บทที่ 304 น้องสาว
บทที่ 304 น้องสาว
ซูโย่วอี๋เอายาให้คุณปู่กินไปเม็ดหนึ่งและรออยู่ข้างเตียงจนเขาผล็อยหลับไปแล้วค่อยออกมา
พ่อบ้านมาส่งเธอที่หน้าประตู ตอนนี้ท้องฟ้ามืดครึ้ม ลมหนาวพัดโชยมาในความว่างเปล่า เสียงของมันดูหวีดหวิวน่ากลัวไม่น้อย
ซูโย่วอี๋ออกมาจากประตูก็ไม่เห็นคนขับรถแล้ว แต่กลับเห็นรถของลู่เฉินจอดอยู่ไม่ไกล
เธอมองดูอยู่นานจึงเดินเข้าไปเคาะที่หน้าต่างรถของเขา “ไม่เข้าไปหาคุณปู่เหรอ?”
ลู่เฉินเปิดประตูและลงมาจากรถ “ไฟในห้องนอนปิดไปแล้ว”
“ขึ้นรถมาก่อนสิ”
กลับมาได้ครึ่งทาง ท้องฟ้าก็เต็มไปด้วยหิมะที่ร่วงหล่นลงมา
เกล็ดหิมะขนาดใหญ่กระทบลงที่หลังคารถ ทำให้เกิดเสียงดังขึ้น
เสียงของมันฟังดูวุ่นวาย
แต่กลับรู้สึกสงบอย่างอธิบายไม่ถูก
ซูโย่วอี๋มองดูอยู่สักพัก มืออันอบอุ่นของลู่เฉินก็กุมมือเธอเอาไว้
ซูโย่วอี๋หันกลับไปยิ้มให้ “มือของคุณอุ่นมากเลย อย่างกับเตาไฟแน่ะ”
“ลู่เฉิน ปีใหม่นี้พวกเราไปหาคุณนายลู่กันนะ”
“เธอต้องใช้เวลาในวันตรุษจีนคนเดียว คงจะเหงาน่าดู”
ลู่เฉินได้ยินที่เธอพูดอย่างนั้น จึงหันหน้ามามองเธอ “คุณปู่บอกให้คุณไปใช่ไหม?”
ซูโย่วอี๋ไม่ได้ตอบกลับ “ฉันเองก็อยากจะไปเหมือนกัน”
ก็…
คำนี้แสดงให้เห็นว่านี่ไม่ใช่ความสมัครใจของตัวเธอเอง
ลู่เฉินบีบฝ่ามือของเธอ “ไม่ต้องหรอก”
“ผมไม่ได้มีแฟนเพื่อให้มาปรับความสัมพันธ์แม่ลูกนะ”
“ฉันก็ไม่ได้มีแฟนเพื่อมาทำลายความสัมพันธ์แม่ลูกของพวกคุณเหมือนกัน”
ซูโย่วอี๋ลดสายตาลงต่ำ “ฉันไม่ได้อยากไปก็จริง แต่คนที่คุณนายลู่อคติก็มีแค่ฉัน ไม่สู้การเป็นคนในครอบครัวหรอกนะ ฉันกลายเป็นลูกสะใภ้ที่ทำให้เธอไม่พอใจ ถ้าคน ๆ นั้นเป็นฮันเอินจี บางทีเธออาจจะโทรศัพท์มาชวนให้ไปกินข้าวที่บ้านด้วยตัวเองก็ได้”
“แต่น่าเสียดายที่ฉันไม่ใช่แบบนั้น”
“ต่อให้ฉันอยู่ในฐานะเดียวกันกับคุณนายลู่ ฉันก็คงทำอะไรได้ไม่ดีเท่าเธอหรอก”
นี่คือความแตกต่างระหว่างคนที่มาจากต้นกำเนิดที่ต่างกัน
“ที่ฉันไปหาเธอ ก็เพื่อให้คุณปู่มีความสุข แค่นั้น”
ลู่เฉินนิ่งไป คิดไม่ถึงว่าเธอจะพูดเช่นนี้
“ตกลง แล้วแต่คุณเลย”
ลู่เฉินหยุดรถเพราะมีไฟแดงด้านหน้า
ซูโย่วอี๋เห็นหน้าจอ LCD ที่ด้านหน้าของอาคารพาณิชย์ซึ่งอยู่ไม่ไกลกำลังฉายภาพโฆษณาแบรนด์น้ำหอมที่เธอเป็นพรีเซนเตอร์อยู่ แสงไฟสีสันสดใสในคืนที่มืดมิดนั้นทำให้ดูมันสว่างมากขึ้นเป็นพิเศษ
ทันใดนั้นเธอก็พูดขึ้นมา “พวกเราลงไปเล่นปาหิมะกันไหม?”
แสงสีของโคมไฟถนนสะท้อนกับดวงตาของเธอ มันสวยงามมาก
ในหัวของลู่เฉินดับวูบไปชั่วครู่ “เล่น… ปาหิมะ?”
หิมะตกลงมาเยอะมากก็จริง แต่นี่มันยังไม่คลุมทางเท้าเลยนะ
“ดีหรือเปล่าล่ะ?”
ซูโย่วอี๋เหมือนเด็กเอาแต่ใจ ลู่เฉินจึงทำได้เพียงยอมจำนนแต่โดยดี
เขาจอดรถที่ข้างทาง ส่วนซูโย่วอี๋รีบเปิดประตูรถและวิ่งออกไป
ลู่เฉินเดินตามหลังเธอไปอย่างช้า ๆ
ลมพัดอย่างแรง ทำให้หิมะปลิวไปมา
ซูโย่วอี๋วิ่งอยู่ท่ามกลางลมและหิมะอยู่ครู่หนึ่ง เธอกระโดดไปมาเพื่อจับเกล็ดหิมะที่ลอยอยู่ในอากาศ
เหมือนเด็กน้อยจอมดื้อไม่มีผิด
ลู่เฉินหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปเธอเอาไว้
เห็นอย่างนั้นซูโย่วอี๋ก็พูดขึ้น “ลู่เฉิน จะให้ฉันเล่นอยู่คนเดียวได้ไง”
ลู่เฉินโบกมือ “มานี่”
ซูโย่วอี๋เชื่อฟังเขาซะที่ไหน เธอปั้นลูกหิมะขึ้นมาและปาใส่เขา “ไล่ตามฉันให้ทันก่อนสิ”
แต่ต่อให้ซูโย่วอี๋จะปาลูกหิมะใส่เขาอีกกี่ครั้ง ลู่เฉินก็เอาแต่ยิ้มอยู่นิ่ง ๆ โดยไม่ขยับเขยื้อนไปไหน
เธอเลยต้องค่อย ๆ เดินเข้าไปหา และพูดอย่างอารมณ์ไม่ดี “อะไร?”
ลู่เฉินปัดหิมะบนหัวของเธอเบา ๆ และจับหมวกฮู้ดขึ้นมาสวมให้เธอ “อย่าเป็นหวัดไปล่ะ”
ซูโย่วอี๋รู้สึกเขินอาย
แต่ในวินาทีต่อมา ลู่เฉินรีบคว้าเชือกสองเส้นที่ห้อยลงมาจากหมวกของเสื้อฮู้ดและดึงอย่างแรง
ภาพตรงหน้าของซูโย่วอี๋ดำมืดจนมองอะไรไม่เห็น
“ลู่เฉิน ปล่อยนะ!”
ลู่เฉินรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและรีบถ่ายรูปคู่ในขณะที่ซูโย่วอี๋กำลังตกอยู่ในความลำบาก
ซูโย่วอี๋ถอดหมวกออกอย่างยากลำบาก เธอโผล่หัวออกมาสูดอากาศด้านนอก
แต่แล้วปากของใครบางคนพุ่งเข้ามาประกบปากของเธอเอาไว้
สายตาของซูโย่วอี๋พร่ามัว และค่อย ๆ พบว่าลู่เฉินยังคงอัดวิดีโออยู่
จึงรีบผลักเขาออกอย่างไม่เกรงใจ
หลังจากนั้น ลู่เฉินก็กลับมามีท่าทีสงบตามปกติเหมือนเดิม
ซูโย่วอี๋อยากจะปั้นตุ๊กตาหิมะให้ได้ แต่พอปั้นเสร็จ มือของเธอก็เหมือนถูกแช่แข็งจนเป็นสีแดง
เธอรีบขึ้นรถเพื่อกลับบ้าน ภายในรถอุณหภูมิอบอุ่น ตอนนี้มือของซูโย่วอี๋ชาเหมือนถูกไฟฟ้าช็อต
เหมือนมีแมลงตัวเล็ก ๆ กำลังคลานไปมาบนมือ
มันรู้สึกทรมานมากเลย
ลู่เฉินพูดขึ้น “น่าจะแข็งจนเจ็บแล้ว กลับไปผมจะทายาให้”
…
การถ่ายทำรายการวาไรตี้กำลังจะสิ้นสุดลง การแข่งขันของเหล่าเด็กฝึกก็อยู่ในช่วงที่ร้อนแรงมากยิ่งขึ้น
ในเบื้องต้น ตอนนี้เหลือผู้ที่ผ่านเข้ารอบมาได้เพียง 16 คน โควตาสำหรับกลุ่มสุดท้ายคือ 8 คนเท่านั้น ซึ่งไป๋เหิงและกัวหลินหลินต่างก็ยังไม่ถูกคัดออก
ความสามารถของไป๋เหิงพัฒนาขึ้นมาก แต่ความนิยมของกัวหลินหลินไม่ได้ลดลงเลย
จากคำแนะนำของซูโย่วอี๋เมื่อครั้งที่แล้ว กัวหลินหลินเองก็สงบลงไปไม่น้อย เธอไม่ได้เข้ามายุ่งวุ่นวายอะไรกับไป๋เหิงอีก และไป๋เหิงเองก็ไม่เกรงกลัวที่จะเผชิญหน้ากัวหลินหลิน
อย่างน้อย ๆ ตอนที่เจอกัวหลินหลิน เธอก็ไม่ได้หนีอีกต่อไป
การแข่งขันอันเข้มข้นในคืนนี้ ทุกคนกำลังต่อสู้กันอย่างไม่มีใครยอมถอยจนบรรยากาศเดือดพล่านราวกับไฟกำลังเผาไหม้
สิ่งที่ทำให้ผู้คนแปลกใจก็คือความนิยมของไป๋เหิงแซงหน้ากัวหลินหลินไปแล้ว จากก่อนหน้านี้เธออยู่ในอันดับที่ 11 -12 แต่กลับกระโดดขึ้นมาเป็นอันดับที่ 5
ส่วนกัวหลินหลินกลับค้างอยู่ในอันดับที่ 8
ตอนที่เหล่าเด็กฝึกทำผลงานออกมาได้ดีและได้รับการยอมรับ เห็นได้ชัดว่ากัวหลินหลินไม่พอใจเป็นอย่างมาก
อวี๋ชิงจ้าวพูดขึ้นมา “ตอนนี้คุณควรจะวางใจได้แล้วนะ”
หากไม่ใช่เพราะซูโย่วอี๋ยืนกรานว่าให้ทุกคนกลับไปที่จุดเริ่มต้นและเริ่มคำนวณคะแนนความนิยมใหม่ ความนิยมของไป๋เหิงก็คงไม่สูงมากขนาดนี้
ตอนนี้เหล่าเด็กฝึกกำลังเต้นเพลงของทีมตัวเองอยู่บนเวที กล้องจับไปที่ไป๋เหิง ใบหน้าของเธอยิ้มแย้มสดใส
“มีความสุขมาก”
ภาพนี้ให้ความรู้สึกสนุกสนาน ผู้ชมต่างมองดูผู้เข้ารอบคนโปรดที่เติบโตเป็นไอดอลที่เปล่งประกายไปทีละขั้น
กิจกรรมในคืนนี้จบลง ทีมงานของรายการเชิญให้ผู้กำกับและเด็กฝึกทุกคนไปกินข้าวด้วยกัน และแจ้งว่าเป็นการเลี้ยงปีใหม่ล่วงหน้า
ซูโย่วอี๋และผู้กำกับพูดคุยกันอย่างไม่ค่อยสนิทใจ โดยมีอวี๋ชิงจ้าวอยู่ข้าง ๆ
ถ้าหากว่าปีใหม่มาถึงแล้วจริง ๆ เธอและอวี๋ชิงจ้าวคงจะไม่มีเวลามากินข้าวด้วยกันแบบนี้
ถือได้ว่าทีมงานของรายการใจกว้างมาก พวกเขาจองโต๊ะของโรงแรมห้าดาวเอาไว้ เพื่อให้ได้บรรยากาศที่เงียบสงบพร้อมกับอาหารอันแสนอร่อย
ซูโย่วอี๋และอวี๋ชิงจ้าวไม่อยากนั่งโต๊ะเดียวกันกับผู้กำกับ จึงได้แอบหนีมายังห้องส่วนตัวข้าง ๆ และมากินข้าวกับไป๋เหิงและเด็กฝึกคนอื่น ๆ
แต่ผู้กำกับเข้ามาเชื้อเชิญ “นี่มันไม่เหมาะสมเลยนะครับ ทั้งสองคนตามผมไปที่โต๊ะเถอะ”
ซูโย่วอี๋โบกมือ “คืนนี้เราไม่พูดถึงกฎกันหรอกคะ แค่ให้พวกเราสนุกกันก็พอ”
ผู้กำกับหมดหนทาง อย่างไรเสียเขาก็ไม่ได้คิดจะเชิญไปจริง ๆ หรอก ก็แค่พูดไปงั้น ๆ
กินไปได้สักพัก ผู้กำกับก็นำเหล่าทีมงานของรายการมาดื่มเหล้าเพื่ออวยพร กัวหลินหลินตามมาอยู่ด้านหลัง ข้าง ๆ ของเธอยังมีผู้ชายที่ไม่รู้จักยืนอยู่ด้วย
เขาอายุประมาณสี่สิบกว่า ๆ มีริ้วรอยลึกรอบดวงตา ดูสุขุมไม่น้อย
ซูโย่วอี๋มองไปที่เขา ทันทีที่อีกฝ่ายเข้ามา เขาก็เอาแต่จ้องมาที่เธอ
มันทำให้เธอรู้สึกแปลก ๆ
ทุกคนดื่มเหล้าพร้อมกัน หลังจากนั้นก็แยกย้ายไปหาคนดื่มด้วย
หลังจากที่ซูโย่วอี๋ถือน้ำผลไม้อยู่สักพัก ผู้ชายคนนั้นเดินเข้ามาตรงหน้าเธอพร้อมกับเหล้าในมือ
“อาจารย์… ซูโย่วอี๋”
เสียงนั้นดังชัดเจนและโดดเด่นออกมาจากเสียงวุ่นวายของผู้คน
มันดึงดูดความสนใจของคนอื่น ๆ ได้เป็นอย่างดี
ซูโย่วอี๋เปิดปากพูดขึ้น “คะ?”
น้ำเสียงใสซื่อของกัวหลินหลินดังขึ้น “อาจารย์โย่วโย่ว นี่พ่อของฉันเองคะ”
อ้อ
อย่างนี้นี่เอง
ซูโย่วอี๋เข้าใจแล้ว คน ๆ นี้น่าจะมาที่นี่เพื่อหาพื้นที่ให้ลูกสาวตัวเองสินะ
“สวัสดีค่ะ คุณกัว”
คุณกัวยกแก้วเหล้าขึ้น “คุณซูดื่มอันนี้เหรอครับ? นี่มันเกินไปหน่อยหรือเปล่า?”
“คุณกัวอยากจะให้ดื่มยังไงเหรอคะ?”
คุณกัวให้บริกรเอาแก้วใสขนาดใหญ่สองใบที่ภายในมีเหล้าอยู่หนึ่งลิตรมาเสิร์ฟ
คุณกัวกะจะให้เธอดื่มจนตายไปเลยงั้นเหรอ?
ใบหน้าของซูโย่วอี๋เย็นชาขึ้นมา “คุณกัวจะดื่มกับฉันขนาดนี้เลยเหรอคะ?”
คุณกัวยกยิ้มมุมปาก แต่ในดวงตากลับไม่ได้ยิ้มตามไปด้วยเลย เขาดูไม่เป็นมิตร อีกทั้งยังดูน่ากลัว
“หลินหลินบอกว่าในช่วงที่ถ่ายรายการ คุณดูแลเธอมากเป็นพิเศษ ผมรู้สึกประทับใจมาโดยตลอด ในกองทัพของเรา ยิ่งดื่มมากก็ยิ่งแสดงว่าเคารพคน ๆ หนึ่งมาก ทำไมครับ คุณซูไม่ชอบแบบนี้เหรอ?”
พูดจบเขาก็เปิดฝาขวดเหล้าขาวและเตรียมเทลงแก้ว
ซูโย่วอี๋บังปากแก้วเหล้าเอาไว้ แต่เพราะคุณกัวเห็นช้าเกินไป ทำให้เหล้าขาวกระเซ็นลงไปยังมือของเธอ
“คุณซูทำอย่างนี้หมายความว่ายังไงครับ?”
“คืนนี้ฉันไม่ดื่มเหล้าค่ะ คุณก็เห็นนี่คะ”
“คุณซู คนเราถ้าเข้มงวดมากเกินไปก็ไม่ดีนะครับ จะพึ่งพาแต่คนอื่นก็ต้องมีสักวันที่พึ่งพาไม่ได้ เป็นคนก็ควรปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์นะครับ”
มีความเหน็บแนมซ่อนอยู่ในคำพูดพวกนั้น
“ในวันนี้ ถ้าคุณดื่มเหล้าแก้วนี้เข้าไปและทิ้งความคับข้องใจในอดีต…”
ความคับข้องใจ?
ซูโย่วอี๋ยิ้ม “ฉันกับคุณกัวมีความคับข้องใจอะไรกันเหรอคะ?”
“ถ้าฉันไม่ยอมดื่มเหล้านี้ แล้วคุณจะทำอะไรได้เหรอคะ?”
ใบหน้าของคุณกัวสั่นขึ้นมา “ถ้างั้นทางเดินที่คุณซูเดินอยู่ก็คงจะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษแล้วแหละครับ”
ซูโย่วอี๋หายใจเข้าลึก ๆ คน ๆ นี้กล้าคุกคามเธอต่อหน้าทุกคนแบบนี้ มั่นใจมาจากไหนกัน
แต่เธอเองก็ไม่ใช่คนที่จะให้ใครมาขู่ได้ง่าย ๆ นะ
“กัว…”
ยังไม่ทันพูดจบ คน ๆ หนึ่งก็เดินเข้ามาพร้อมด้วยเสียงเย็นยะเยือก “ใครมันกล้ารังแกน้องสาวของฮันเจ๋อเหยียนกัน?”
เขาสวมชุดสูทสีดำสนิทและก้าวเข้ามาอย่างช้า ๆ ดูน่าเกรงขามมาก
ผู้คนหยุดพูดคุยทักทายกัน และหันไปมองผู้ชายสง่างามที่ผลักประตูเข้ามา
“นี่คือ…?”
“ประธานฮันจากบริษัทฮันกรุ๊ป คุณไม่รู้จักเหรอ?”
“ฮันเจ๋อเหยียน? เคยได้ยินอยู่ แต่พึ่งเคยเจอครั้งแรกเลย”
“เมื่อกี้เขาพูดว่าอะไรนะ? น้องสาว?”
“ฉันจำได้ว่าประธานฮันมีน้องสาว เธอชื่อฮันเอินจีไม่ใช่เหรอ”
“ฉันนึกออกแล้ว ฮันเอินจีคืออาจารย์ของอาจารย์โย่วโย่วอีกที”
สีหน้าของคุณกัวเคร่งเครียดขึ้นมา มันไม่อวดเก่งและข่มขู่เหมือนตอนที่เผชิญหน้ากับซูโย่วอี๋แล้ว
“ประธานฮัน”
ฮันเจ๋อเหยียนเดินมาตรงหน้าของเขา และหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋าพร้อมกับส่งให้ซูโย่วอี๋ “เช็ดซะ”
หลังจากนั้นก็มองไปยังคุณกัว “นายพลกัวมารยาทดีจริง ๆ เลยนะครับ เพียงแต่ว่าคุณไม่ควรเอาธรรมเนียมในกองทัพมาปฏิบัติในชีวิตจริง ไม่งั้นจะทำให้คนอื่นตกใจเอาได้นะ”
“ประธานฮันกับคุณซูเป็นอะไรกันเหรอครับ?”
ฮันเจ๋อเหยียนยิ้มออกมาเล็กน้อย “น้องสาวไงครับ”
“เมื่อครู่นี้ผมเดินผ่านมา เห็นว่านายพลกัวกำลังสั่งสอนน้องสาวของผมอยู่ คนโบราณกล่าวเอาไว้ว่าพี่ชายคนโตก็เหมือนพ่อ น้องสาวผมทำผิด คุณแค่มาคุยกับผมก็ได้มั้งครับ”
คุณกัวสงสัยขึ้นมาในใจ ทำไมอีกคนถึงนามสกุลฮัน อีกคนนามสกุลซู
ยังไงก็คงไม่ใช่พี่น้องกันแท้ ๆ แน่
แต่ถ้าไม่ใช่จริง ๆ ทำไมยิ่งมองสองคนนี้ ก็ยิ่งรู้สึกว่าเหมือนกันนะ
“ประธานฮันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงครับ?”
“บังเอิญผมกับพลตรีฉินกำลังคุยธุระกันอยู่ห้องข้าง ๆ”
คุณกัวอดไม่ได้ที่จะถามขึ้น “พลตรีฉินคนไหนครับ?”
ฮันเจ๋อเหยียนตอบกลับ “คุณไม่รู้งั้นเหรอครับ? ฉินไค ลูกชายของนายพลฉินไงครับ”
ในกองทัพคนที่สามารถถูกเรียกว่านายพลฉินได้นั้น มีเพียงคนที่มีระดับสูงกว่าเขาเท่านั้น
คุณกัวไม่รู้ว่าคำพูดนั้นจริงเท็จมากน้อยแค่ไหน แต่เขาก็เข้าใจว่าถ้าจะสั่งสอนซูโย่วอี๋ในวันนี้ก็คงไม่ได้แล้ว
“ผมแค่ล้อเล่นกับคุณซูน่ะครับ อย่าถือสาไปเลย”
เดิมทีเขาคิดว่าเรื่องนี้จะจบลง แต่ฮันเจ๋อเหยียนกลับรั้งตัวของคุณกัวที่กำลังเตรียมจะจากไปไว้ “นายพลกัว น้องสาวของผมตกใจจนมือสั่น อย่างนี้จะเรียกว่าล้อเล่นได้ยังไงครับ?”
ซูโย่วอี๋ ‘?’
ฉันมืออะไรสั่นตอนไหนกัน?
แต่เธอก็ยังคงให้ความร่วมมือกับฮันเจ๋อเหยียนด้วยการทำท่าทางหวาดกลัวออกมา