ตอนที่ 290 นิยายสืบสวนสอบสวน
ถ้าสามารถเลือกได้ เซินเจียรุ่ยไม่อยากพบกับฉู่ขวงอย่างแน่นอน นี่เป็นบุคคลระดับปีศาจที่เทียบเคียงกับเฝิงหวาได้เชียวนะ!
ฉู่ขวงอยู่อันดับ 14?
ถ้าไม่ใช่เพราะยังมีผลงานน้อย ก็เป็นไปได้ที่เขาจะอยู่ในสิบอันดับแรก!
ดูจากการจัดอันดับก็รู้
บนการจัดอันดับนักเขียนเรื่องสั้น ผู้ที่อยู่อันดับก่อนหน้าฉู่ขวง มีใครบ้างเล่าที่ไม่ได้เขียนเรื่องสั้นมานานหลายปี?
ฉู่ขวงเสียเปรียบก็ตรงที่เพิ่งเดบิวต์ได้ไม่นาน จึงมีผลงานไม่มากก็แค่นั้นเอง
ในฐานะหนึ่งในนักเขียนบนการจัดอันดับ เซินเจียรุ่ยเข้าใจเรื่องนี้ดี
เพราะฉะนั้น เขาจึงรู้สึกหดหู่เหลือเกิน
เพราะถ้าหากไม่มีฉู่ขวง เขาก็สามารถคว้าอันดับหนึ่งในเดือนมีนาคมได้
“ไม่ต้องกังวลไปหรอก…ยังมีความหวัง…”
เซินเจียรุ่ยสูดหายใจเข้าลึกเพื่อปลอบใจตนเอง
อื้ม ประการแรกก็คือครั้งนี้คุณภาพของผลงานตนแตะถึงจุดสูงสุด ประการที่สองก็คือถ้าเกิดครั้งนี้ฉู่ขวงแสดงศักยภาพด้อยกว่าปกติล่ะ
เมื่อนึกถึงตรงนี้ เซินเจียรุ่ยก็รู้สึกว่าตนยังไหวอยู่
นอกจากนั้นยิ่งคิดเขาก็ยิ่งรู้สึกว่าไม่มีปัญหา!
ลองดูสักตั้ง จักรยานอาจเปลี่ยนเป็นมอเตอร์ไซค์[1]!
เช่นเดียวกับที่ในกลุ่มถกเถียงกัน
ถ้าหากนักเขียนอันดับที่ยี่สิบกว่าอย่างตนล้มอันดับที่ 14 อย่างฉู่ขวงได้ มีหรือที่อันดับของตนจะไม่สูงขึ้น?
อันดับเท่ากับค่าตัว!
อันดับสูงขึ้น ค่าต้นฉบับที่ตนสามารถต่อรองกับแพล็ตฟอร์มได้ก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย!
นี่อาจมากกว่าเงินที่ได้จากอันดับที่หนึ่งในแต่ละเดือนของแต่ละแพล็ตฟอร์มเพียงอย่างเดียวด้วย!
“ลองคิดดูอีกที…”
หลังจากที่เซินเจียรุ่ยเกิดความคิด ก็เริ่มหยิบเรื่องสั้นชิ้นใหม่ที่ตนแก้ไขไปหลายรอบแล้วมามองหาจุดที่สามารถแก้ไขได้มากขึ้น
และขณะที่เซินเจียรุ่ยลงมือ หลินเยวียนก็กำลังเขียนเรื่องสั้นเรื่องใหม่
เรื่องสั้นเรื่องใหม่มีชื่อว่า ‘โซบะน้ำใสหนึ่งชาม[2]’
มือของหลินเยวียนสามารถพิมพ์ต้นฉบับได้อย่างรวดเร็ว [สำหรับร้านบะหมี่แล้ว ช่วงเวลาที่ยุ่งที่สุดคงเป็นช่วงคืนส่งท้ายปี ร้านบะหมี่เป่ยไห่ในวันนี้ค้าขายดีเหลือเกินตั้งแต่เช้าตรู่…]
นิยายในครั้งนี้แตกต่างจากครั้งก่อนๆ
เพราะนักเขียนมาจากแดนอาทิตย์อุทัย
ประเทศญี่ปุ่นมีวรรณกรรมคลาสสิกมากมาย สร้างอิทธิพลไปทั่วโลก หนึ่งในนั้นรวมไปถึงเรื่องราวของโซบะน้ำใสหนึ่งชามด้วย
ดำเนินแนวทางสร้างความซาบซึ้งให้กับผู้อ่านเช่นเดียวกับเรื่องสร้อยคอ
นี่เป็นเส้นทางที่นักเขียนเรื่องสั้นหลายคนเลือกเดิน
แต่ถึงอย่างนั้น เป็นเพราะนักเขียนเรื่องสั้นหลายคนเลือกเดินเส้นทางนี้ ส่งผลให้ผู้อ่านเกิดความรู้สึกต่อต้าน
ไม่ต่างอะไรจากเรื่องราวละมุนอบอุ่นหัวใจ ภายหลังเรื่องราวเหล่านี้มีมากเกินไป ผลงานแนวตรงกันข้ามกับนิยายแนวนี้จึงเริ่มเป็นที่นิยมขึ้นมา
ตอนนี้ตลาดเองก็มีแนวโน้มเช่นนั้น
แต่นี่เป็นเพียงเพราะผลงานของนักเขียนหลายคนเขียนขึ้นมาเพื่อสร้างความซาบซึ้งใจเพียงอย่างเดียว จึงทำให้ผู้อ่านพากันเบื่อหน่ายก็แค่นั้น
เรื่องราวอบอุ่นละมุนหัวใจที่แท้จริง ยังคงเป็นที่ชื่นชอบของผู้คน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องโซบะน้ำใสหนึ่งชาม ยังสอดแทรกปรัชญาการทำธุรกิจเล็กๆ น้อยๆ เป็นเรื่องสั้นที่หลากหลายธุรกิจนำไปปรับใช้
สำหรับอิทธิพลต่อวงการธุรกิจแล้ว เรื่องโซบะน้ำใสหนึ่งชามนี้ยอดเยี่ยมมาก
หลินเยวียนเองก็เขียนได้อย่างคล่องมือ…
เพราะนิยายเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนฉากหลังของเรื่องราวมากนัก ไม่เหมือนฉากหลังของประเทศตะวันตกในเรื่องสร้อยคอ ซึ่งมีหลายจุดที่ไม่สามารถนำมาใช้ได้โดยตรง
ในฐานะผลงานจากแดนอาทิตย์อุทัย มีเอกลักษณ์ของวัฒนธรรมตะวันออกคล้ายคลึงกัน ดังนั้นหลินเยวียนจึงสามารถเขียนเรื่องนี้จนเสร็จโดยแทบจะไม่ต้องดัดแปลงสักเท่าไหร่
แน่นอนว่า ส่วนที่จำเป็นต้องแก้ไขก็มีเช่นกัน
ถึงอย่างไรนี่ก็คือบลูสตาร์ ไม่ใช่ประเทศญี่ปุ่น
ต่อให้วัฒนธรรมของมณฑลฉู่จะใกล้เคียงกับญี่ปุ่นมากก็ตามแต่ หลินเยวียนก็รู้อยู่แก่ใจว่าที่นั่นไม่ใช่ญี่ปุ่น
เพียงแต่มีสิ่งที่คล้ายคลึงกันก็เท่านั้น
…
หลินเยวียนใช้เวลาไม่นาน ก็พิมพ์เรื่องโซบะน้ำใสหนึ่งชามสำเร็จ พร้อมทั้งส่งงานชิ้นนี้ให้จินมู่
ตอนนี้จินมู่เป็นตัวแทนของเขา รับหน้าที่ส่งนิยายของเขาต่อให้กับปู้ลั่ว
เมื่อจัดการเรื่องนี้เสร็จเรียบร้อย หลินเยวียนก็เริ่มขบคิดเกี่ยวกับนิยายขนาดยาวเรื่องต่อไป
ถึงแม้จะไม่รีบร้อนตีพิมพ์นิยายขนาดยาวเรื่องใหม่ แต่เขาก็คิดว่าจะจัดการเรื่องนี้ไว้เสียก่อนตั้งแต่ตอนนี้เลย
แต่ก่อนที่จะสั่งให้ระบบผลิต
หลินเยวียนก็พูดคุยกับจินมู่ “ตอนนี้เขียนนิยายแนวไหนถึงจะทำเงินได้เยอะเหรอครับ”
“ทำเงินได้เยอะ?”
จินมู่คิดจริงๆ ว่าหลินเยวียนกำลังคุยเล่น “ถ้าเขียนดี ก็ทำเงินได้เยอะทั้งนั้นแหละครับ…”
หลินเยวียนเอ่ย “ผมหมายถึงนิยายขนาดยาวน่ะ”
จินมู่ฉุกคิดเรื่องหนึ่งขึ้นได้ “คุณคิดจะสร้างนิยายขนาดยาวแนวใหม่?”
หลินเยวียนตอบ “ประมาณนั้นครับ”
นี่คือบทสนทนาจริงจังเกี่ยวกับงาน
จินมู่เป็นผู้ดูแลตัวตนของหลินเยวียนในฐานะฉู่ขวง
เขาครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ย “รูปแบบเปลี่ยนไปมากครับ เมื่อก่อนนิยายขนาดยาวที่ดังที่สุดก็คือแนวผจญภัยในต่างโลก ตอนนี้มีหลากหลายขึ้นมาก เป็นเพราะการผนวกรวมของพื้นที่ การแบ่งประเภทของตลาดจึงไม่ได้ชัดเจนเหมือนเมื่อก่อนแล้วครับ เรียกว่าอยู่ในสภาวะที่เติบโตไปพร้อมกันเลยล่ะครับ ตราบใดที่ไม่เลือกแนวที่เฉพาะกลุ่มเกินไป…”
เมื่อพูดถึงตรงนี้
จินมู่ก็เปลี่ยนคำพูด “อันที่จริงเฉพาะกลุ่มก็ไม่เป็นไรหรอกครับ ถ้าหัวหน้าอยากเขียน”
ที่จินมู่เปลี่ยนคำพูดย่อมมีเหตุผล
มีใครบ้างที่ไม่รู้จักเจ้าคนบ้าบิ่นซึ่งชอบเขียนแนวเฉพาะกลุ่มอย่างฉู่ขวง?
เขาชอบเป็นผู้บุกเบิก เขียนผลงานประเภทที่พบเห็นได้น้อยนักในตลาด ตั้งแต่แนวการแข่งขันกีฬา ไปจนถึงเทพเซียนกำลังภายใน แถมล่าสุดยังเขียนแนวขุดสุสานอีก
ประเภทอะไรนั่น สำหรับฉู่ขวงแล้วคล้ายกับว่าจะไม่ได้มีความหมายอะไร
หลินเยวียนชะงักไป นึกถึงนิสัยกวนประสาทของระบบแล้วก็รู้สึกว่าตนไม่ควรคำนึงถึงปัญหาเรื่องประเภทนิยาย
ถึงอย่างไรผลงานที่ระบบสรรหามาให้ ต่อให้เป็นนิยายเฉพาะกลุ่ม ก็เป็นนิยายเฉพาะกลุ่มที่โด่งดังได้
“อันที่จริงผมคิดว่า…”
จินมู่แนะนำ “ถ้านิยายอย่างคนขุดสุสานแบ่งได้เป็นแปดเล่ม แถมแต่ละเล่มยังปล่อยออกมาแยกกันได้ งั้นพวกเราก็ไม่จำเป็นต้องปล่อยออกมาทุกเดือนตามกำหนด สามารถเผยแพร่ออกมาแล้วเว้นระยะเวลาได้”
“เผยแพร่ออกมาแล้วเว้นระยะเวลา…”
หลินเยวียนไตร่ตรองอยู่สักพัก รู้สึกว่านี่เป็นวิธีที่ดี
เมื่อเขาเริ่มงานยุ่งมากขึ้นเรื่อยๆ การปล่อยผลงานติดต่อกันหนึ่งปีเช่นนี้ค่อนข้างเหนื่อย ไม่สู้ทยอยปล่อยผลงานแยกกันทีละชิ้นดีกว่าหรือ
ตัวอย่างเช่นเรื่องคนขุดสุสานทั้งแปดเล่ม
เรื่องราวของแต่ละเล่มสามารถมองว่าเป็นนิยายขนาดยาวหนึ่งเรื่องก็ได้
หลินเยวียนเอ่ย “ถ้าเป็นแบบนั้น คุณคิดว่าแนวไหนเหมาะสมที่สุด”
“ต้องสืบสวนสอบสวนอยู่แล้วครับ!”
จินมู่ตอบโดยแทบปราศจากความลังเล “เป็นเพราะบรรยากาศของนิยายแนวสืบสวนสอบสวนของฉินเรานี่ออกจะด้อยอยู่สักหน่อย แต่หลังจากฉีกับฉู่ผนวกเข้ามา ตอนนี้ตลาดนิยายสืบสวนสอบสวนจึงนับว่าอยู่ในจุดที่กระแสสูงสุดแล้วครับ!”
“สืบสวนสอบสวน…”
หลินเยวียนเลิกคิ้ว
ต่อให้เขาไม่ได้ติดตามตลาดนิยายสักเท่าไหร่ ก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศของนิยายสืบสวนสอบสวนที่เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่าในยามนี้ผู้ที่ชื่นชอบนิยายสืบสวนสอบสวนมีมากขึ้นแล้ว
“ผมกำลังพูดถึงตลาดน่ะครับ”
จินมู่คิดไปว่าหลินเยวียนไม่มีทางเขียนนิยายสืบสวนสอบสวน อย่างไรซะผลงานทั้งหมดภายใต้นามปากกาของฉู่ขวงก็ไม่มีกลิ่นอายของนิยายสืบสวนสอบสวนเลยสักนิด
และนิยายสืบสวนสอบสวนก็ขึ้นชื่อว่าต้องใช้ชั้นเชิงสูง
ถ้าหากการออกแบบคดีไม่เฉลียวฉลาดมากพอ ผู้อ่านไม่มีทางเห็นดีเห็นงามด้วยอย่างแน่นอน
บอกได้เลยว่า…
ผู้อ่านนิยายสืบสวนสอบสวนเป็นผู้อ่านกลุ่มที่เรื่องมากที่สุดกลุ่มหนึ่งของบลูสตาร์ พวกเขาช่างจับผิด ช่องโหว่เล็กๆ น้อยๆ พวกเขาก็สามารถนำมาขยายจนไร้ขอบเขต
การเขียนนิยายประเภทนี้จำเป็นต้องใช้ตรรกะที่รอบคอบ ใช้กระบวนการความคิดที่เหนือชั้น เพื่อวางแผนคดีอาชญากรรมอันสมบูรณ์แบบ
นี่เป็นหมวดของนิยายที่ไม่อาจจัดการได้ด้วยจินตนาการอันพิลึกพิลั่น
อย่างไรก็ดี จินมู่กลับไม่รู้ว่า หลินเยวียนแอบมีความคิดจะเขียนนิยายสืบสวนสอบสวนอยู่ในใจแล้ว
เขียนแนวเฉพาะกลุ่มมานานขนาดนี้ ครั้งนี้ควรลองเขียนแนวเมนสตรีมสักหน่อยไหม
ดูจากกระแสของนิยายสืบสวนสอบสวนบนบลูสตาร์แล้ว นิยายประเภทนี้ไม่เป็นรองนิยายซึ่งมีตลาดใหญ่อย่างแนวผจญภัยในต่างโลกอย่างแน่นอน!
…………………………………………………
[1] ลองดูสักตั้ง จักรยานอาจเปลี่ยนเป็นมอเตอร์ไซค์ เปรียบเปรยว่าในเมื่อมีโอกาสก็ลองพยายามดูก่อน อาจเกิดเรื่องดีก็เป็นได้
[2] โซบะน้ำใสหนึ่งชาม (One Bowl of Kakesoba) โดยเรียวเฮ คุริ นักเขียนชาวญี่ปุ่น