ตอนที่ 263 บัณฑิตน้อยน่ารำคาญยิ่งนัก
ท่ามกลางสงครามแสนวุ่นวาย ผู้อาวุโสเซวียและลูกศิษย์ก็แยกทางกัน ตัวเขาและบ่าวรับใช้สองพ่อลูกแต่งกายเป็นชาวบ้านธรรมดาปะปนอยู่ในกลุ่มผู้ลี้ภัยมาจนถึงเขตเริ่นอัน ก่อนจะแยกตัวมาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านละแวกใกล้เคียงแห่งนี้
เขตเล็ก ๆ ก็มีข้อดีในตัวของมัน นั่นคือความสงบ ! หลังจากลงหลักปักฐานแล้ว ผู้อาวุโสเซวียก็อยู่ที่นี่อย่างสันโดษ ใช้ชีวิตด้วยการ ‘ขยันทำนาทุกเช้า แบกจอบกลับบ้านเมื่อยามสนธยา’
สมัยยังหนุ่ม เขาศึกษาร่ำเรียนด้วยความยากลำบาก คิดแต่เรื่องชื่อเสียงและลาภยศเต็มสมอง แต่หลังจากมีชื่อเสียงแล้ว เขากลับเบื่อหน่ายกับการมีชื่อเสียงไปเสียอย่างนั้น เพราะไม่ว่าทางวาจาหรือการกระทำจะให้เสื่อมเสียความน่าเชื่อถือต่อหน้าลูกศิษย์ไม่ได้ เขาต้องเผชิญกับการสมคบคิดของผู้มีอำนาจ ต้องรับมือกับอารมณ์หลากหลายรูปแบบ ทั้งยังต้องรับลูกศิษย์ที่ไม่ชอบมาดูแลอีก…
หลายปีที่อยู่ในเขตเริ่นอัน แม้ว่าในแต่ละวันผ่านพ้นไปอย่างยากลำบากเพียงใดก็เป็นช่วงเวลาอิสระที่สุดในชีวิต
เขาและเจียงโม่หานได้พบกันเพราะพัดเล่มหนึ่ง วันนั้นเขาเดินเตร่จากบ้านไปถึงตัวเมืองอย่างยากลำบาก ระหว่างทางเขาเก็บพัดได้เล่มหนึ่ง ภาพวาดบนพัดนั้นดึงดูดความสนใจเขามาก ตอนที่ผู้อาวุโสเซวียเยาว์วัยก็มักชอบพัดที่รังสรรค์ขึ้นอย่างวิจิตรงดงาม เขาคิดว่าพัดขนาดเล็กนั้นสามารถสร้างสรรค์บทกวีได้อย่างยิ่งใหญ่
พัดเล่มนี้เป็นภาพวาดด้วยหมึกดำรูปภูเขาขนาดใหญ่ที่อยู่ห่างไกล หมู่บ้านซุกซ่อนตัวอยู่กลางหุบเขา ควันจากการทำอาหารที่ลอยออกมาจากปล่องไฟปรากฎเป็นภาพฉากหลังของลูกศิษย์ผู้อยู่แดนไกล…ทำให้เขานึกย้อนไปถึงช่วงที่กำลังศึกษาเล่าเรียน
พัดเล่มนี้ ไม่ว่าจะเป็นแนวคิดหรือรากฐานล้วนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว หากเป็นเขา…ผู้ซึ่งไม่ได้วาดภาพบนหน้าพัดมาหลายสิบปีแล้วอาจเทียบคนผู้นี้ไม่ได้ เขาอยากรู้มากว่าคนที่ทำพัดเล่มนี้จะมีวิสัยทัศน์งดงามเพียงใดจึงสามารถวาดภาพบนหน้าพัดได้อย่างวิจิตรและแฝงไปด้วยประเพณีดั้งเดิม
ในตอนนั้นเองก็มีบัณฑิตแต่งกายด้วยชุดคลุมยาว กิริยาสุภาพเรียบร้อย หน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังก้มหาบางอย่าง แต่เมื่อเห็นพัดในมือของเขาก็รีบเดินมาแสดงความเคารพทันทีและขอให้เขาคืนพัดอีกด้วย
ผู้อาวุโสเซวียทอดถอนใจอย่างเงียบ ๆ…อีกฝ่ายเป็นชายหนุ่มรูปงามผู้หนึ่ง แต่เขามองแล้วรู้สึกสังหรณ์อยู่ในใจว่าพัดเล่มนี้เป็นฝีมือของอีกฝ่าย หลังจากถามไถ่แล้วก็ไม่ได้คำตอบ ทว่าทั้งสองคนเริ่มสนทนากันตั้งแต่เรื่องพัด พื้นที่ห่างไกล บทกวีไปจนถึงบทเพลง คาดไม่ถึงว่าบัณฑิตรูปงามไม่เพียงมีความลึกซึ้งในด้านภาพวาด ทั้งยังลึกซึ้งในด้านวรรณกรรมด้วย
สิบปีมานี้ผู้อาวุโสเซวียเพิ่งได้สนทนากับผู้อื่นอย่างสนุกสนานเป็นครั้งแรก นับแต่นั้นมาผู้อาวุโสเซวียก็กลายเป็นสหายต่างวัยของบัณฑิตเจียง
หลินเว่ยเว่ยเอียงคอมองอีกฝ่ายพร้อมคลี่ยิ้มเหมือนลูกจิ้งจอกตัวน้อย “เราสองควรพูดกันอย่างตรงไปตรงมา เจ้าไปมาหาสู่กับผู้อาวุโสเพราะมีแผนการล่วงหน้าแล้วใช่หรือไม่ ? พัดเล่มนั้น เจ้าตั้งใจทิ้งไว้ใช่หรือไม่ ? เช่นนั้นจะบังเอิญให้ผู้อาวุโสเซวียเก็บพัดที่ตกไว้ได้อย่างไร ? ”
เจียงโม่หานชำเลืองมองนาง เขาอยากใช้พัดเคาะศีรษะของนางเสียจริง แต่เมื่อเห็นสองมือตนว่างเปล่าก็เพิ่งคิดได้ว่าพัดโดนนางขายไปในราคา 50 ตำลึงแล้ว เขายื่นมือออกไปเขกศีรษะของนางแทน “เมื่อชมเจ้าว่าฉลาด เจ้ากลับโง่เขลาอย่างน่าสงสาร เมื่อด่าว่าเจ้าโง่ ก็ดันฉลาดจนน่าตกใจ ! ”
หลินเว่ยเว่ยจึงโต้กลับ “แล้วข้าโง่เขลาตอนไหนไม่ทราบ ! ข้าเป็นเทพธิดาที่เฉลียวฉลาด ขยันขันแข็งและงดงามที่สุด ! ”
เจียงโม่หานส่งเสียงฮึดฮัดออกมาและกล่าวว่า “หากไม่โง่แล้วจะเอาตัวเองเข้าไปขวางมนุษย์โอสถโดยไม่มีความเกี่ยวข้องได้หรือ ? ไหนจะเกือบเอาชีวิตไม่รอดเพียงเพื่อไปเก็บเห็ดหลินจือนั่นอีก ? ”
หลินเว่ยเว่ยจึงพูดว่า “ข้าไปช่วยคน ไม่ได้บุ่มบ่ามเข้าไปเสียหน่อย ข้ามีการไตร่ตรองไว้แล้วว่าพละกำลังของตนและมนุษย์โอสถน่าจะใกล้เคียงกันจึงรุดหน้าขึ้นไป หมินอ๋องซื่อจื่อต้องการแจกจ่ายอาหารบรรเทาทุกข์แก่ชาวบ้านผู้ยากไร้จึงโดนลอบสังหารในอำเภอเป่าชิง ข้าทนนิ่งดูดายมองเขาถูกลอบสังหารไม่ได้หรอก”
“แล้วที่เก็บเห็ดหลินจือจนร่วงตกหน้าผาเล่า ? ” เจียงโม่หานชำเลืองมองนางซ้ำแล้วซ้ำเล่า
หลินเว่ยเว่ยพึมพำในใจ ‘หากไม่ใช่เพราะเจ้าดึงมือข้าไม่ยอมปล่อย ข้าก็คงแทรกตัวเข้าไปในมิติน้ำพุวิญญาณนานแล้ว เจ้าทำให้ข้าใช้มิติน้ำพุวิญญาณไม่ได้ แถมร่างกายก็ได้รับบาดเจ็บ ยังมีหน้ามาสั่งสอนข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า หึ ! น่าโมโหนัก ! ’
“คนตายเพราะเงิน นกตายเพราะอาหาร ! ” นางตอบด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง
เจียงโม่หานเม้มริมฝีปากสีชมพูระเรื่อพร้อมจ้องเขม็ง หลินเว่ยเว่ยเมินหน้าไปอีกทางด้วยความโกรธ…บัณฑิตน้อยน่ารำคาญยิ่งนัก ยังมีหน้ามาสั่งสอนผู้อื่นอีก !
สุดท้ายเจียงโม่หานก็สูดลมหายใจเข้าลึก เขาเพิ่งอายุไม่กี่ปีแต่โกรธเคืองกู่เหนียงผู้นี้ไปกี่ครั้งแล้ว ? บัดนี้นางกำลังโกรธเกรี้ยว แม้แต่เสน่ห์ชายที่ชวนหลงใหลก็ใช้ไม่ได้ผล !
เมื่อว่าที่ภรรยาขุ่นข้องหมองใจ ว่าที่สามีอย่างเขาจึงต้องปลอบ “เพราะข้าเป็นห่วงเจ้าไม่ใช่หรือ ? ข้ากังวลว่าเจ้าจะวู่วามจนพลาดท่าถึงแก่ชีวิตเข้าสักวัน ข้าโกรธเพราะเจ้าไม่รักชีวิตต่างหาก แต่เจ้ากลับทำเป็นเก่ง ทั้งยังมาโวยวายใส่ข้าอีก ! ”
“ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นห่วงข้า แต่เจ้าจะต่อว่ากันตลอดเวลาไม่ได้ ! คิดว่าข้าไม่มีศักดิ์ศรีเลยหรือ ? ” หลินเว่ยเว่ยจับใบหน้าซาลาเปาน้อย ๆ ของตนแล้วแสดงสีหน้าท่าทางทะเล้นไม่เบา
“เจ้ารับปากข้าก่อน ไม่ว่าจะทำสิ่งใดต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของตนเป็นอันดับแรก ต่อไปข้าจะไม่พูดเรื่องโง่เขลาที่เจ้าเคยทำในอดีตอีก ! ”
หลินเว่ยเว่ยไม่ใช่คนชอบหาเรื่องโดยไร้เหตุผล นางเบะปากพร้อมพยักหน้าในขณะที่เจียงโม่หานกำลังจ้องเขม็งมาทางตน จากนั้นก็พึมพำว่า “ข้าไม่ได้โง่ ! ”
เจียงโม่หานหัวเราะและเอ่ยถามว่า “ตอนนี้จะไปที่ใด ? ”
“ไปร้านขายขนมและผลไม้อบหนิงจี้ ข้าจะสอนพวกเขาทำคุกกี้เมล็ดต้นเจิน จากนั้นก็ไปเยี่ยมย่าเถียนที่บ้านอาฟู่กุย ! ” แส้เส้นเล็กที่อยู่ในมือของหลินเว่ยเว่ยถูกเหวี่ยงไปกลางอากาศ เมื่อแส้ปะทะจนเกิดเสียงดังแล้วเท้าทั้งสี่กีบของล่อก็ลากล้อเกวียนวิ่งออกไป
“ไอหยา ! ถนนขรุขระเช่นนี้ ล้อลากเสียหมด…คงได้พากันหกคะมำตีลังกาเป็นแน่ ! ” หลินเว่ยเว่ยนึกถึงถนนลาดยางในอดีต ไหนจะล้อยางที่อัดลมจนเต็มเปี่ยม
เจียงโม่หานเลิกคิ้วเล็กน้อย “เจ้าคิดว่า…ถนนเช่นไรถึงจะดี ล้อเกวียนอย่างไรถึงจะไม่เสียง่าย ? ”
“ถนนยิ่งเรียบยิ่งดี ส่วนล้อน่ะหรือ ไม่ทำให้คนตีลังกาอย่างไรเล่า” หลินเว่ยเว่ยจับเชือกค่าวแน่นเพื่อควบคุมระดับความเร็วของเกวียน เจียงโม่หานจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก
เจียงโม่หานเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันใด “บทกวี ‘ร่ำสุรา’ ในวันนี้ เป็นฝีมือของผู้ใดประพันธ์ไว้หรือ ? ถูกเจ้าโยนมาให้ข้าเช่นนี้ ข้าเป็นกังวลว่าจะโดนประณามว่าลอกเลียนแบบ ! ”
“เถาหยวนหมิงอย่างไรเล่า ยอดกวีผู้รักสันโดษ มีชื่อเสียงโด่งดังมาก ! เจ้าไม่เคยได้ยินหรือ ? ” เมื่อเห็นเจียงโม่หานส่ายหน้า หลินเว่ยเว่ยจึงเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “แล้วหลี่ไป๋หรือตู้ฝู่ เจ้ารู้จักหรือไม่ ? ”
“สองคนนี้ข้ารู้จัก ยอดกวีหลี่ไป๋ ยอดกวีตู้ฝู่ ! แต่ไม่เคยได้ยินชื่อเถาหยวนหมิงท่านนี้มาก่อน…” เจียงโม่หานครุ่นคิดอยู่ในห้วงความทรงจำอย่างละเอียด หรือว่าข้าเป็นกบในกะลาจึงไม่รู้จักคนผู้นี้ ? ไม่น่าใช่ ! ดูจากบทกวี ‘ร่ำสุรา’ แล้ว คนผู้นี้ไม่มีทางที่เขาจะไม่รู้จัก !
หลินเว่ยเว่ยเงียบอยู่ครู่หนึ่งจึงมั่นใจว่าโลกใบนี้แตกต่างจากประวัติศาสตร์อันคุ้นเคยในอดีตชาติของนางอย่างมาก โลกที่นางอยู่ในตอนนี้ บนหน้าประวัติศาสตร์ล้วนไม่มีราชวงศ์เซี่ย ซางและโจว…ดูเหมือนทั้งสองโลกจะยังมีความเกี่ยวข้องกับราชวงศ์ถังเพราะมีทั้งยอดกวีหลี่ไป๋และยอดกวีตู้ฝู่…หรือจะมีความเหลื่อมล้ำกับโลกคู่ขนานในห้วงมิติเกิดขึ้น ?
เจียงโม่หานมองพิจารณาใบหน้าด้านข้างที่กำลังครุ่นคิดของหลินเว่ยเว่ย เด็กคนนี้กำลังคิดสิ่งใด ? นึกถึงถนนที่ราบเรียบในโลกเดิมของนางหรือรถม้าที่สั่นสะเทือน ? หรือนึกถึงเถาหยวนหมิงยอดกวีผู้รักสันโดษในโลกใบนั้น ?