บทที่ 315 คนที่ก้นทะเลสาบ
บทที่ 315 คนที่ก้นทะเลสาบ
แต่นางก็ยังไม่เห็นหน้าคนผู้นั้นอย่างชัดเจน
นางยกแขนหนักหน่วงขึ้นอย่างอ่อนแรง บังแสงที่จ้าเข้าดวงตา ซึ่งเป็นราวกับแสงอาทิตย์ส่องร้อนแรงสำหรับนางในตอนนี้
การขยับร่างน้อย ๆ ทำให้อีกฝ่ายเห็นนาง น้ำเสียงคุ้นหูเจือแววยินดีพลันดังขึ้นข้างหู “เฟยเอ๋อร์! เจ้าฟื้นเสียที!”
ชิงหลานเฟยสะดุ้ง ยกมือขึ้นมองอีกฝ่ายที่เข้ามาใกล้ดี ๆ
เสียงคุ้นหูเช่นนี้ จะเป็นใครนอกจากม่อจิ่งอวี้?
เมื่อเห็นนางไม่ตอบคำ ใบหน้าหล่อเหลาพลันระบายความกังวล เอ่ยปากถามเสียงอ่อนโยนขึ้นอีก “เฟยเอ๋อร์ เป็นอันใดหรือไม่? ไม่สบายตรงไหนหรือ?”
เป็นตอนนั้นที่ชิงหลานเฟยได้สติ นิ้วเย็นเยียบเย็นเยียบพยายามจะสัมผัสใบหน้าของชายหนุ่ม ทว่ามันเชื่องช้านัก ดวงตาของเธอฉายแววงุนงงกับสถานการณ์ตรงหน้า
ม่อจิ่งอวี้รีบจับมือนางไว้ เมินความเย็นยะเยือกบนฝ่ามือนาง เอามาแตะแก้มตนแน่น ให้นางสัมผัสได้ถึงกายเขา ให้รู้ว่าเป็นเขาจริง ๆ
เขาคิดว่านางแค่ตกใจ เอ่ยเสียงอ่อนโยนและปลอบโยนขึ้น “ไม่เป็นไรแล้วนะเฟยเอ๋อร์ ข้าอยู่นี่แล้ว เจ้าไม่อันตรายอีกต่อไป ข้าจะอยู่ข้างกายเจ้าเอง”
ชิงหลานเฟยกะพริบตา แต่ไม่ว่าจะพยายามมองเท่าไรก็เห็นแต่สีขาวโพลน นอกจากเห็นเงาคนลาง ๆ แล้วก็ไม่เห็นสิ่งใดอีก
เมื่อได้ยินสุ้มเสียงอ่อนโยน น้ำตาก็รื้นขอบ น้ำเสียงแผ่วเบาดูแหบแห้งเล็กน้อย “จิ่งอวี้ ข้ามองไม่เห็น…..”
ม่อจิ่งอวี้สีหน้าตกใจราวกับได้ยินผิด “เจ้าว่าอะไรนะ?”
หมายความว่าอย่างไรที่บอกว่ามองไม่เห็น?
“ตาข้า….. มองไม่เห็นแล้ว”
ชิงหลานเฟยหลับตาแล้วลืมตาอีก ไม่รู้ทำไมต่อหน้าเขานางจึงมักดูบอบบางนัก ก่อนหน้านี้ตอนเขาไม่อยู่นางไม่เห็นกลัวอะไรแม้ตาจะมองไม่เห็นก็ตามที
แต่พอเขามา นางกลับรู้สึกราวโลกจะถล่ม
ได้ยินนางพูดย้ำอีก ม่อจิ่งอวี้จึงเข้าใจ
เขายกมือขึ้นโบกตรงหน้านาง ห่างแต่นัยน์ตางามกลับดูลอยเคว้งมองไปเบื้องหน้า ไม่แม้แต่จะกะพริบ มองเขาด้วยสายตาแข็งทื่อเช่นนั้น
หรืออาจจะไม่ได้มองด้วยซ้ำ นางแค่จ้องไปที่ทิศหนึ่งด้วยสายตาว่างเปล่าและไม่เขยื้อนไปไหนอีก
“เป็นเช่นนี้ได้อย่างไรกัน?”
ม่อจิ่งอวีจับไหล่นางไว้อย่างไม่อยากเชื่อ สีหน้าเครียด แต่นัยน์ตาระบายความเจ็บปวด “คนพวกนั้นทำเจ้าหรือ? ข้าไม่ปล่อยพวกมันไว้แน่!”
หากเขามาเร็วกว่านี้ก็อาจไม่เกิดเรื่อง
เห็นเขาโกรธเกรี้ยวตำหนิตนเองเช่นนั้น ชิงหลานเฟยก็ส่ายหน้าช้า ๆ “เปล่า พวกเขาไม่ได้ทรมานข้าเลย ข้าหนีออกมาได้ ดันหลงเข้ามาในเขตต้องห้ามของยอดเขาใจสงบ ตาข้า….. ก็เพิ่งจะบอดหลังจากเข้ามาที่นี่”
“แล้วต้องทำอย่างไรจึงรักษาหาย?” ม่อจิ่งอวี้ถาม
“ข้าเป็นนักปรุงยา รู้สภาพตนเองดี เราต้องรีบออกไปจากที่นี่ ไม่เช่นนั้นตาข้า….. จะยิ่งบาดเจ็บหนักหากอยู่ที่นี่นาน” ชิงหลานเฟยเอ่ยเสียงเบาพลางก้มหน้าลง
ม่อจิ่งอวี้ยิ่งเครียดขึง รั้งนางเข้าอ้อมกอดแน่น น้ำเสียงทั้งมั่นคงทั้งเคร่งขรึมนัก เอ่ยเน้นย้ำชัดทุกคำ “ข้าจะพาเจ้าออกไปให้ได้“
ที่อีกด้านหนึ่ง เมื่อชิงอวี่เดินเข้าป่าลึกมาเรื่อย ๆ ความรู้สึกผิดปกติก็ยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
นางพลันชะงักฝีเท้า ก่อนจะจ้องมองไปเบื้องหน้า
ฝีเท้าที่หยุดกะทันหันทำให้จั้งไหมกับเด็กน้อยที่เดินตามมาหยุดไปเช่นกัน
“นายหญิง มีอะไรหรือ?” จั้งไหมถามเสียงฉงน
ชิงอวี่หน้าไร้อารมณ์ ยกนิ้วขึ้นชี้ทางเบื้องหน้าช้า ๆ “ทางเดินมันสุดที่ตรงนั้น”
ได้ยินแล้วจั้งไหมกับเด็กน้อยจึงเงยหน้าขึ้นมองตามสัญชาตญาณ เห็นได้ชัดเจนว่าต้นไม้สีขาวที่นำทางพวกเขามา จู่ ๆ ก็หายไป
และตรงจุดที่ทิวไม้หายไปก็มีหมอกหนาทึบที่ดูเหมือนจะลอยขึ้นมาจากเบื้องล่าง มองแล้วอาจเป็นผาไร้ก้นหรือไม่ก็อาจเป็นทะเลสาบขนาดใหญ่อยู่เบื้องล่างก็เป็นได้
“หรือท่านแม่จะอยู่ที่นี่?” ชิงอวี่พึมพำ
แต่พูดแล้วก็ทำให้เด็กน้อยร้องเสียงหลงขึ้นทันที “นายหญิง ท่านคงไม่คิดจะลงไปดูกระมัง? ไม่ได้นะนายหญิง ใครจะรู้ว่าเบื้องล่างนั่นจะมีอันตรายขนาดใหญ่รออยู่หรือไม่?”
ครั้งนี้ หาได้ยากที่จั้งไหมไม่เอ่ยแย้งเจ้าตัวเล็ก เปิดปากเอ่ยคำว่า “นายหญิง ข้าไม่แนะนำให้ลงไปเช่นกัน แม้มาครั้งนี้จะเพื่อช่วยคน แต่ก็อยากให้นายหญิงคำนึงความปลอดภัยตนเองเสียก่อน”
“ข้ารู้แล้ว แน่นอนว่าข้าต้องนึกถึงความปลอดภัยตนให้ดี ข้าไม่ใช่คนประเมินตนเองสูงเกินไปหรอก”
ชิงอวี่หัวเราะเบา ๆ ก่อนหรี่ตาลง “แต่ตรงหน้ามีแค่ทางเดียว ในเมื่อไม่ว่าจะอยู่ตรงนี้หรือจะลงไปอย่างไรก็อาจตายได้ทั้งนั้น ก็ไม่ลองไปเสี่ยงโชคข้างล่างดูเล่า?”
หมายความว่าอย่างไร?
ชิงอวี่เอ่ยคำน่าฉงนจนทั้งสองได้แค่ยืนเกาหัว เห็นแล้วนางก็ยกยิ้ม เงยหน้าขึ้นแล้วชี้ ให้ทั้งสองหันไปดูด้านหลังพวกตน
พอหันไปแล้ว ก็เห็นว่าเส้นทางที่ใช้เดินมาค่อย ๆ ถูกน้ำแข็งปกคลุม เห็นได้ชัดว่าน้ำแข็งนั่นกระจายออกมาเรื่อย ๆ ใกล้จุดที่ยืนอยู่เต็มที
เด็กน้อยยืนอ้าปากค้างมองด้วยความตกใจ ราวกับไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
“ไปกันไหมไหม”
ชิงอวี่ลากเด็กหนุ่มที่ยืนนิ่งอยู่เดินไปหลายสิบก้าวในพริบตาเดียว
“นายหญิงรอข้าด้วย!” เจ้าเด็กน้อยรีบวิ่งตามไป ก่อนจะกระโดดลงไปในหมอกเบื้องล่างตามทั้งสองในทันที
กลับกลายเป็นอย่างที่ชิงอวี่คิดไว้ พวกนางอยู่สูงจากเบื้องล่างมาก แต่ด้วยสายตาเฉียบคมของนางแล้วจึงเห็นว่ามีระลอกน้ำระยิบระยับอยู่ด้านล่าง
เห็นได้ชัดว่าหมอกหนามาจากลมร้อนที่พัดขึ้นจากทะเลสาบ
ร่างดิ่งลงสู่เบื้องล่างอย่างรวดเร็ว ที่ปลายเท้าสัมผัสได้ถึงอากาศอุ่น สำหรับชิงอวี่ที่ชินชากับอากาศเย็นยะเยือกของยอดเขาใจสงบแล้ว สัมผัสเช่นนี้มันเหลือเชื่อจริง ๆ
เมื่อคิดว่ามีสถานที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้อยู่ในยอดเขาใจสงบ เช่นนี้ราวกับสวรรค์บนดินทีเดียว
มันไม่ใช่แค่น้ำอุ่น ๆ ของทะเลสาบเท่านั้น ยังมีพลังวิญญาณหนั่นแน่นอยู่ในบรรยากาศที่ปกคลุมเหนือทะเลสาบนี้อีกต่างหาก
ไม่รู้ว่าร่วงลงมาเท่าไหร่ ผืนน้ำขนาดใหญ่จึงกระเซ็นโอบร่างนางไว้ ทั้งร่างร่วงลงทะเลสาบ นางใช้วิชาไล่น้ำ แยกตนเองกับน้ำออกจากกัน ชุดจะได้ไม่เปียก ทั้งยังทำให้เคลื่อนกายใต้น้ำได้อย่างอิสระ
ส่วนจั้งไหมเป็นจิตวิญญาณอาวุธ นับว่ามีกายวิญญาณ ดังนั้นน้ำจึงไม่เปียกร่าง ยิ่งกับเจ้าเด็กน้อยสีแดงที่แท้จริงแล้วเป็นเมล็ดพันธุ์ไร้ร่าง ไม่กลัวลาวาร้อนอย่างเขา แค่น้ำในทะเลสาบเท่านี้ไม่นับเป็นอะไร
เด็กน้อยตื่นเต้นมากที่ได้ร่วงลงมากางแขนกางขาน้อย ๆ อย่างสนุกสนาน ว่ายน้ำกลับไปกลับมา ดูรื่นเริงยินดีนัก จากนั้นจึงเอ่ยเสียงมีความสุขขึ้นว่า “น้ำนี่มีอะไรอยู่กันหรือ? ทำไมมันสบายตัวมากเช่นนี้?”
จั้งไหมได้ยินจึงมองแล้วเอ่ยคำบ้าง “ข้าก็รู้สึกเช่นกัน ในน้ำนี่มีพลังวิเศษบางอย่าง”
“เอ๋? นั่นอะไรน่ะ?” เด็กน้อยพลันร้องเสียงประหลาดใจขึ้น “ดูอย่างกับสัตว์อสูร ตัวใหญ่ชะมัดเลย!”
สิ้นเสียงเขา ชิงอวี่จึงหันไปมองช้า ๆ สิ่งที่เห็นทำให้นางพลันเบิกตากว้าง
ที่ทำนางตกใจไม่ใช่เพราะหน้าตามันแปลกประหลาดหรือขนาดตัวมหึมาน่าเหลือเชื่อของมัน แต่เป็นโพรงขนาดใหญ่ที่อกมันต่างหาก ดูเหมือนว่าหัวใจของมันจะถูกดึงจากร่างไปทั้งที่มันยังมีชีวิตอยู่
และท่าทางของเจ้าตัวใหญ่นี่ก็แปลกมากเช่นกัน
อสูรส่วนมากมักยืนสี่ขา เป็นสัตว์สี่เท้า เคลื่อนที่ด้วยสี่เท้าเช่นนั้น แม้จะมีระดับขั้นสูงบ้างและสามารถสร้างร่างมนุษย์ขึ้นมาได้แล้ว แต่พออยู่ร่างจริงก็จะยังใช้สี่เท้า
แต่กับเจ้าตัวโตตรงหน้านางนี่ มันกลับยืนตัวตรงสองขา
และแม้จะมีใบหน้าน่ากลัวดูข่มขวัญ บนหัวมีเขาแปลก ๆ ด้านหลังมีหางเกล็ดแข็งราวกับคนจากเผ่ามังกร แต่มันก็มีแขนขาเป็นมนุษย์ ดังนั้นจึงนับได้ว่าเป็นอสูรที่ดูสง่างามมากตัวหนึ่งทีเดียว
ชิงอวี่ถูกอสูรร่างใหญ่สะกดไว้ชั่วขณะ อีกทั้งดวงตาของสัตว์อสูรขนาดมหึมานั่น ….. ยังมีสีม่วงอีกด้วย
ในใจนางนึกเรื่องบางอย่าง แต่นางกลับไม่อาจโยงมันกับภาพตรงหน้าได้
จนกระทั่ง…..
เจ้าเด็กน้อยว่ายเข้าไปหามันด้วยความอยากรู้อยากเห็น ก่อนว่ายวนรอบเจ้าตัวยักษ์อยู่หลายรอบ
เขาพลันเห็นว่าอสูรยักษ์นั้น ในมือกำดาบเหล็กที่ขึ้นสนิมเกราะ จึงยื่นมือไปแตะดูอย่างไม่แน่ใจ แล้วก็เหมือนจะมีความกล้ามากขึ้นเรื่อย ๆ กระทั่งพยายามเอื้อมมือไปหยิบดาบออกมา
เป็นตอนนั้นเองที่มีเรื่องเหลือเชื่อเกิดขึ้น
น้ำรอบกายมันที่สงบนิ่งมาโดยตลอด ทั้งน้ำนิ่งที่อยู่ก้นทะเลสาบก็พลันพุ่งขึ้นมาอย่างรุนแรง เกิดกระแสน้ำวนดุดันที่ราวกับจะกลืนกินทุกสิ่งอย่างเข้าไป
ก้นทะเลสาบเริ่มสั่นสะเทือนเคลื่อนไหวไปมา น้ำใสกระจ่างพลันกลายเป็นสีขุ่น
“เจ้าโง่!” จั้งไหมสบถด่าหน้าเครียด รีบดึงเด็กน้อยที่ทำหน้างงออกมาโดยเร็ว
ทั้งหมดได้แต่ยืนเซไปมา เตรียมรับมือกับอันตรายที่กำลังจะเกิด ทันใดนั้น แสงสว่างจ้าก็สว่างขึ้นต่อหน้าต่อตา สว่างเสียจนลืมตาไม่ขึ้น ไม่อาจเห็นอะไร ต้องหลับตาจนแน่น
หลังแสงจ้าผ่านไปแล้ว ความสงบก็กลับคืนสู่ก้นทะเลสาบอีกครั้ง อันตรายที่หมายว่าจะเกิดกลับไม่เกิดเสียอย่างนั้น
ชิงอวี่ค่อย ๆ ลดมือที่ยกขึ้นปิดตาลง หากแต่ภาพที่เห็นกลับทำให้ต้องยื่นค้างอยู่เช่นนั้น
แล้วร่างยักษ์ของเจ้าอสูรหายไปไหนแล้ว?
มีเพียงร่างสูงดูดีของชายหนุ่มผู้หนึ่ง เจ้าของใบหน้าชวนมอง ยืนอยู่แทนที่เจ้าอสูรยักษ์ ดาบยาวที่ส่องแสงเย็นยะเยือกออกมาในมือของเขาฝังลึกอยู่ที่ก้นทะเลสาบ ไร้การเคลื่อนไหว ส่วนนัยน์ตาของเขาจ้องไปเบื้องหน้า
บนเสื้อสีขาวที่ไร้ที่ติของเขา คือรอยเลือดเป็นรูกลวงที่ดูราวกับเพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน เพราะสีเลือดยังดูสดอยู่เลย
ทว่าชิงอวี่รู้ว่าเขาตายมานานมากแล้ว ไม่รู้ว่าดวงจันทร์ผันเปลี่ยนไปกี่คราแล้ว
ใช่แล้ว นับตั้งแต่ที่นางได้เห็นอสูรยักษ์เมื่อครู่ ในใจนางรู้สึกแปลก ๆ ขึ้นมา มันเป็นความรู้สึกคุ้นเคย ราวกับ….. ว่านางเคยได้ยินเกี่ยวกับเขามาก่อน ได้รู้จักเขาผ่านเรื่องเล่าของคนอื่น
ถ้าอ่าน “สาวงามตัวร้าย_ท่านจอมมารได้โปรดโนตกซะทีเถอะ” แล้วยังไม่จุใจ งั้นไปอ่านกันต่อได้ที่เว็บ Enjoybook.co เพราะที่นั่นลงนำไปแล้วกว่า 30 ตอน !!