ตอนที่ 260 หลบหลีก

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 260 หลบหลีก
ฮูหยินสี่กำช้อนในมือแน่น มองดูต้นไม้ในสวนของเรือนหลังที่เริ่มผลิใบเขียวขจีผ่านหน้าต่าง

ไป๋ชิงเหยียนเดินอ้อมฉากกั้นเข้าไป เอ่ยเรียกเสียงแผ่วเบา “ท่านอาสะใภ้สี่!”

ฮูหยินสี่ฉีซื่อจึงได้สติ นางวางช้อนในมือลงพลางปิดฝาถ้วยน้ำแกงลงตามเดิม นางไอออกมาสองสามที เลิกผ้าบางๆ ที่คลุมต้นขาออกเตรียมลุกขึ้นยืน ทว่า โดยไป๋ชิงเหยียนห้ามไว้เสียก่อน

“ท่านอาสะใภ้สี่ ข้ามาสนทนาเพียงครู่เดียวก็จากไปแล้วเจ้าค่ะ”

หลิงอวิ๋นนำน้ำชาร้อนเดินเข้ามาให้ไป๋ชิงเหยียน จากนั้นเดินไปหยุดอยู่นอกจากกั้นเพื่อรอฟังคำสั่ง

ชุนเถายิ้มพลางกล่าวกับกวนหมัวมัว “กวนหมัวมัว เมื่อหลายวันก่อนท่านบอกว่ามีลายปักลายใหม่ให้ข้าดูนี่เจ้าคะ หลิงอวิ๋นไปดูด้วยกันเถิด!”

ประโยคนี้สื่อความหมายว่าคุณหนูใหญ่มีเรื่องสนทนากับฮูหยินสี่เป็นการส่วนตัว กวนหมัวมัวจะอยู่ที่นี่ต่อโดยไม่รู้ความได้อย่างไรกัน นางรีบรับคำพลางพาชุนเถาและหลิงอวิ๋นเดินออกไปจากห้อง

“ท่านอาสะใภ้สี่ ข้าไปหนานเจียงคราวนี้มีข่าวดีมาฝากด้วยเจ้าค่ะ…” ไป๋ชิงเหยียนมองท่านอาสะใภ้สี่ยิ้มๆ “อาเจวี๋ยยังมีชีวิตอยู่เจ้าค่ะ”

ร่างของฮูหยินสี่ฉีซื่อสั่นเทิ้ม ดวงตาเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา ใบหน้าส่อแววไม่อยากเชื่อ

“ว่าอย่างไรนะ! อาเป่าเจ้าว่าอย่างไรนะ!”

“ท่านอาสะใภ้สี่!” ไป๋ชิงเหยียนกุมมืออาสะใภ้สี่แน่น

“ท่านอาสะใภ้สี่ทราบดีว่าบุรุษตระกูลไป๋เสียชีวิตลงที่หนานเจียงได้อย่างไร ดังนั้น ตอนนี้เรื่องที่อาเจวี๋ยยังมีชีวิตอยู่จะแพร่งพรายออกไปไม่ได้เด็ดขาด อาเจวี๋ยไม่อาจกลับมายังเมืองหลวงได้ ทว่า ท่านอาสะใภ้สี่วางใจได้เจ้าค่ะ อาเจวี๋ยปิดบังตัวตน ไม่นานเขาต้องได้พบกับพวกเราอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ เพื่อความปลอดภัยของอาเจวี๋ย ท่านอาสะใภ้สี่ต้องเก็บเรื่องนี้ไว้ในใจ ห้ามแพร่งพรายออกไปเด็ดขาดนะเจ้าคะ!”

“อาเป่า…ที่เจ้ากล่าวมาเป็นความจริงใช่หรือไม่!” ฮูหยินสี่ฉีซื่อร้องไห้ออกมา กล่าวซ้ำไปซ้ำมา

“เจ้าไม่ได้หลอกอาใช่หรือไม่ หรือข้ากำลังฝันไป เจ้าไม่ได้หรอกอาจริงๆ ใช่หรือไม่!”

ฮูหยินซื่อคิดว่าสามีและบุตรชายของตัวเองล้วนเสียชีวิตในสนามรบหมดแล้ว ไม่มีผู้ใดรู้หรอกว่านางเจ็บปวดทรมานใจเพียงใด นางใช้ชีวิตทุกวันด้วยความทรมาน ไม่มีวันใดที่นางไม่อยากจะตายตามสามีและบุตรชายไป ทว่า ไป๋ชิงเหยียนกลับมาบอกนางว่าอาเจวี๋ยยังมีชีวิตอยู่!

ดวงตาของไป๋ชิงเหยียนแดงก่ำ พยักหน้าน้อยๆ ยิ้มให้ท่านอาสะใภ้สี่อย่างยากลำบาก

“ท่านอาสะใภ้สี่ อาเป่าขอสาบานด้วยดวงวิญญาณของท่านปู่และท่านพ่อว่าอาเจวี๋ยยังมีชีวิตอยู่จริงๆ เจ้าค่ะ หากเหยียนโกหก ขอให้เหยียนมีอันเป็นไปเจ้าค่ะ!”

“อาเชื่อเจ้า เด็กดี อาเชื่อเจ้า!” ฮูหยินสี่ฉีซื่อกุมมือของไป๋ชิงเหยียนแน่น ใช้มือปาดน้ำตาทิ้ง ไม่รู้ว่าควรร้องไห้หรือหัวเราะดี นางมองไป๋ชิงเหยียนด้วยสีหน้าที่ดูไม่ดีนัก

“อาเป่า ขอบใจเจ้ามาก…ขอบใจเจ้ามากจริงๆ!”

“ดังนั้นท่านอาสะใภ้สี่ต้องยืนหยัดขึ้นอีกครั้งเพื่ออาเจวี๋ยนะเจ้าคะ” ไป๋ชิงเหยียนหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดหน้าให้ท่านอาสะใภ้สี่

“ควรใช้ชีวิตอย่างไรก็ใช้ไป อย่าให้ผู้อื่นจับได้เป็นอันขาด! คนยิ่งรู้น้อยเท่าใด อาเจวี๋ยก็จะยิ่งปลอกภัยมากขึ้นเท่านั้น เมื่อพวกเราย้ายกลับไปซั่งหยาง ทุกอย่างเรียบร้อยดี อาเจวี๋ยต้องให้คนส่งจดหมายมาให้ท่านอาสะใภ้สี่แน่นอนเจ้าค่ะ หากมีโอกาส อาเจวี๋ยก็คงมาพบท่านอาสะใภ้สี่เช่นเดียวกันเจ้าค่ะ”

“เข้าใจ!” ฉีซื่อพยักหน้าทั้งน้ำตา สีหน้าหนักแน่น “อาเข้าใจดี อาเข้าใจดี!”

“ดังนั้นหากท่านอาสะใภ้สี่ไม่สบายก็ต้องทานยานะเจ้าคะ มิเช่นนั้นหากอาเจวี๋ยกลับมา ร่างกายท่านอาสะใภ้สี่รับไม่ไหวจะทำอย่างไรเจ้าคะ อาเจวี๋ยต้องเสียใจแน่นอนเจ้าค่ะ”

ฉีซื่อกัดริมฝีปากกลั้นเสียงร้องไห้ อ้าปากเหมือนอยากจะกล่าวสิ่งใดออกมา ทว่า กลับกล่าวไม่ออกแม้แต่คำเดียว นางทำได้เพียงฝืนออกแรงตบไปที่มือของไป๋ชิงเหยียนเบาๆ ไม่รู้จะเอ่ยขอบคุณอย่างไรดี

ไป๋ชิงเหยียนเพิ่งเดินออกมาจากเรือนลี่สุ่ยก็ได้ยินกวนหมัวมัวสั่งให้คนไปเชิญหมอมา หญิงสาวหันไปมองเรือนลี่สุ่ยแวบหนึ่ง จากนั้นเดินจับมือชุนเถาจากไปยิ้มๆ

ภายในเรือนชิงฮุย ไป๋จิ่นซิ่วมารอไป๋ชิงเหยียนได้สักพักแล้ว

เมื่อเห็นไป๋ชิงเหยียนกลับมา ไป๋จิ่นซิ่วลุกขึ้นยืนทำความเคารพยิ้มๆ

“พี่หญิงใหญ่ เดิมทีข้าแค่แวะมาดูท่าน หากท่านพักผ่อนแล้วข้าก็จะกลับ นึกไม่ถึงเลยว่าพี่หญิงใหญ่จะไปพบท่านอาสะใภ้สี่”

ไป๋จิ่นซิ่วเป็นคนฉลาด เมื่อได้ยินว่าไป๋ชิงเหยียนไปพบท่านอาสะใภ้สี่ก็รู้ทันทีว่าต้องเป็นข่าวดี

ไป๋ชิงเหยียนยิ้มพลางสำรวจดูร่างกายของไป๋จิ่นซิ่ว ดวงตาเต็มไปด้วยความยินดี

“เหตุใดเจ้าถึงไม่อ้วนแต่กลับผอมลงเช่นนี้”

“เรียนคุณหนูใหญ่ ตอนที่คุณหนูรองตั้งครรภ์ได้สองเดือน คุณหนูอาเจียนทั้งวัน ย่อมผอมลงไปมากอยู่แล้วเจ้าค่ะ ทว่า ท่านเขยรักคุณหนูรองมาก พยายามคิดหาวิธีให้คุณหนูรองทานอาหารได้ ตอนนี้บำรุงกลับมาได้น้อยแล้วเจ้าค่ะ!” ชิงซูทำความเคารพแล้วกล่าวยิ้มๆ

“นางกล่าววาจาไร้สาระเจ้าค่ะพี่หญิงใหญ่!” ไป๋จิ่นซิ่วจ้องชิงซู

ชิงซูรีบถอยหลังไปสองสามก้าวพลางก้มหน้าลงอย่างหวาดกลัว เหตุใดนางถึงลืมไปได้ว่าเดิมทีการแต่งงานนี้ควรเป็นของคุณหนูใหญ่ นางเห็นคุณหนูรองและท่านเขยรองรักใคร่ปรองดองกันดี นางกลัวว่าคุณหนูใหญ่จะเป็นห่วงคุณหนูรองจึงกล่าวออกไปตามความจริง นางลืมข้อนี้ไปได้อย่างไรกัน

“เหตุใดเจ้าต้องจ้องชิงซูด้วย” ไป๋ชิงเหยียนจูงมือไป๋จิ่นซิ่วเข้าไปด้านในห้อง กล่าวยิ้มๆ “วาสนาเป็นเรื่องของฟ้าลิขิต ต่อให้พี่จะเคยหมั้นหมายกับฉินหล่างแต่ก็ไร้วาสนาต่อกัน ทว่า มีวาสนาที่จะได้เป็นพี่ภรรยาและน้องเขยกันมากกว่า เจ้าไม่ต้องหลบหลีกเรื่องนี้หรอก”

ไป๋ชิงเหยียนกล่าวอย่างตรงไปตรงมา ไป๋จิ่นซิ่วจะได้ไม่ระแวงเรื่องนี้อีก

ไป๋จิ่นซิ่วตะลึงงัน จากนั้นพยักหน้าตามยิ้มๆ “พี่หญิงใหญ่กล่าวถูกแล้วเจ้าค่ะ”

ชุนเถารินน้ำชาให้คุณหนูทั้งสอง จากนั้นกล่าวยิ้มๆ

“ถงหมัวมัวทราบว่าคุณหนูรองชอบทานเปรี้ยว จึงให้บ่าวนำชาพุทรามาให้เจ้าค่ะ คุณหนูรองรองดื่มดูว่าถูกปากหรือไม่เจ้าคะ”

ไป๋จิ่นซิ่วยกขึ้นจิบเล็กน้อย “อืม ไม่เลวเลย ถงหมัวมัวช่างใส่ใจนัก”

“คัดลูกพลัมเปรี้ยวๆ มาด้วย” ไป๋ชิงเหยียนยกชาขึ้นพลางหันไปสั่งชุนซิ่ง

“เจ้าค่ะ!”

ไม่นานชุนซิ่งก็ถือถาดอาหารสีดำเข้ามา นอกจาลูกพลัมอบแห้งแล้ว ยังมีขนมเรียกน้ำย่อยอีกสองสามอย่างและตะเกียบเล็กอีกสองคู่

ชุนซิ่งวางถาดลงบนโต๊ะจากนั้นปิดฉากกั้นให้แล้วออกจากห้องไปอย่างรู้งาน

เมื่อเห็นชุนซิ่งจากไปแล้ว ไป๋จิ่นซิ่วจึงถามขึ้นอย่างร้อนใจ

“พี่หญิงใหญ่ มีข่าวดีใช่หรือไม่เจ้าคะ”

ไป๋ชิงเหยียนพยักหน้ายิ้มๆ “อาเจวี๋ยกับอาอวิ๋นยังมีชีวิตอยู่!”

เมื่อได้ยินคำกล่าวของไป๋ชิงเหยียน ร่างของไป๋จิ่นซิ่วชาวาบเกือบครึ่งร่าง หญิงสาวรีบใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากไว้กลัวตัวเองร้องไห้ออกมา ดวงตาแดงก่ำทั้งสองข้างมีรอยยิ้มทั้งน้ำตา ลุกขึ้นยืน เดินไปเดินมาในห้องสองสามรอบจากนั้นถามต่อ

“พี่หญิงใหญ่ ข้าไม่ได้ฝันไปใช่หรือไม่เจ้าคะ”

ไป๋ชิงเหยียนจับมือของไป๋จิ่นซิ่วให้นั่งลง

“เรื่องนี้ห้ามเอะอะเด็ดขาด ข้ากำชับเสี่ยวซื่อแล้วว่าห้ามบอกผู้ใดทั้งสิ้น เจ้ากับท่านอาสะใภ้สี่รู้ก็พอแล้ว ห้ามกล่าวเรื่องนี้กับผู้ใดอีกทั้งสิ้น!”

ไป๋จิ่นซิ่วพยักหน้าอย่างแรง ทว่า น้ำตาก็ไหลออกมาอย่างอดไม่ได้

ไม่นาน ไป๋จิ่นซิ่วจึงสงบสติอารมณ์ลงได้ นางหยิบจดหมายของไป๋จิ่นถงออกมา

“จิ่นถงส่งมาเจ้าค่ะ คำนวณดูแล้วนางน่าจะออกเรือนไปได้ครึ่งเดือนแล้วเจ้าค่ะ”

ไป๋ชิงเหยียนอยู่ที่หนานเจียงจึงไม่สะดวกส่งจดหมายไปหานาง ไป๋จิ่นถงจึงส่งจาดหมายทั้งหมดไปให้ไป๋จิ่นซิ่วแทน

จากเนื้อความในจดหมายของไป๋จิ่นถง นางจะเดินทางราวๆ ครึ่งปี กว่าจะส่งจดหมายได้อีกครั้งก็คงเป็นอีกครึ่งปีให้หลังแล้ว

ไป๋จิ่นถงสบายดี เพียงแต่เป็นห่วงไป๋ชิงเหยียนที่อยู่ที่หนานเจียง นางกำชับให้ไป๋จิ่นซิ่วดูแลตระกูลไป๋ให้ดีๆ อย่าทำให้ไป๋ชิงเหยียนที่อยู่ทางหนานเจียงต้องเป็นกังวลเรื่องทางนี้