ตอนที่ 430 เล่นไฟ อันนี้ข้าถนัด

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 430 เล่นไฟ อันนี้ข้าถนัด

เมื่อสือเจินถูกเฟิงซิวโจมตี ยันต์ก็ไร้ผลทันที เขาเผยร่างที่แท้จริงออกมา และมองเห็นว่าสิ่งที่กำลังพุ่งเข้าหาคืออะไร

ไม่ใช่ผี แต่เป็นจิ้งจอกตัวหนึ่ง แค่จิ้งจอกตัวนี้น่ะหรือ

“จิ้งจอกเฒ่าที่กลายเป็นภูต?” สือเจินประหลาดใจ

เฟิงซิวระเบิดโทสะ “จิ้งจอกเฒ่าที่กลายเป็นภูตมารดาเจ้าสิ ข้าเป็นปีศาจใหญ่อายุนับพันปีก็ยังไม่รู้อีก มีตาหามีแววไม่ จะมีดวงตาคู่นี้ไว้ทำไม!”

เขายกมือขึ้น ตะปบดวงตาของสือเจินอย่างรวดเร็ว

สือเจินร้องไห้ออกมาด้วยความเจ็บปวด ปิดตาข้างหนึ่งไม่กล้าดูถูก และรีบหยิบกระดิ่งวิญญาณร้ายที่พกติดตัวออกมาทันที

ทันทีที่กระดิ่งขยับ ผีร้ายจำนวนมากก็ส่งเสียงกรีดร้องออกมาจากกระดิ่ง เสียงนั้นแหลมสูงจนปวดหู ไอชั่วร้ายบนตัวผีร้ายเหล่านั้นดุร้ายชั่วช้า มันเข้าไปรังควานเฟิงซิวทันที ผีอ้าปากจะกัดเขา

สือเจินเย้ยหยันอย่างมีชัย เมื่อเห็นจิ้งจอกตัวนั้นชะงักไปหลังจากที่เขาเอากระดิ่งวิญญาณออกมา

เฟิงซิวถูกรังควานในทันที สิ่งชั่วร้ายเหล่านั้นรุมกัดเขา จนเขาโกรธขึ้นมา พลังปีศาจแผ่กระจายพลัน ในขณะที่เขาห่อหุ้มตัวเองไว้ ก็โจมตีผีร้ายเหล่านั้นไปด้วย

ผีร้ายกัดเขาได้แล้ว แต่กลับ กึกๆ

ฟันแตกแล้ว กัดเนื้อไม่ขาดสักชิ้น เหตุใดกระดูกถึงได้แข็งขนาดนี้ กัดไม่ได้เลย

เมื่อพลังปีศาจโจมตีร่างผี วิญญาณของพวกเขาสั่นสะท้าน พลังผีแตกสลายไปบางส่วน

“ผีน่าขยะแขยง จะมาแข่งดุร้ายกับข้าหรือ ข้าจะดุร้ายใส่ให้ตายไปเลย” เฟิงซิวคืนร่างคนอีกครั้ง ในมือเขาไม่รู้มีไม้นวดแป้งขนาดยาวสามจั้งเพิ่มขึ้นมาเมื่อไหร่ พลังปีศาจหลั่งไหลเข้าสู่มัน จากนั้นก็โจมตีผีร้ายพวกนั้น “ใครใช้ให้เอาปากเหม็นๆ มากัดข้า”

รอยยิ้มของสือเจินแข็งค้าง “!”

ฉินหลิวซี “…”

ผีร้ายที่ถูกโจมตีจนวิญญาณจะหลุดลอย เจ้าต่างหากผีร้ายตัวจริง!

เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ไม่ดี สีหน้าของสือเจินก็ทะมึนลง เขาไม่ต้องการสู้อีกต่อไป เขารีบเผายันต์ในมือ แล้วควันสีดำก็ปรากฏขึ้น ก่อนจะรีบวิ่งไปยังอีกด้านหนึ่งของห้องลับทันที

ที่นั่นยังมีอุโมงค์ที่นำไปสู่ด้านนอกได้ ตราบที่ขุนเขายังเขียวขจี ไยต้องกลัวว่าจะไม่มีฟืน[1]

ถูกต้อง เดิมทีสือเจินยังคิดที่จะทำให้พวกฉินหลิวซีกลายเป็นวิญญาณแค้นอยู่ในทางลับแห่งนั้น แต่เมื่อเห็นว่าเฟิงซิวถูกรังควานขนาดนั้นแล้วยังไม่ได้รับผลกระทบใดๆ จากกระดิ่งวิญญาณร้ายเลย เขาก็รู้แล้วว่าคนผู้นี้รับมือได้ยาก

ไม่ต้องพูดถึงว่า เขายังสามารถเปลี่ยนร่างเป็นปีศาจจิ้งจอกได้ เห็นได้ชัดว่าพลังตบะของเขาไม่เบาเลย

ปีศาจใหญ่อายุพันปี

ปีศาจตนนั้นแนะนำตนเองไว้เช่นนี้

ดวงตาสือเจินเปล่งแสงอันมืดมิดออกมา บนโลกใบนี้มีพลังวิญญาณขาดแคนเช่นนี้ แต่กลับมีปีศาจใหญ่บำเพ็ญสำเร็จได้

ฉินหลิวซีเห็นว่าสือเจินไม่ได้สู้ต่อแต่กลับหนีไปทันที ก็อดลอบถอนหายใจไม่ได้ ผู้วิเศษอะไร เอาตัวรอดไปวันๆ อย่างนี้ นางยังคิดว่าเขาจะเป็นนักพรตชั่วที่ภูมิใจในความสามารถของตนเองและยืนกรานที่จะต่อสู้กันสักยกเสียอีก

แต่คิดหนีก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น

ควันสีดำบดบังวิสัยทัศน์ แม้แต่ในห้องลับก็ยังมืดลง แต่ดวงตาของฉินหลิวซีนั้นกลับมองเห็นได้อย่างชัดเจนราวกับยามกลางวัน

นางเห็นว่าสือเจินหนีไปทางตะวันออกเฉียงใต้ และก้มตัวลง…

ขุดรูสุนัข?

ฉินหลิวซียิ้มเยาะ ก้าวเข้าไปอย่างรวดเร็ว

“เลิกเล่นได้แล้ว มันหนีไปแล้ว

“เจ้าหนูตัวน้อยจะหนีไปไหน กลับมาหาข้าเสียดีๆ” ดวงตาปีศาจของเฟิงซิวกวาดมอง เขาสอดมือเข้าไปลากตัวสือเจินที่มุดเข้าไปในรูสุนัขจนเหลือแต่ขาข้างเดียวแล้วออกมา

เฟิงซิวออกแรงคว้าเท้าของสือเจิน แล้วเหวี่ยงขึ้นเหมือนเหวี่ยงหางหนู

น่าอัปยศอดสูจริงๆ

สือเจินถูกเหวี่ยงจนเห็นดาว

ปัง

สือเจินล้มลงกับพื้นเสียงดัง ฝุ่นบนพื้นลอยฟุ้งขึ้นมาเต็มไปหมด

“พวกเจ้าเป็นใคร”

“อยากตายอย่างไม่มีข้อสงสัยหรือ ข้าจะไม่ให้เจ้าได้สมหวังหรอก” เฟิงซิวเยาะ เขายกเท้าขึ้นเหยียบลงไป

พรึ่บ

เฟิงซิว “…”

เขาก้มลงมองที่เท้า คนกลายเป็นกระดาษบางๆ แผ่นหนึ่งไปแล้ว จึงอดประหลาดใจไม่ได้ “พลังปีศาจของข้าร้ายกาจขนาดนี้เลยหรือ ถึงกับเหยียบคนกลายเป็นกระดาษได้?”

ฉินหลิวซีกลอกตาใส่เขา “เป็นยันต์หุ่นเชิด ตอนที่ควันดำปรากฏขึ้นคงจะใช้ยันต์แล้ว”

นี่เขาถูกบรรพบุรุษตัวน้อยรังเกียจแล้วหรือ!

เฟิงซิวหน้างอง้ำ เขาหลับตาลงเล็กน้อย พอสัมผัสถึงจิ้งจอกมายาที่เฝ้าอยู่ข้างนอกได้ เขาก็เยาะหยัน “เห็นเขาแล้ว หนีเร็วยิ่งกว่ากระตายเสียอีก ท่านรอหน่อย ข้าจะไปเอาตัวมันกลับมา”

เขากลายร่างเป็นควันสีดำ และกระโดดเข้าไปในรูสุนัขทันที

ฉินหลิวซีส่ายหน้า ไม่ได้ตามเขาไป แต่มองเข้าไปในห้องลับแทน สายตาของนางมองผ่านแท่นหินซึ่งมีสีเข้มและมีกลิ่นไม่พึงประสงค์แผ่กำจายออกมา

มีขวดโหลดินเผาเรียงเป็นแถวอยู่บนชั้นวางขนาดใหญ่ข้างแท่น ทุกใบมียันต์ปราบวิญญาณชั่วร้ายห่อหุ้มไว้ ฉินหลิวซีเอื้อมมือออกไปสำรวจ และรู้สึกได้ถึงไอแค้นที่หนาวยะเยือกเสียดแทงกระดูกแพร่กระจายออกมาจากขวดไปยังมือ แล้วพัวพันโดยรอบ

ใบหน้าของฉินหลิวซีไม่แสดงความรู้สึก นางงอนิ้วทำตราประทับ จนมีเปลวไฟเล็กๆ ปรากฏขึ้นบนปลายนิ้ว

ไอแค้นนั้นถอยกลับอย่างรวดเร็วเหมือนหนวดที่ต้องไฟ ตัวขวดสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง แล้วก็เกิดเสียงดังปัง ขวดโหลพวกนั้นระเบิดในทันที มีผีทารกชั่วร้ายตนหนึ่งซุกตัวสั่นเทาอยู่ที่ก้นขวด ไม่กล้าที่จะหลบหนี

ส่วนทางด้านสือเจินที่ปีนออกไปที่ทางออกอีกด้านได้แล้วก็สูดลมหายใจเข้าลึก แต่เขายังไม่ทันจะได้สูดลมหายใจเข้าเต็มปอด สีหน้าเขาก็มืดมนลงอีกครั้ง ทำให้ใบหน้าที่มืดมนอยู่แล้วเย็นชาลงไปอีก

คิดว่าเป็นแค่แมลงเล็กๆ สองตัวจึงเก็บของไม่ทัน แถมยังบีบให้เขาต้องใช้ยันต์หุ่นเชิด เกือบจะหนีออกมาไม่ได้แล้ว

ประมาทเกินไป

ช่างเถิด ตราบใดที่เขายังมีชีวิตอยู่ ก็ยังสามารถหลอมมันออกมาได้ใหม่ สิ่งที่มีมากมายบนโลกใบนี้ก็คือคนนี่แหละ

สือเจินเยาะ เขากำลังจะลุกขึ้น พลันนั้นตรงหน้าก็มืดลง เขาเงยหน้าขึ้นอย่างตื่นตัว ก็พบว่ามีเงาขนาดใหญ่กดทับลงมา

“หนีสิ ทำไมไม่หนีเล่า ถ้าปล่อยให้เจ้าหนีไปได้จริงๆ ตบะพันปีของข้าจะไม่กลายเป็นเรื่องตลกหรอกหรือ” เฟิงซิวขยับเข้าใกล้ ดวงตาแดงราวกับเพลิง เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เดี๋ยวก็ยันต์พรางตัว เดี๋ยวก็ยันต์หุ่นเชิด เล่นเก่งดีนี่ ในเมื่อชอบเล่น ไม่สู้เล่นทำตัวเองพิการหน่อยเล่า อย่างเช่นทำให้ขาตัวเองพิการ?”

มือของข้าจะได้ไม่สกปรก

สือเจินตกตะลึงเมื่อเห็นดวงตาสีแดงเพลิงคู่นั้น จากนั้นสองมือเขาก็หักขาทั้งสองข้างจริงๆ

วิชาเสน่ห์ นี่มันเสน่ห์

สือเจินโกรธจนตาแทบถลนออกมา เขาร่ายคาถาเพื่อต่อต้านอย่างเต็มที่ แต่ความสามารถไม่ธรรมดาของเขา ไหนเลยจะสู้วิชาปีศาจของปีศาจใหญ่ที่บำเพ็ญมาเป็นพันปีจนกลายร่างได้เล่า?

เสียงกร๊อบดังขึ้น เขาหักขาของตัวเองไปทั้งอย่างนั้น ตามมาด้วยขาอีกข้าง

เขาเกือบจะเป็นลมเพราะความเจ็บปวด ใบหน้าซีดขาว เหงื่อผุดเต็มหน้าผาก แต่เสียงคร่ำครวญกลับติดอยู่ในลำคอ

เฟิงซิวจึงรู้สึกพึงพอใจ และหิ้วเขาเหมือนปลาตัวหนึ่ง แล้วกลับไปที่ห้องลับ ขอรับความดีความชอบจากฉินหลิวซี “ข้าจับปีศาจตัวนี้ได้แล้ว แต่งเป็นสตรีแล้วก็ไม่รู้จักยัดซาลาเปาสองลูกเข้าไปด้วย ไม่ใช่ทั้งชายทั้งหญิง จิ๊ ปวดตาจริงๆ ”

ฉินหลิวซีนั่งยองๆ ชี้ไปที่ขวดโหลดินเผาบนชั้นวางแล้วถามว่า “เจ้าต้องการหลอมธงเก้าหยินกลืนกินวิญญาณหรือ”

สือเจินเอ่ยตอบทันที “พวกเจ้าเป็นใครกันแน่”

พอเขาพบว่าตนเองสามารถพูดได้อีกครั้ง เขาก็รู้ว่าพันธนาการของวิชาปีศาจบนร่างเขาคลายออกแล้ว จึงแอบงอนิ้วทำตราประทับ

“อารามชิงผิง ฉายาปู้ฉิว” ฉินหลิวซีไม่ได้ปิดบังที่มาของตนและถามว่า “เจ้าไปเรียนรู้วิชาหลอมธงกลืนกินวิญญาณนี้มาจากที่ไหน”

“อยากรู้หรือ” สือเจินยกยิ้ม “เข้ามาใกล้ๆ สิ ข้าจะบอกเจ้า””

ฉินหลิวซีขยับเข้าไปใกล้ และเห็นรอยยิ้มแปลกๆ ของเขา นางจึงยิ้มออกมาเช่นกัน “ยังมีแรงเหลือจะต่อต้านอีกหรือ ขอข้าคิดดูหน่อย คราวนี้จะเป็นอะไรดี ขาก็พิการ เราสองต่อหนึ่ง เจ้าก็ควรจะเอาอาวุธวิเศษประจำตัวออกมาแล้วหรือไม่”

เฟิงซิวเริ่มระวังตัว ดวงตาของเขาเย็นเยียบ

รอยยิ้มสือเจินแข็งค้าง เขาขยับริมฝีปากท่องคาถา และเรียกอาวุธเวทอาคมของตนเองออกมาโดยไม่ลังเลอีกต่อไป

มันคือแส้กระดูกเส้นหนึ่ง

แส้กระดูกถูกเรียกออกมา ม้วนตรงไปยังฉินหลิวซี บนแส้กระดูกมีวิญญาณพัวพันอยู่นับไม่ถ้วน ชั่วร้ายยิ่งนัก และเปลวไฟที่ออกมาจากแส้กระดูกก็แผดเผาวิญญาณคนให้เจ็บปวดได้ด้วย

ฉิวหลิวซีรู้สึกได้ทันทีว่าเปลวไฟนี้แตกต่างจากเปลวไฟทั่วไป มันถูกหลอมขึ้นจากไอแค้นนับไม่ถ้วน หากถูกแผดเผา สามจิตเจ็ดวิญญาณจะต้องได้รับความเสียหาย

มันคล้ายกับไฟนรกของนางจริงๆ

ฉินหลิวซีรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย “เล่นไฟ อันนี้ข้าถนัด”

ทันทีที่เกิดความคิด ไฟนรกก็พุ่งออกมาจากร่างนางทันที และกวาดไปทางเปลวไฟปีศาจที่แส้กระดูกสร้างขึ้น

เมื่อไฟนรกออกมา มันเผาผลาญบาปทั้งหมด

แส้กระดูกถูกไฟนรกกลืนหาย สือเจินกระอักเลือดออกมาเต็มปาก ใบหน้าที่อ่อนเยาว์แต่เดิมนั้นดูแก่ชราลงทันที เส้นผมของเขาก็กลายเป็นสีขาวทั้งศีรษะ เขากุมหน้าอกพลางมองดูเปลวไฟสีแดงราวกับเลือดนั้นด้วยความไม่อยากจะเชื่อ ราวกับเห็นดอกบัวขนาดใหญ่ยักษ์

“นี่ นี่…เป็นไปได้อย่างไร” สือเจินกระอักเลือดออกมาอีกคำหนึ่ง เขากำลังจะตาย

ในเวลาเดียวกันนั้น ในตัวเมืองอำเภอหลิง หม่าเซี่ยวเว่ยที่เพิ่งกลับมาถึงจวนตนเองก็หน้าซีด กระอักเลือดออกมาเต็มปากเช่นกัน เขาล้มหงายหลังตึงและหมดสติไปทันที

เรือนหลังของจวนนายอำเภอยุ่งเหยิงทันที

ส่วนในห้องลับ ฉินหลิวซีมองสือเจินที่สูญเสียพลัง แส้กระดูกก็ถูกเผาไปแล้วเช่นกัน ทันทีที่นางเลิกคิด ไฟนรกก็หายไปด้วย

สือเจินได้เห็นแล้ว เขาหมอบอยู่กับพื้นเหมือนสุนัขที่ตายแล้ว ดวงตายิ่งตื่นตระหนก เรียกใช้และเก็บได้ดั่งใจ นางเป็นใครกันแน่

“ใครสอนเจ้าให้หลอมธงเก้าหยินกลืนกินวิญญาณนี้”

สือเจินเงียบไม่ยอมเอ่ย

“จะไปพูดมากกับเขาอยู่ทำไม เก็บวิญญาณไปก็สิ้นเรื่องแล้ว ข้าจัดการเอง” เฟิงซิวก้าวเข้าไป

พอได้ยินคำว่าเก็บวิญญาณ สือเจินก็เอ่ยขึ้นอย่างอ่อนแรง “ไม่มีใคร ข้าแค่ได้ม้วนกระดาษมาเสี้ยวหนึ่ง และคลำทางเอาเอง ปล่อยข้าไป แล้วข้าจะมอบม้วนกระดาษให้ แม้แต่ส่วนประกอบที่ต้องใช้ก็จะให้พวกเจ้าด้วย”

“ถึงขั้นไหนแล้ว?”

“ขาดแค่ทารกที่กลับมาเกิดเก้าครั้งอีกคนเดียว”

ฉินหลิวซีหันไปมองชั้นวาง “ส่วนประกอบที่เหลืออยู่ที่ไหน”

สือเจินมองไปยังตำแหน่งหนึ่งโดยสัญชาตญาณ

เฟิงซิวมองตามสายตาเขาไป ก่อนจะเดินไปที่แท่นหิน เหลือบตามอง และปรบมือ กระดานบนแท่นหินก็ลอยออกไปทันที กลิ่นคาวฟุ้งกระจาย ไอแค้นอันมืดมนมหาศาลก็แผ่กระจายออกมา

เขามองเข้าไปข้างใน เกือบจะอาเจียนออกมา เขาต้องถอยหลังไปสองสามก้าว บีบจมูกแล้วจึงเอ่ย “วิชาปีศาจของเจ้าทำไมมันวิปริตน่าขยะแขยงเช่นนี้ เอาของเหล่านี้ไว้ใต้แท่นหิน แล้วเจ้าก็รังแกฮูหยินเหล่านั้นบนแท่นหินนี้อย่างนั้นหรือ”

นิสัยแปลกประหลาดอะไรเช่นนี้

ในใจสือเจินกำลังคิดว่าพวกเขาจะเข้าใจอะไร เดิมทีเขาก็ต้องการฝึกร่างหยินสูงสุดอยู่แล้ว การดูดซับแก่นปราณร่างหยินของฮูหยินพวกนั้นทำให้พลังตบะของเขากว้างยิ่งขึ้น แท่นหินเต็มไปด้วยพลังหยิน ทั้งยังสลักยันต์ไว้บนนั้น เพื่อเสริมวัตถุหยินเหล่านั้นให้ยิ่งวิเศษมากยิ่งขึ้น

ฉินหลิวซีเองก็เข้าไปดูด้วย ทั้งหมดเป็นศพหยินที่เพิ่งสร้างขึ้นใหม่ นางอดนึกถึงร่างเด็กทารกหญิงหยินบริสุทธิ์เก้าคนที่จำเป็นต้องใช้ในการหลอมธงกลืนกินวิญญาณนั่นขึ้นมาไม่ได้

นางรู้สึกคลื่นไส้เล็กน้อย และหันไปมองสือเจินด้วยสายตาเย็นชา ซึ่งฝ่ายหลังก็ขดตัวเล็กลง

“เจ้ารู้จักใช้อาคมกักวิญญาณเพื่อกักขังกลิ่นอายวิญญาณชั่วร้ายไม่ให้หลุดออกมา ในเรื่องยันต์ก็พอรู้บ้าง แสดงให้เห็นว่าพรสววรค์ในทางเต๋าของเจ้าไม่ได้ด้อยเลย น่าเสียดายที่เลือกเดินทางผิด” ฉินหลิวซีเอ่ยอย่างเฉยชา “จิตใจชั่วร้ายและใช้วิชาสายมาร ทำร้ายคนทำร้ายสรรพสิ่ง สวรรค์ไม่อาจละเว้น จะต้องได้รับผลกรรม”

สือเจินใจเต้นแรง

“สรรพสิ่งล้วนเป็นไปตามเหตุปัจจัย เหตุเพราะวิชาอันชั่วร้ายของเจ้าและไอแค้นที่สั่งสมจากทารกที่ต้องกลับชาติมาเกิดครั้งแล้วครั้งเล่า เจ้าก็ควรจะได้สัมผัสมันบ้าง”

ฉินหลิวซีหยิบขวดโหลดินเผาพวกนั้นขึ้นมา แล้วทำลายยันต์ปราบวิญญาณชั่วร้าย วิญญาณทั้งเก้าที่อยู่ข้างในก็พุ่งออกมา และตรงไปยังสือเจินทันที

สือเจินที่ใกล้จะตายอยู่แล้วกรีดร้องอย่างน่าเวทนาออกมาทันที “ช่วย…”

ทันทีที่คำพูดของเขาหลุดออกจากปากก็ถูกไอแค้นกลบฝังจนมิด

ฉินหลิวซีมองสือเจินถูกทารกหยินที่เต็มไปด้วยไอแค้นท่วมท้นเหล่านั้นรุมกัดกินจนกระทั่งขาดลมหายใจไปด้วยสายตาเย็นชา มองสามจิตเจ็ดวิญญาณของเขาหลุดออกจากกายเนื้อ แล้วจึงเกี่ยววิญญาณของเขามากักไว้ในขวดหยกใบหนึ่ง

ทารกหยินเหล่านั้นฉวยโอกาสนี้พุ่งหนี แต่ฉินหลิวซีก็กลายเป็นมนุษย์เพลิงอีกครั้ง ทำให้พวกนางกลัวมากจนต้องอยู่กับที่แต่โดยดี

ฉินหลิวซีโยนขวดใบหนึ่งออกไป และเก็บพวกนางทั้งหมดลงไป

ท้ายที่สุดแล้ว ดวงวิญญาณทารกที่ผ่านการกลับชาติมาเกิดหลายครั้งแต่ก็ไม่ได้โตเสียทีเหล่านี้ล้วนเป็นผู้บริสุทธิ์ พวกเขายังไม่ได้ทำเรื่องชั่วร้ายใดๆ เช่นนั้นก็เก็บพวกนางไว้ สวดส่งวิญญาณ แล้วค่อยส่งเข้าแถวรอเกิดใหม่อีกครั้ง

ไม่เช่นนั้นหากปล่อยให้พวกนางออกไป ก็ไม่รู้ว่าจะไปทำความเดือดร้อนให้คนอีกมากมายเท่าใด

หลังจากเก็บวิญญาณพวกนี้แล้ว ฉินหลิวซีก็เจอวิญญาณผู้หญิงและวิญญาณทารกอีกหนึ่งตนที่สือเจินเก็บมาจากข้างกายหม่าเซี่ยวเว่ย เมื่อสือเจินตายแล้ว หม่าเซี่ยวเว่ยเองก็ย่อมอยู่ไม่ได้อีกต่อไป คาถาคงจะถูกทำลายไปแล้ว พวกนางก็ลงขวดไปอย่างมีความสุข รอที่จะได้ไปเกิดใหม่ด้วยกัน

มีวิญญาณผู้บริสุทธิ์จำนวนนับไม่ถ้วนถูกเก็บไว้ในห้องลับ ซึ่งฉินหลิวซีก็เก็บไปทั้งหมด ในหมู่พวกเขายังมีวิญญาณใหม่สองดวงซึ่งเป็นเด็กหญิงพรหมจารีที่ตระกูลหม่าซื้อตัวมาให้สือเจิน บนข้อมือของพวกนางมีรอยเลือด เป็นการตายเนื่องจากเสียเลือดมาก

“บาปกรรมจริงๆ หลังจากลงนรกแล้ว แปดถึงสิบส่วนเขาคงไม่มีโอกาสได้เกิดใหม่ ยากที่สวรรค์จะละเว้นได้จริงๆ” เฟิงซิวหันไปมองเด็กหญิงพรหมจารีพวกนั้น สองคนตายไปแล้ว ส่วนคนที่เหลือต่างก็จ้องมองด้วยความสับสนราวกับว่าวิญญาณพวกนางหลุดลอยไปแล้ว

ฉินหลิวซีพาเด็กหญิงที่ยังมีชีวิตออกไปก่อน ยกเว้นสือเจินแล้ว นางก็ให้เฟิงซิวใช้พลังปีศาจของเขานำศพที่เหลือออกไปที่เนินเขาด้านหลังวัด ขุดหลุมและฝังพวกเขา และสวดพระสูตรส่งไปเกิดใหม่ให้

หลังจากทำทั้งหมดเรียบแล้วแล้ว พระอาทิตย์ก็กำลังจะลาลับ ทั้งสองก็กลับมาที่รูปปั้นหนี่ว์วาในห้องโถงใหญ่ของวัด

ดวงตาของเฟิงซิวเบิกกว้าง เขาชี้ไปที่เถิงเจา “เขากำลังทำอะไรอยู่หรือ”

เขาเป็นโรคอะไรนี่?

ฉินหลิวซีไม่ได้แปลกใจเลยแม้แต่น้อย

พวกเขาเห็นว่าเถิงเจากำลังจัดเรียงตุ๊กตาดินเผาทั้งหมดให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ที่แต้มดวงตาแล้วไว้ด้วยกัน ที่ยังไม่แต้มก็อยู่ทางด้านหนึ่ง เรียบร้อยราวกับวัดด้วยเส้น

“ท่านอาจารย์” เถิงเจามองมา

ฉินหลิวซีเอ่ย “อาจารย์คงต้องทำให้ใจไม่มีความสุขแล้ว”

“หือ?”

ฉินหลิวซีหยิบตุ๊กตาดินเผาขึ้นมาบีบจนแตก จับวิญญาณและทำลายยันต์

เถิงเจา “…”

เมื่อเห็นเถิงเจาทำหน้าราวกับกลืนแมลงวันลงไป เฟิงซิวก็ตบขา หัวเราะเสียงดัง “เจ้าดูสิว่าเจ้าเป็นโรคประหลาดอะไร จะจัดเรียบร้อยขนาดนี้ไปเพื่ออะไร เจ้าไม่คิดว่ามันเหนื่อยแย่เลยหรือ โรคประหลาดของเจ้านี้ ถ้าเป็นจริงก็ต้องแก้ไข ไม่อย่างนั้นเวลาเจ้าวัดยันต์มิต้องใช้ไม้บรรทัดวัดหรือ แนวนอนคือแนวนอน แนวตั้งคือแนวตั้ง ต้องให้เป็นสี่เหลี่ยมเป๊ะๆ ด้วยหรือ”

นึกไม่ถึงว่าเถิงเจาจะไม่หงุดหงิด แต่กลับเก็บไปคิดจริงๆ วาดแบบนั้นก็ได้หรือ

ฉินหลิวซีเอ่ย “หยุดพูดเถิด รีบจับวิญญาณทารกเหล่านี้เร็วเข้า ฟ้าใกล้จะมืดแล้ว”

“เรื่องง่ายๆ” เฟิงซิวยกมือขึ้น ตุ๊กตาดินเผาก็แตกออกเป็นสองส่วนทันที

วิญญาณออกมา จับไว้ และทำลายยันต์

“พวกนี้จัดการได้ง่าย แต่ตัวที่ถูกเชิญกลับไปบูชาเล่า” เฟิงซิวถาม

ฉินหลิวซีพาแม่ชีน้อยมาถามโดยตรง และได้รู้ว่ารายชื่อฮูหยินที่บูชายตุ๊กตาดินเผากลับไปจะถูกบันทึกไว้ว่าบ้านอยู่ที่ไหน

“หากกลับชาติมาเกิดได้สำเร็จ ก็แค่ทำลายตุ๊กตาดินเผาและยันต์ดูดวิญญาณ หากยังไม่ได้ไปเกิด ก็เอาพวกมันกลับมาทั้งหมด” ฉินหลิวซีดูบันทึกเล่มนั้น ยังมีอีกสิบหกตัวที่มีคนนำกลับไปบูชา โชคดีที่ทั้งหมดอยู่ในเขตอำเภอหลิง และหนึ่งในนั้นอยู่ในเมืองหลีของพวกเขา

เฟิงซิวไม่ได้ถามคำถามโง่ๆ ว่าเหตุใดต้องทำงานหนักขนาดนี้ด้วย บรรพชนตัวน้อยปากร้าย แต่ก็ใจดีในบางเรื่อง

อะไรที่ควรช่วยก็ช่วย ที่ควรจับก็จับ ที่ควรทำลายก็ทำลาย ฉินหลิวซีจุดไฟขึ้นในวัด เผาบาปทั้งหมด

เฟิงซิวและเถิงเจาอดเงียบไปเล็กน้อยไม่ได้ ขณะที่เฝ้าดูวัดที่เจริญรุ่งเรืองกลายเป็นซากปรักหักพังภายในวันเดียว

พวกเขารู้อยู่ในใจว่า มีดี ก็ต้องมีวิชามารที่ชั่วร้าย และวัดเช่นนี้ไม่ได้มีเพียงแค่แห่งเดียว และก็ไม่ใช่แห่งสุดท้ายด้วย พวกเขาแค่บังเอิญมาพบเจอเข้าเท่านั้น

กำจัดมาร ธำรงเต๋า คืนความสงบสุขให้กับโลกมนุษย์คือสิ่งที่ผู้บำเพ็ญเต๋าอย่างพวกเขาพึงปฏิบัติ

“ไปกันเถิด”

ฉินหลิวซีหมุนกายลงจากเขา

[1]ตราบที่ขุนเขายังเขียวขจี ไยต้องกลัวว่าจะไม่มีฟืน หากยังมีชีวิตอยู่ ย่อมต้องมีความหวัง