บทที่ 266 การยั่วยุของกุ้ยซื่อ

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 266 การยั่วยุของกุ้ยซื่อ
“ตั้งแต่มีเรื่องของเหมียวเอ้อร์ครั้งที่แล้ว เถ้าแก่ของข้าก็รู้สึกผิด เขารู้สึกว่าเป็นเพราะเขาไม่ได้คาดการณ์ไว้ล่วงหน้า ดังนั้นเหมียวเอ้อร์ที่ใจแคบผู้นี้จึงทำลายความร่วมมือระหว่างร้านจิ่นฝูและแม่นางกู้” เสี่ยวเซิ่งจื่อกล่าวอย่างชัดเจน “สองครั้งแล้วที่ทำให้แม่นางกู้รู้สึกอึดอัดใจ เถ้าแก่จึงรู้สึกเสียใจจริง ๆ และกลัวว่าจะมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีกในอนาคต ดังนั้นจึงอยากที่จะลงนามในสัญญาการซื้อขายระยะยาวกับแม่นาง ในอนาคตถ้ามีของดีอะไร หรือมีส่วนผสมที่ดีอะไร ทั้งหมดก็ให้ส่งไปที่ร้านจิ่นฝูได้เลย”

“ข้าจะให้ราคาที่น่าพอใจที่สุดแก่เจ้าแน่นอน! ” หลี่ฝานที่อยู่ด้านข้างเน้นย้ำ

กู้เสี่ยวหวานเลิกคิ้วด้วยความยินดี หากข้อตกลงนี้มีการลงนามจริง ๆ ในอนาคตนางจะมีช่องทางเพิ่มเติมในการสร้างรายได้

นางรู้ว่าเป็นหลี่ฝานจะคอยดูแลตนเอง นางเพิ่งลงนามสัญญาจ้างงานและสัญญาคนทำบัญชีในร้านอาหาร ทั้งหมดเป็นเพราะหลี่ฝานนั้นใส่ใจนางเป็นอย่างมาก

กู้เสี่ยวหวานรู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนัก ตอนแรกหลี่ฝานบอกว่าเขาจะขอให้ตนเองเป็นคนทำบัญชีก่อน และเขาก็คิดไว้แล้วว่าตนเองจะปฏิเสธ แต่เขายังคงพูดก่อนและเขาไม่ได้พูดเรื่องลงนามในสัญญาซื้อขายระยะยาวตั้งแต่แรก
หากทั้งสองนี้สลับกัน กู้เสี่ยวหวานย่อมตกลงที่จะลงนามในสัญญาซื้อขายระยะยาวแน่นอน และเมื่อถึงเวลาที่ต้องพูดถึงการเป็นคนทำบัญชี กู้เสี่ยวหวานคงจะปฏิเสธหลี่ฝานอย่างแน่นอน ในกรณีนี้ แม้ว่ากู้เสี่ยวหวานจะไม่ต้องการไป แต่นางก็ยังต้องกังวลเกี่ยวกับสัญญาที่ลงนามเอาไว้ และนางคงจะปฏิเสธ แต่หลี่ฝานนี้ใส่ใจความรู้สึกของกู้เสี่ยวหวานอย่างสมบูรณ์ จึงขอให้นางเป็นคนทำบัญชีก่อน ถึงกู้เสี่ยวหวานปฏิเสธ หลี่ฝานก็จะเกลี้ยกล่อมนาง และมันไม่ง่ายที่จะเกลี้ยกล่อมให้นางตงลงเช่นนั้น และค่อยบอกเรื่องที่ทำให้ประหลาดใจยิ่งกว่า เช่นนี้กู้เสี่ยวหวานจะไม่ตื่นเต้นได้อย่างไร

“เถ้าแก่หลี่ จะลงนามในสัญญซื้อขายระยะยาวนี้ได้อย่างไร?” กู้เสี่ยวหวานเอ่ยถามอย่างตื่นเต้น
“ในอนาคต ร้านจิ่นฝูของเราจะซื้อทุกอย่างจากสาวน้อยกู้ในราคาสูง นอกจากนี้ เราจะซื้อสูตรอาหารด้วยราคาสูงอีกด้วย ถ้าเจ้ามีส่วนผสมและสูตรเฉพาะตัว มันจะเป็นหนึ่งเดียวในเมืองรุ่ยเสียนทั้งหมดอย่างแน่นอน” หลี่ฝานกล่าวอย่างกระตือรือร้น

สูตรอาหารของกู้เสี่ยวหวาน สองสูตรแรกได้สร้างความประทับใจไปแล้ว และอีกสูตรเป็นเห็ดตี้มู่ผัดไข่ที่ทุกคนล้วนชื่นชอบ

นอกจากนี้ หลี่ฝานยังอธิบายสรรพคุณของอาหารจานนี้ให้แขกในเมืองรุ่นเสียนฟังอย่างชัดเจน เมื่อแขกเหล่านั้นได้ยินว่าอาหารนี้มีสรรพคุณมาก ทุกคนต่างก็ที่ไปร้านอาหารเพื่อจะสั่งอาหารจานนี้ อาหารจานนี้ถูกคนมีเงินซื้อในราคาจานละสิบตำลึงเงิน
เพียงแต่คนเหล่านี้ไม่รู้ว่าอาหารจานนี้คืออะไร รู้เพียงแต่ว่ามันมีรสชาติดีมาก หลี่ฝานไม่ได้จงใจบอกพวกเขาว่าพบมันที่ไหนหรืออย่างไร แต่เขาบอกว่ามันละเอียดอ่อนมาก อย่างแรก คือทำให้อาหารจานนี้เป็นจานลับ ประการที่สอง ยิ่งมีคนรู้จักอาหารนี้น้อยลงเท่าไร กู้เสี่ยวหวานก็จะมีโอกาสเลือกมากขึ้น ในอนาคตเมื่ออาหารจานนี้ออกสู่ท้องตลาด ผู้คนจากร้านอาหารอื่นจะขโมยสูตรหรือเรียนรู้ทักษะการทำอาหารจานนี้ได้ยากขึ้น

ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าส่วนผสมคืออะไร จะขโมยสูตรได้อย่างไร และจะลอกเลียนแบบได้อย่างไร?
เมื่อเห็นว่าร้านจิ่นฝูกลายเป็นต้นตำรับอาหารจานใหม่นี้ และยังมีร้านใหม่ในเมืองรุ่ยเสียนอีก จึงทำให้ร้านอาหารอื่น ๆ อิจฉาตาร้อน หลี่ฝานภูมิใจมากและพูดถึงเรื่องนี้ทุกวัน กู้เสี่ยวหวานนี้เป็นข่าวดีสำหรับร้านจิ่นฝูของเขาเสียจริง

เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ก็นึกถึงในตอนที่กู้เสี่ยวหวานเข้าไปที่ร้านในครั้งแรก ตอนนั้นถ้านางถูกเหมียวเอ้อร์ไล่ออกไป เขาจะมีกิจการที่เจริญรุ่งเรืองเช่นนี้ได้อย่างไร เมื่อมองย้อนกลับไปก็รู้สึกรังเกียจเหมียวเอ้อร์ผู้นั้นขึ้นไปอีก
หลี่ฝานถามความคิดเห็นของกู้เสี่ยวหวาน ทั้งสองพูดคุยกันและร่างสัญญา กู้เสี่ยวหวานพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วนและเห็นว่าตรงกับความคิดของนาง และยังได้ดูแลผลประโยชน์ของร้านจิ่นฝูและตัวเองด้วย ทันทีที่ลงนามในข้อตกลงนี้ ร้านจิ่นฝูและตัวนางเองก็จะได้ประโยชน์ร่วมกัน และนี่ก็สามารถทำเงินให้ทั้งคู่ได้

เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนได้ผลประโยชน์ร่วมกัน กู้เสี่ยวหวานจึงหยิบพู่กันและลงชื่อของตนเองไป

สองสิ่งที่เขาต้องการทำได้ทำเสร็จแล้ว หลี่ฝานก็ดีใจเป็นอย่างมาก เขาลูบเคราและยิ้มอย่างมีความสุข “สาวน้อยกู้ โปรดดูแลข้าในอนาคตด้วย”

กู้เสี่ยวหวานยิ้มและโค้งคำนับ “เถ้าแก่หลี่ถ่อมตัวเกินไปแล้ว ในอนาคตเถ้าแก่หลี่ก็ได้โปรดดูแลข้าเช่นกัน”
เมื่อเห็นว่าใกล้จะค่ำแล้ว หลี่ฝานจึงคิดว่าจะมีแขกเข้ามาในร้านอาหารมากขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นเขาจึงอยากจะรีบกลับไปดูแลร้านให้ดี เดิมทีกู้เสี่ยวหวานต้องการให้พวกหลี่ฝานทานอาหารเย็นเสร็จแล้วค่อยกลับไป แต่หลังจากฟังความตั้งใจของหลี่ฝานแล้ว จึงไม่ง่ายเลยที่จะรั้งพวกเขาไว้ หลังจากตกลงกันว่าจะไปร้านอาหารครั้งแรกเมื่อไร หลี่ฝานและเสี่ยวเซิ่งจื่อก็นั่งรถม้าออกไป

หลังจากบอกลาพวกเขา กู้เสี่ยวหวานก็กลับไปที่ห้องของนาง แต่นางก็เหลือบไปเห็นกุ้ยซื่อที่ซ่อนตัวอยู่

กุ้ยซื่อกอดอกและมองด้วยความอิจฉาไปที่รถม้าที่กำลังวิ่งออกไป
แม้ว่ารถม้าคันนี้จะธรรมดามาก แต่ก็ไม่มีใครในหมู่บ้านนี้ที่มีรถม้า แต่รถม้าคันนี้จอดอยู่หน้าบ้านของกู้เสี่ยวหวาน กุ้ยซื่อจึงรู้สึกสงสัยเป็นอย่างมาก
“โอ้ สาวน้อยกู้ เจ้าของรถม้าคันนี้คือผู้ใดกัน? เหตุใดมันถึงจอดอยู่หน้าบ้านเจ้ากันล่ะ?” กุ้ยซื่อยิ้มอย่างร้ายกาจ เมื่อสักครู่นางเห็นไม่ผิดแน่ว่ามีชายสองคนออกมาจากบ้านของกู้เสี่ยวหวาน

แม้ว่าจะมีหลายคนอยู่ในบ้าน แต่จิตวิญญาณแห่งการนินทาของนางก็ได้ลดละลง

กุ้ยซื่อผู้นี้เป็นพวกปากสว่าง เก้าในสิบของคำพูดของนางนั้นเป็นเรื่องที่ใส่สีตีไข่ กู้เสี่ยวหวานจึงขี้เกียจเกินกว่าจะคุยกับคนผู้นี้ ดังนั้นนางจึงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นและหันศีรษะเดินเข้าไปในบ้านโดยไม่สนใจเสียงตะโกนของกุ้ยซื่อจากด้านหลัง “สาวน้อยกู้ เจ้าอย่าเพิ่งไป มาคุยกับข้าก่อน!”

กู้หนิงผิงเกลียดผู้หญิงเสียงดังคนนี้เสียจริง ๆ ดังนั้นเขาจึงหันกลับมาจ้องที่กุ้ยซื่อ “หุบปาก”

เมื่อกุ้ยซื่อเห็นว่ากู้หนิงผิงเป็นเด็กบ้า และการจ้องมองมาเมื่อสักครู่ก็ทำให้นางกลัวจนตัวสั่น แต่ไม่นานก็กลับมารู้สึกตัวในทันที ท่าทีของนางหยิ่งผยอง นางจะกลัวเด็กที่ยังไม่โตผู้นี้ได้อย่างไรกันล่ะ

นางเท้าเอวสบถคำหยาบออกมา
พวกกู้เสี่ยวหวานมาที่ห้องครัวและปิดประตู แสร้งว่าพวกเขาไม่ได้ยินอะไรเลย

เมื่อกุ้ยซื่อเห็นว่าเด็กเหล่านี้ทำเหมือนตนเป็นธาตุอากาศและไม่สนใจ นางจึงตะโกนด้วยความโกรธ “พวกเจ้าออกมาหาข้าเดี๋ยวนี้ จะซ่อนตัวอยู่ในนั้นทำไม ออกมา ออกมา!”

คนผู้นี้น่าขำเสียจริง! กู้เสี่ยวหวานกำลังล้างผักอยู่ ครั้นนางได้ยินคำตำหนิจากกุ้ยซื่อ นางไม่โกรธ แต่กลับหัวเราะออกมาแทน