บทที่ 264 หัวหน้าตระกูลไม่ยอมให้หลินเหราออกจากตระกูล
บทที่ 264 หัวหน้าตระกูลไม่ยอมให้หลินเหราออกจากตระกูล
การขอออกจากตระกูลที่เหยาซูลั่นวาจาออกมา ได้ผ่านการปรึกษาหารือกับหลินเหรามาแล้ว…
นับตั้งแต่ที่หลินเหราพาเซี่ยเชียนไปหมู่บ้านตระกูลหลินในคราวที่แล้ว เขาเองก็เคยเจอกับแม่หลินของหัวหน้าตระกูล เมื่อเขากลับถึงบ้านก็ตกสู่ความเงียบงันอยู่เนิ่นนาน
แม้หลินเหราจะไม่พูดสิ่งใด แต่ในสายตาก็พอดูออกว่าเขาสูญเสียความคาดหวังที่มีต่อตระกูลหลินไปโดยสิ้นเชิง
สุดท้ายเมื่อเขาได้หลุดพ้นจากตระกูลหลินอย่างที่บอกไว้ เหยาซูก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเหตุใดสุดท้ายแล้วเรื่องนี้ถึงจบลงโดยไม่มีข้อสรุป…
มันไม่ง่ายเลยที่หลินเหราจะมีอนาคตที่ดีหลังออกจากหมู่บ้านตระกูลหลินมาแล้ว จากการพิจารณาของตระกูล ไม่มีทางยอมให้พวกเขาออกจากตระกูลหลินแน่นอน
หัวหน้าตระกูลขมวดคิ้วแน่น จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “แม่หนูซู… เรื่องในวันนี้ เป็นความผิดของแม่หวัง แต่ที่ยังมีชีวิตอยู่ไม่ใช่เพื่อความจงรักภักดี ความกตัญญูที่สมบูรณ์พร้อมหรอกหรือ? เจ้าและอาเหราก็ต้องมีช่วงเวลาที่ต้องใช้วงศ์ตระกูลในภายภาคหน้า…”
เหยาซูทนไม่ไหวอีกต่อไป ตัดบทสนทนาของหัวหน้าตระกูลทันที
นางพูดเสียงเย็นชา “หัวหน้าตระกูล วันนั้นอาเหราพาคนของตระกูลเซี่ยมาพูดสิ่งใดกับท่าน ข้าเองไม่อาจรู้ แต่ในเมื่ออาเหรามีความตั้งใจจะออกจากตระกูลแล้ว คิดว่าบทสนทนาของพวกท่านต้องเกิดความไม่พอใจต่อกันเป็นแน่ เรื่องออกจากตระกูล ข้าถ่วงเวลาได้ รอให้อาเหรากลับมาจัดการ…แต่ความยุ่งยากตรงหน้า ต้องคิดหาทางแก้ไขก่อนไม่ใช่หรือ?”
หลี่เจิ้งเห็นเหยาซูไม่กัดแต่ก็ไม่ยอมปล่อย จึงรู้สึกโล่งใจอยู่เงียบ ๆ
กลับเป็นหัวหน้าตระกูลหลินที่มีสีหน้าดูไม่สบอารมณ์มาโดยตลอด
เสียงที่ฟังดูชราภาพแฝงไปด้วยความจนปัญญา “รอให้แม่โจวคลอดลูกอย่างราบรื่นก่อน ข้าจะพาแม่หวังทั้งสามคนกลับไป แม่หนูซูคิดว่าอย่างไร?”
เหยาซูพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “แค่พากลับไปเท่านั้นหรือ คราวต่อไปหากตระกูลหลินขัดสนเรื่องเงินทอง ก็ต้องบุกมาหาเรื่องที่บ้านของข้าอีกครั้งอย่างนั้นสิ?”
หัวหน้าตระกูลทอดถอนใจ “หลินหงเป็นคนไม่เอาไหน ล้างผลาญเงินในครอบครัวไปตั้งเท่าไร บัดนี้พ่อและพี่น้องของเขาล้วนถูกจับตัวไป … แม่หวังจึงหมดหนทาง ถึงได้คิดกลอุบายนี้ออกมา”
แม่เฒ่าเหยาที่อยู่ด้านข้างทนฟังไม่ได้อีกต่อไปจึงขมวดคิ้วและพูดว่า “หัวหน้าตระกูลหลิน หัวหน้าหลี่เจิ้ง หยุดพูดเรื่องตระกูลหลินได้แล้ว เพราะมันไม่ได้เกี่ยวข้องกับลูกสาวของข้าแม้แต่น้อย…เพียงแค่เรื่องที่หญิงสามคนนั้นบุกมาหาเรื่องถึงในหมู่บ้านตระกูลเหยา ท่านคิดว่าเช่นนี้มันเหมาะสมแล้วหรือ?”
พี่สะใภ้ใหญ่ยังคงหวาดผวา “ถ้าไม่ใช่เพราะวันนี้ข้าขวางแม่โจวไว้ทัน ถ้าตระกูลของเรามีเรื่องคอขาดบาดตายเกิดขึ้น มันจะเป็นอย่างไรเล่า?!”
สะใภ้รองเหยาเองก็พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาเช่นกัน “เห็นว่าบุรุษตระกูลเหยาล้วนไม่อยู่ ก็เลยคิดว่าจะรังแกกันง่าย ๆ อย่างนั้นสิ!”
สีหน้าของหัวหน้าตระกูลหลินและหลี่เจิ้งดูขมขื่นไม่น้อย ทำได้แค่พูด “หลังจากที่กลับไปแล้ว พวกเราจะต้องดูแลพวกนางอย่างเข้มงวด ไม่ให้พวกนางออกมาสร้างปัญหาได้อีก”
เหยาซูไม่อยากขังแม่หวังและคนอื่นไว้ในบ้าน วันนี้ได้สั่งสอนแม่เฒ่าหลินไปแล้วฉาดใหญ่ นางจะได้รู้เสียทีว่าตระกูลเหยาไม่ได้หวาดกลัว…
บัดนี้หัวหน้าตระกูลหลินได้เสนอว่าจะพาพวกนางกลับไป ซึ่งตรงกับเจตนารมณ์ของเหยาซูพอดี
เพียงแต่จะให้พวกเขาพาคนเหล่านั้นกลับไปง่าย ๆ เช่นนี้ไม่ได้
สีหน้าของเหยาซูเย็นชาลง จากนั้นก็พูดกับผู้อาวุโสด้วยความเคารพว่า “ตระกูลหลินจะเป็นอย่างไร ต่อไปเราจะไม่เข้าไปยุ่งอีก แต่วันนี้หวังว่าผู้อาวุโสทั้งสองท่านจะรับประกันให้แก่เราได้ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดความยุ่งยากมากไปกว่านี้ในวันข้างหน้า”
หัวหน้าหลินไม่ได้พูดสิ่งใด หลี่เจิ้งเอ่ยถามแค่ว่า “แม่หนูซูอยากจะให้รับประกันสิ่งใด?”
เหยาซูรู้ว่าหัวหน้าตระกูลหลินทำเพื่อคนในตระกูลอย่างแม่หลิน ไฉนเลยจะสนใจว่ามีหรือไม่มีความยุติธรรม…กลับเป็นหลี่เจิ้งเสียเองที่บอกถึงเหตุผลได้
นางพูดกับหลี่เจิ้งว่า “เงินสิบตำลึงของทุกเดือนที่รับปากไปก่อนหน้านั้น ต่อไปจะไม่มีให้แล้ว ถ้าแม่หลินอยากให้เราอยู่ในลำดับวงศ์ตระกูล จะถือว่าในวันข้างหน้าเราไม่เกี่ยวข้องอะไรกับบ้านตระกูลหลินอีก”
เมื่อครู่เหยาซูเสนอขอถอนตัวออกจากตระกูล ความคิดที่จะสลัดตัวออกจากตระกูลหลินนั้นเด็ดเดี่ยวมาก แม้แต่หัวหน้าตระกูลและหลี่เจิ้งก็หมดหนทางเกลี้ยกล่อม
หัวหน้าตระกูลได้มองไปทางเหยาซูด้วยสายตาหมองมัว ก่อนจะพูดว่า “แม่หนูซูยังพูดไม่จบใช่หรือไม่?”
เหยาซูเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ถ้าคราวต่อไปแม่เฒ่าตระกูลหลินยังกล้าบุกมาหาเรื่องถึงที่บ้านข้าอีก และหากตอนนั้นหลินเหราไม่อยู่ ตระกูลเหยาของเรายังมีคนพร้อมสู้ ถ้านางเพียงคนเดียว ตระกูลเหยาของเราจะทำลายกำแพงของตระกูลหลิน แต่ถ้ามากันทั้งครอบครัวเราก็จะทำลายตระกูลหลินทั้งตระกูลจนไม่เหลือซาก!”
พูดจบสายตาของนางก็เบนไปทางอาวุโสทั้งสองท่านและพูดว่า “พ่อและพี่น้องของข้าไม่มีทางทนเห็นครอบครัวถูกรังแกแล้วนั่งอยู่เฉย ๆ ได้หรอก”
แม่เฒ่าเหยาเองก็เปล่งเสียงสนับสนุนบุตรสาว “เหตุผลนี้ใช่เลย”
พ่อเฒ่าเหยาเป็นผู้ใหญ่บ้านของหมู่บ้านตระกูลเหยา หลายปีมานี้เขาสามารถจัดการทั้งเรื่องใหญ่และเรื่องเล็กได้อย่างเหมาะสม หมู่บ้านตระกูลเหยาคงไม่มีใครไม่ยินยอมแน่
ถ้าพ่อเฒ่าเหยาใช้อำนาจการเรียกร้องของตัวเองในหมู่บ้านตระกูลเหยา จะต้องระดมคนไปสร้างความวุ่นวายให้แก่ตระกูลหลินอย่างแน่นอน เกรงว่าเมื่อถึงคราวนั้นจะต้องกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตยิ่งกว่าเดิม
ถ้ากลายเป็นความขัดแย้งระหว่างสองหมู่บ้านจริง ๆ เขายังจะมีหน้าเป็นหัวหน้าตระกูลได้อีกอย่างนั้นหรือ? แม้แต่หลี่เจิ้งก็คงไปต่อไม่ได้
หัวหน้าตระกูลหลินเองก็อายุมากแล้ว แค่อยากให้ลูกหลานในตระกูลอยู่อย่างสงบสุข เหตุใดครอบครัวของหลินหงถึงได้สร้างปัญหาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาเองก็เหนื่อยล้าเช่นกัน
เขาทอดถอนใจ ใบหน้าที่บ่งบอกถึงอายุเต็มไปด้วยสีหน้าจนปัญญาจึงตอบรับไปว่า “ต่อไปเราจะดูแลลูกหลานตระกูลหลิน ไม่ให้พวกเขาไปสร้างปัญหาอีก”
หลี่เจิ้งเห็นหัวหน้าตระกูลตอบรับ ตัวเองจึงโล่งใจ
แม่โจวที่อยู่ในห้องถัดไปเริ่มคลอดลูก เสียงร้องที่ฟังดูน่าเวทนาได้ดังมากขึ้น พาให้ทุกคนหน้านิ่วคิ้วขมวดกันไปตาม ๆ กัน
ท่านหมอจางที่อยู่ในเหตุการณ์นั่งไม่ติดอีกต่อไป ขออนุญาตแล้วก็รีบวิ่งเข้าไปในห้องของหญิงสาวที่กำลังคลอดลูกทันที
เขากล่าวไว้ว่าแม่โจวจะมีชีวิตรอดหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับโชคชะตา แต่ความรักของหมอนั้นก็เหมือนความรักที่พ่อแม่มีต่อลูก เหตุใดท่านหมอจางถึงไม่หวังจะช่วยชีวิตนางกลับมาเล่า?
สะใภ้ทั้งสองคนของตระกูลเหยาก็ตามเข้าไปในห้องถัดไป เพื่อช่วยต้มน้ำเตรียมสิ่งของสำหรับการคลอด
แม่เฒ่าเหยามีจิตใจดี จึงอดพนมมือพลางพึมพำไม่ได้ “อมิตาพุทธ”
เวลาล่วงเลยผ่านไปหลายเค่อ กระทั่งถึงยามอู่ ทุกคนต่างยังไม่มีอารมณ์จะกินข้าว สุดท้าย หัวหน้าตระกูลหลินผู้มีอายุมากที่สุดไม่ทนอีกต่อไป
หลี่เจิ้งพูดเสียงต่ำ “ท่านอา ข้าพาท่านกลับไปส่งดีกว่า เห็นแบบนี้เกรงว่าลูกของแม่โจวจะคลอดยาก”
เสียงกรีดร้องของหญิงสาวที่อยู่ในห้องค่อย ๆ เบาลง ผ่านไปเนิ่นนานก็ยังไม่มีการเคลื่อนไหวของเด็ก หัวใจของหัวหน้าตระกูลหลินท้อแท้ลงเรื่อย ๆ
เขาไม่สนใจอีกต่อไปว่าตอนนี้ตนนั้นยังอยู่ในบ้านตระกูลเหยา นัยน์ตาที่บ่งบอกถึงอายุและมัวหมองเริ่มรื้นไปด้วยหยาดน้ำตา พลางพูดเสียงต่ำกับหลี่เจิ้งว่า “นี่คงไม่ใช่เวรกรรมหรอกนะ…”
หลี่เจิ้งหมดหนทางจึงทำได้แค่พูดปลอบใจด้วยเสียงต่ำ “ในวันที่ลูกชายคนโตของเจ้ารองหายตัวไป คนในหมู่บ้านช่วยกันออกตามหา เขาและแม่ของเขาไม่มีใครสนใจ…บัดนี้ภรรยาของเจ้ารองตั้งครรภ์ ต้องทุกข์ทรมานมาหลายเดือน รีบคลอดเสียก็ดีจะได้หลุดพ้น”
ในหมู่บ้าน พวกเขาจะไม่รู้เรื่องของตระกูลหลินได้อย่างไร? เพียงแต่ในฐานะผู้อาวุโส จึงทำได้แค่เตือนแม่หวังว่าอย่าทำสิ่งใดที่มันเกินไป แต่แม่สามีผู้นั้นปฏิบัติกับสะใภ้อย่างไร พวกเขาไม่อาจเข้าไปแทรกแซงได้
หัวหน้าตระกูลส่ายหน้าอย่างจนปัญญา พูดไม่ออกบอกไม่ถูก
เหยาซูนั่งอยู่ด้านข้าง กำลังครุ่นคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นรอบตัวของนางนับตั้งแต่ที่ข้ามเวลาข้ามมิติมาจนถึงบัดนี้อยู่ในใจ
ตระกูลหลินเป็นทั้งกรงขังและบึงโคลนอย่างไม่ต้องสงสัย วันแรกที่ข้ามเวลาเข้าไปยังตระกูลหลิน นางทนอยู่ต่อไปไม่ได้แม้แต่นาทีเดียว
แต่แม่โจวที่อยู่ที่นั่น ทนอยู่มาได้ถึงห้าปี
ความประทับใจแรกที่นางมีต่อแม่โจวถูกจำกัดไว้เพียงแค่ความใจร้าย บ้าอำนาจ การประจบประแจงแม่สามี รังแกสะใภ้ แต่บัดนี้เมื่อรู้ว่านางเองก็ต้องสูญเสียลูกเพียงคนเดียวไปจากการทรมานของแม่หวัง ขณะที่ตั้งครรภ์ก็ยังไม่มีวันเวลาที่ปกติเฉกเช่นผู้อื่นเลยสักวัน
ในใจของเหยาซูก็ไม่รู้ว่าควรเห็นใจ หรือว่าควรเมินเฉยดี….
……..
สุดท้ายแม่โจวก็คลอดลูกชายที่มีเสียงร้องเล็กแหลมยิ่งกว่าลูกแมวทั้งสองคนออกมา คนที่หลี่เจิ้งจัดเตรียมไว้ได้แบกสตรีผู้นั้นกลับบ้าน แต่เมื่อเข้าสู่ยามราตรีก็หมดเรี่ยวแรง…
…………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
ทำยังไงก็ได้ไม่ให้นังเฒ่านั่นมาบุกบ้านตระกูลเหยาก็พอค่ะ เดือดร้อนคนอื่นไปหมดเลย
สรุปแม่โจวจะมีชีวิตอยู่ไหมนะ ร่างกายอ่อนแอขนาดนั้นแต่ต้องคลอดลูกแฝด ถ้าแม่โจวเป็นอะไรขึ้นมา คนตระกูลหลินก็เตรียมยำนางแม่เฒ่าหวังได้เลยค่ะ
ไหหม่า(海馬)