็บเสื้อผ้าในแต่ละฤดูกาล โดยเฉพาะผ้าไนลอนกับผ้าเรยอนยิ่งต้องซื้อตุนไว้เยอะ ๆ พี่จัดการให้ฉันหรือยัง?”

เถาจืออวิ๋นพยักหน้า “จัดการแล้ว แต่ฉันสั่งผ้าสำหรับตัดชุดฤดูร้อนมาแค่สามหมื่นหยวน ผ้าสำหรับตัดชุดฤดูใบไม้ผลิ ฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวรวมกันสองแสนหยวน”

“แล้วตอนที่พี่เซ็นสัญญากับโรงงานสิ่งทอพวกนั้น ได้ระบุในสัญญาหรือเปล่าว่าพวกเขาจะต้องนำของทั้งหมดที่สั่งไปมาส่งให้กับเราภายในครึ่งเดือน?”

เจียงเฉิงถือเป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในพื้นที่ตอนกลางของประเทศ ถึงข่าวสารทางเศรษฐกิจจากเมืองที่อยู่แถบชายทะเลจะสะพัดเข้ามาถึงช้า แต่ราคาผ้าที่ขยับสูงขึ้นคงส่งผลกระทบต่อท้องตลาดอย่างช้าไม่เกินหนึ่งเดือนหลังจากนี้

ถึงเวลานั้นเข้าจริง อาจเสี่ยงต่อการที่โรงงานสิ่งทอจะผิดสัญญาไม่ยอมส่งสินค้าให้

ถึงยุคสมัยปัจจุบันจะเป็นยุคสมัยแห่งการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างเศรษฐกิจ แต่รัฐบาลก็ยังให้ความสำคัญต่อการดำรงชีวิตของประชาชนเป็นหลัก

ในสายตาของรัฐ องค์กรเอกชนอย่างพวกเธอไม่มีค่ามากไปกว่าเป็นแหล่งเงินทุนของพวกเขา

ตราบใดที่เงินทุนก่อให้เกิดประโยชน์กับประเทศ รัฐย่อมแสดงความยินดี แต่ถ้ามันส่งผลกระทบต่อปากท้องของประชาชนเมื่อไร พวกเขาต้องออกนโยบายควบคุมอย่างไม่ผ่อนปรนแน่ ๆ

เธอทำธุรกิจอยู่ในประเทศที่ให้ความสำคัญกับประชาชนเป็นอันดับแรก เพื่อผลประโยชน์ของผู้คน เงินทุนถือเป็นปัจจัยรั้งท้าย

ฉะนั้นเธอจำเป็นต้องแข่งขันกับเวลา ก่อนที่กระแสการขึ้นราคาวัตถุดิบจะสะพัดมาถึงเจียงเฉิง กิจการของเธอจะปลอดภัยก็ต่อเมื่อได้รับผ้าที่สั่งไว้เรียบร้อยแล้ว

นั่นเป็นเหตุผลที่หลินม่ายกำชับให้เถาจืออวิ๋นระบุระยะเวลาลงในเอกสารสัญญาด้วย ทางโรงงานควรส่งมอบผ้าที่สั่งไว้ภายในครึ่งเดือน มิฉะนั้นต้องจ่ายค่าเสียหายจำนวนมากเป็นการชดเชย เงื่อนไขที่เพิ่มมานี้ก็เพื่อกระตุ้นให้โรงงานสิ่งทอของรัฐรีบส่งมอบสินค้าให้กับเธอโดยเร็ว

เถาจืออวิ๋นนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดอย่างไม่ค่อยแน่ใจ “แฟนเธอเป็นคนเซ็นเอกสารสัญญา ฉันอ่านทวนอีกรอบแล้วเห็นว่าไม่มีปัญหา เป็นไปตามที่เธอกำชับไว้ทุกอย่าง”

หลินม่ายยกมือก่ายหน้าผากอย่างหมดคำพูด “ฉันขอให้จั๋วหรานสอนวิธีเซ็นสัญญาให้พี่แล้วนี่ พี่ยังให้เขาเป็นคนเซ็นอีกเหรอ?”

เถาจืออวิ๋นหน้าแดง “ฉันเจรจาเรื่องธุรกิจกับคนอื่นเป็นที่ไหนกันล่ะ เธอจะบังคับให้ฉันทำเรื่องยุ่งยากแทนตัวเองไม่ได้นะ แต่แฟนของเธอมีอิทธิพลน่าดูเลย เขาต่อรองราคาสินค้ากับทางโรงงานจนได้ราคาต่ำเป็นพิเศษ ในเมื่อเขามีความสามารถขนาดนั้น ให้เขาเป็นคนเซ็นยังมีประโยชน์ซะกว่า”

หลินม่ายตกตะลึงเมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดแบบนั้น รีบขอให้เถาจืออวิ๋นไปหยิบเอกสารสัญญามาให้เธออ่าน

เถาจืออวิ๋นกลับไปที่ห้อง แล้วหยิบเอกสารสัญญาทั้งหมดมายื่นให้เธอ

หลินม่ายเปิดอ่านทีละหน้า เห็นว่ารายละเอียดในสัญญาเป็นไปตามที่เถาจืออวิ๋นเล่า ฟางจั๋วหรานเซ็นสัญญากับโรงงานสิ่งทอของรัฐในเจียงเฉิงหลายแห่งตามคำขอของเธอ แถมราคาสุดท้ายที่เจรจาสำเร็จยังเป็นที่น่าพอใจมาก

หลินม่ายเห็นแล้วก็รู้สึกโล่งใจ

พออ่านเอกสารสัญญาจบ หลินม่ายก็หันไปเปิดถุงผ้าขนาดใหญ่ แล้วหันไปส่งยิ้มให้เถาจืออวิ๋น “พี่ลองดูสิว่านี่คืออะไร?”

เถาจืออวิ๋นมองเข้าไปในถุงผ้าใบใหญ่ ทันใดนั้นสายตาของหล่อนก็เป็นประกายขึ้นมา “อื้อฮือ! ชุดชั้นในพวกนี้สวยจังเลย!”

ว่าแล้วก็หยิบยกทรงตัวหนึ่งขึ้นมาทาบบนลำตัว

หลินม่ายเหลือบมองเสื้อยกทรงในมืออีกฝ่าย “พี่ใส่ไซส์นี้ไม่ได้หรอก ต้องใส่ไซส์ที่ใหญ่กว่านั้นหน่อย”

ใบหน้าเถาจืออวิ๋นเปลี่ยนเป็นแดงเรื่อ

ด้วยความที่เธอทำงานด้านการออกแบบเสื้อผ้า ทำให้รสนิยมค่อนข้างจัดจ้านและทันสมัยกว่าผู้หญิงทั่วไป แต่ในยุคสมัยที่ยังข้ามไม่พ้นคำว่าอนุรักษนิยม เธอก็ยังเขินอายอยู่บ้างเมื่อถูกวิจารณ์เรื่องทรวดทรง

ตอนที่หลินม่ายเหมาชุดชั้นในมาจากโกดังด่านศุลกากร เธอตั้งใจเลือกชุดชั้นในที่มีรูปแบบดูดีที่สุดให้เถาจืออวิ๋นกับโจวฉายอวิ๋นคนละสิบตัว

เธอเหมาชุดชั้นในมาขายทั้งที ถ้าแม้แต่คนกันเองยังไม่มีชุดชั้นในดี ๆ ใส่ นั่นจะต่างอะไรกับหญิงสาวที่ชโลมผมโดยไม่ใช้น้ำมัน?

ขณะที่สองสาวกำลังหยิบจับชุดชั้นในออกมาดูและพูดคุยกันอย่างออกรส ประตูที่แง้มไว้ครึ่งหนึ่งก็ถูกผลักเข้ามา ฟางจั๋วหรานเดินเข้ามาพร้อมกับเด็กน้อยทั้งสองที่วิ่งเล่นอยู่ชั้นล่าง

เถาจืออวิ๋นเบือนหน้าหนีไปทำอย่างอื่นทันที ทำเหมือนว่าเมื่อครู่นี้ไม่ได้จดจ่ออยู่กับชุดชั้นในพวกนั้น

การชื่นชมชุดชั้นในต่อหน้าผู้ชายในยุคสมัยนี้ถือเป็นเรื่องที่น่าอับอาย

หลินม่ายเองก็รีบยัดชุดชั้นในทั้งหมดลงในถุงผ้าใบใหญ่ตามเดิม

ฟางจั๋วหรานสังเกตเห็นเข้าพอดีก็ถามว่า “คุณยัดอะไรใส่ในถุงนั้น?”

หลินม่ายตอบกลับอย่างมีไหวพริบ “ฉันเปล่ายัดอะไรเข้าไปซะหน่อย กำลังจะล้วงเอาบางอย่างออกมาต่างหากล่ะ”

ขณะที่พุดแบบนั้น เธอก็หยิบกางเกงชั้นในผู้ชายออกมาหนึ่งกำมือแล้วส่งให้ฟางจั๋วหราน “ฉันซื้อมาฝากคุณค่ะ”

ตอนนี้หลินม่านนึกขอบคุณตัวเองเป็นพันครั้งที่ตัดสินใจหยิบกางเกงชั้นในชายใส่ปนมาในถุงผ้าใบนี้ด้วย ไม่อย่างนั้นตอนนี้คงขายหน้าฟางจั๋วหรานแย่

ฟางจั๋วหรานเหลือบมองกางเกงชั้นในชายพวกนั้นด้วยรอยยิ้ม ยกยอเธออย่างรักใคร่ “คุณภรรยาช่างรู้ใจผมจริง ๆ เลย!”

เมื่อหลินม่ายเห็นว่าตัวเองสามารถเบี่ยงเบนความสนใจของเขาได้สำเร็จ ก็แทบจะถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

พอนึกอะไรขึ้นได้ก็หันไปถามเถาจืออวิ๋น “เสื้อผ้าที่คนจากสำนักงานพาณิชย์ยึดไปคราวที่แล้วเป็นยังไงบ้างนะ พี่ได้แวะไปที่สำนักงานพาณิชย์เพื่อสอบถามเรื่องนี้หรือเปล่า?”

เถาจืออวิ๋นส่ายหน้า “เปล่า แต่ตอนที่เธอไปกว่างโจว คนจากสำนักงานพาณิชย์แวะเข้ามาตรวจสอบที่นี่ ตอนนั้นฉันถามว่าเมื่อไหร่ผลการตรวจสอบจะเสร็จสิ้น พวกเขาบอกว่าไม่เกินหนึ่งสัปดาห์ พอดีเลย วันนี้ครบกำหนดหนึ่งสัปดาห์แล้ว วันพรุ่งนี้ฉันค่อยแวะไปที่สำนักงานพาณิชย์เพื่อตามเรื่องให้”

“พรุ่งนี้เดี๋ยวฉันไปด้วย” หลินม่ายเสนอ

ในระหว่างที่ผลการตรวจสอบอย่างเป็นทางการจากสำนักงานพาณิชย์ยังไม่ออกมา เธอตั้งใจว่าจะยังไม่ไปตั้งแผงขายเสื้อผ้าที่ถนนเจียงฮั่น เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาตามมา

บ้านของหลินม่ายมีคนนอกอาศัยอยู่ร่วมชายคา ฟางจั๋วหรานจึงแสดงพฤติกรรมใกล้ชิดกับหลินม่ายมากไม่ได้

หลังกินอาหารมื้อเย็นเสร็จ ฟางจั๋วหรานก็ขอตัวกลับ

ก่อนออกเดินทาง เขาไม่ลืมกำชับให้หลินม่ายรีบเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำ

ถึงที่กว่างโจวจะมีเคอจื่อฉิงคอยช่วยดูแลเธอ แต่ทุกครั้งที่หลินม่ายไปที่นั่นจะต้องมีเรื่องมากมายหลายสิ่งให้ทำไม่จบไม่สิ้น การเดินทางไปไหนมาไหนไม่ใช่เรื่องง่าย

ยังไม่รวมการที่เธอต้องเดินทางไปกลับด้วยรถไฟ เนื่องจากต้องคอยระวังตัวตลอดเวลา ทำให้ใบหน้าของเธอซีดเซียว

ฟางจั๋วหรานสังเกตเห็นความเหนื่อยล้าในแววตาอีกฝ่าย ก็รู้สึกเจ็บปวดอยู่ในใจ

ถึงอย่างนั้นเขาก็ช่วยแบ่งเบาเธอไม่ได้มากนัก ทำได้แค่กำชับให้หลินม่ายพักผ่อนให้เพียงพอ

หลินม่ายรับคำเขา ก่อนจะเดินตามลงไปส่งฟางจั๋วหรานถึงชั้นล่าง จะได้ลอบสังเกตกิจการของทั้งสองร้านในคราวเดียว

ยังไม่ทันเดินไปถึงหน้าประตูร้าน ป้าเผิงก็เดินเข้ามาหาเธออีกครั้ง

อีกฝ่ายเริ่มบทสนทนาก่อน “ในที่สุดแม่เสี่ยวหงก็ยอมจ่ายเงินค่าต่อเติมผนังสาธารณะให้ฉันเสียที ครอบครัวของฉันกับหล่อนไม่มีค่าใช้จ่ายติดค้างกันแล้ว แต่หล่อนคงยังไม่ได้จ่ายเงินคืนให้เธอ เธอลองไปทวงหล่อนดูสิ! ถ้าเธอไม่ออกปากทวงด้วยตัวเอง ฉันว่าหล่อนไม่มีทางจ่ายคืนให้เธอง่าย ๆ แน่!”

“ค่ะ เดี๋ยวฉันจะลองดู” หลินม่ายยอมรับความหวังดีจากอีกฝ่าย เดินไปหยุดอยู่หน้าประตูบ้านของแม่เสี่ยวหง จากนั้นก็ตะโกนเรียกหล่อนอยู่หลายครั้ง ในที่สุดแม่เสี่ยวหงก็ออกมาด้วยสีหน้าไม่เต็มใจ

หล่อนเหลือบมองป้าเผิงพลางส่งสายตาถมึงทึง ก่อนจะพูดกับหลินม่ายด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ “ร้องโหวกเหวกโวยวายอยู่ได้ มีอะไร?”

“ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไรหรอกค่ะ” หลินม่ายยิ้มอย่างใจเย็น “ฉันแค่อยากแวะมาถามพี่สาว ว่าเมื่อไหร่จะจ่ายเงินค่าต่อเติมกำแพงสาธารณะที่ฉันออกให้ก่อนหน้านี้คืนเหรอคะ?”

ทัศนคติของแม่เสี่ยวหงกลับแย่มาก “โถๆๆ ทำเป็นรีบร้อนไปได้ ทำอย่างกับฉันไม่มีปัญญาจ่ายให้คุณอย่างนั้นแหละ ฉันอาศัยอยู่ข้างบ้านคุณ ไม่คิดจะย้ายหนีไปไหนอยู่แล้ว จะมากังวลอะไรกัน?”

ป้าเผิงสวนกลับทันควัน “ถ้าหล่อนรู้ตัวว่าอีกฝ่ายมาทวงเพราะรีบร้อน งั้นก็หาเงินมาจ่ายให้ซะทีสิ!”

แม่เสี่ยวหงพูดพลางทำหน้าบึ้งตึง “ตอนนี้ฉันไม่มีเงินเหลือแล้ว ถ้าฉันมีเงินเมื่อไหร่ ไม่จำเป็นต้องรอให้หมามาจับหนู(1)หรอก!” พูดจบหล่อนก็หันหลังกลับตั้งท่าจะเดินเข้าไปในบ้าน

หลินม่ายคว้าแขนเธอไว้ก่อน “เงินแค่ไม่กี่สิบหยวนคุณก็ไม่มีจ่ายอย่างนั้นเหรอ? ในเมื่อยังไม่คิดจะชำระเร็ว ๆ นี้ งั้นเราคงต้องร่างหนังสือสัญญากู้ยืมกันหน่อย”

ความจริงเธอไม่สนใจเงินจำนวนไม่กี่สิบหยวนนี้ด้วยซ้ำ ถ้าเธอจริงจังขนาดนั้นคงตามทวงจากแม่เสี่ยวหงไปนานแล้ว

แต่เธอแค่ไม่อยากให้แม่เสี่ยวหงซึ่งมีสถานะเป็นลูกหนี้ของตัวเองวางตัวหยิ่งผยองจนเกินไป ไม่ว่าอย่างไรเธอก็ต้องทวงเงินคืนให้ได้

แม่เสี่ยวหงทำหน้าเหมือนหมูตายไม่กลัวน้ำเดือด “ฉันอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ จะเขียนสัญญากู้ยืมอะไรนั่นให้คุณได้ยังไง?”

หลินม่ายโน้มตัวไปกระซิบข้างหูหล่อนทันที “คุณคิดว่าฉันดูเป็นคนใจกว้าง เลยคิดจะเล่นตุกติกยังไงก็ได้งั้นเหรอ? ลองไปถามเฮ่อเชิ่งเจ้าของตึกฝั่งตรงข้ามดูสิ ว่าตอนที่เขาเล่นตุกติกกับฉัน ฉันจัดการกับเขาอย่างไรบ้าง ถึงตอนนั้นค่อยทบทวนดูแล้วกันว่ายังอยากจะเล่นแง่กับฉันอยู่หรือเปล่า”

……………………………………………………………………………………………………………..

หมาจับหนู หมายความว่า ยุ่งเรื่องของคนอื่นที่ไม่มีประโยชน์กับตัวเอง เปรียบเหมือนสัตว์ที่มีหน้าที่จับหนูคือแมว ไม่ใช่หมา

สารจากผู้แปล

เกือบไปแล้วม่ายจื่อ พี่หมอเกือบได้เห็นของดีที่เธอเอากลับมาแล้ว

เพื่อนบ้านคนนี้เดี๋ยวนี้ชักล้ำเส้นกันนะ ต้องใช้ไม้แข็งหน่อยแล้ว

ไหหม่า(海馬)