บทที่ 240.1 สามรุมหนึ่ง (1)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 240 สามรุมหนึ่ง (1)
อวี้ชินอ๋องรู้ดีว่าที่ผ่านมาเขาทำให้นางลำบากมามากแค่ไหน เหตุการณ์ครั้งนั้น แม้พี่ชายของเขาจะลั่นวาจาว่าจะพลีชีพเพื่อสงคราม แต่หารู้ไหมว่า ก่อนหน้านั้นเขาได้กระทำบาปครั้งใหญ่เอาไว้ เป็นบาปที่ต่อให้ตายไปแล้วก็ไม่มีทางลบล้างได้ ท่านเจ้าแคว้นหรือก็คือบิดาของพวกเขา พอรู้เรื่องเข้าก็โกรธจนขับไล่คนของพี่ชายให้ไปอยู่ที่ชายแดน ทั้งยังลดขั้นเหล่าบรรดาหลานชายหลานสาวของเขาให้เป็นไพร่เสียให้หมด

และเพื่อปกป้องเด็กๆ เขาจึงขอรับเลี้ยงเด็กๆ ไว้ในนามของเขาเอง

นางเลี้ยงดูพวกเขาราวกับเป็นบุตรแท้ๆ โดยเฉพาะหมิงเอ๋อร์ที่เรียกได้ว่าเลี้ยงอย่างใกล้ชิดชนิดที่ว่ายุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอมเลยทีเดียว

เขาเองก็อยากมีลูกกับนาง มีอยู่ครั้งหนึ่งพวกเขาพยายามจนเคยตั้งครรภ์ได้ แต่สุดท้ายก็ไปไม่ถึงฝั่ง พวกเขาช่างอาภัพโชคนัก

เขารู้ว่านางไม่มีวันลืมความเจ็บปวดที่ต้องสูญเสียลูกชายไปได้

ขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยกันอยู่นั้นเอง ก็ปรากฏมีขันทีเดินเข้ามา “ไท่จื่อและไท่จื่อเฟยจากแคว้นเจาเสด็จมาเยี่ยมขอรับ”

อวี้ชินอ๋องเฟยหันไปมองหน้าผู้เป็นสามีอย่างงุนงง “พวกเขามาได้อย่างไร มาเยี่ยมใครกัน หรือว่า พวกเขาจะมาเยี่ยมหมิงเอ๋อร์อย่างนั้นรึ แต่หม่อมฉันไม่เคยแเพร่งพรายเรื่องนี้ให้ภายนอกรู้มาก่อนเลยนะเพคะ”

หรือว่าข่าวจะรั่วไหลในตอนนั้น ที่ออกไปรักษานอกสถานที่

“พวกเขามาหาข้า มิใช่หมิงเอ๋อร์” จากนั้นอวี้ชินอ๋องก็เล่าเรื่องเรือสำราญให้ฟัง “เกิดเหตุไฟไหม้เรือ แต่ยังดีที่ไม่มีใครเป็นอะไร”

อวี้ชินอ๋องเฟยรู้สึกโล่งอกที่ไม่ใช่อย่างที่ตัวเองคิด

เพราะนางกลัวการถูกคนจับตามอง

“แล้วท่านไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่” อวี้ชินอ๋องเฟยเอ่ยถาม

ผู้เป็นสามียิ้มให้พลางส่ายหัว “ข้าไม่เป็นอะไร ถ้าไม่เชื่อ คืนนี้เจ้าก็พิสูจน์สิ!”

อวี้ชินอ๋องเฟยขึงตาใส่เขาหนึ่งที

แม้จะอารมณ์ดีขึ้นกว่าเมื่อครู่แล้ว แต่กระนั้น นางก็ไม่พร้อมจะพบหน้าใครอยู่ดี

นางจึงขอพักอยู่ในห้อง ส่วนอวี้ชินอ๋องออกไปต้อนรับไท่จื่อและไท่จื่อเฟย

ราชนิกุลแคว้นเจาเรียกได้ว่าเป็นศูนย์รวมของคนงาม ทั้งภายนอกและภายใน แคว้นเหลียงไม่มีทางเทียบชั้นได้ติด ที่พอจะเป็นหน้าเป็นตาได้ก็มีแค่หมิงเอ๋อร์ที่ได้ความสง่ามาจากมารดาของเขา

ไท่จื่อคือคนที่มีราศีใกล้เคียงกับฮ่องเต้ของแคว้นเจามากที่สุด ให้ความรู้สึกราวกับเป็นผู้อาวุโสในร่างเด็กหนุ่ม กระนั้นก็แฝงไปด้วยความสง่าผ่าเผยแบบหาจับต้องได้ยาก

อันที่จริง ก่อนหน้านี้ อวี้ชินอ๋องเคยมีความคิดอยากให้พระธิดาอภิเษกกับไท่จื่อแห่งแคว้นเจา เมื่อห้าปีก่อนเขาเคยไปเยือนที่แคว้นเจา และได้พบกับไท่จื่อ และมองว่าไท่จื่อหน่วยก้านดี ประจวบเหมาะกับเวลานั้นเจ้าของสองแคว้นก็มีความประสงค์ใช้พิธีอภิเษกเพื่อสร้างความปรองดองกันอีกด้วย

แต่พอภายหลังดันมาเกิดเรื่องเสียบุตรในครรภ์ขึ้น เขาจึงหมดอาลัยตายอยาก จนเมินเรื่องนี้ไปในที่สุด

รู้ตัวอีกที ไท่จื่อก็ถูกทาบทามโดยฮ่องเต้แล้ว

พิธีปรองดองจึงเป็นอันหายไป ว่ากันตามตรงแล้วแคว้นเหลียงไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด ด้วยความที่เป็นแคว้นใหญ่ ฝ่ายที่เสียเปรียบน่าจะเป็นแคว้นเจาเสียมากกว่า

ไท่จื่อ ไท่จื่อเฟย และอวี้ชินอ๋องนั่งลงตรงที่ศาลาดอกไม้

ไท่จื่อพาหมอหลวงมาด้วย และจัดแจงให้หมอหลวงช่วยวัดชีพจรให้อวี้ชินอ๋อง

“ไม่ต้องหรอก ข้าไม่เป็นอะไร” อวี้ชินอ๋องโบกมือ

ด้วยความที่อวี้ชินอ๋องและพระชายาเคยพำนักอยู่ที่แคว้นเจาเป็นเวลาเกือบปี ทั้งสองจึงพูดภาษาแคว้นเจาได้เป็นอย่างดี

ไท่จื่อออกอาการกังวล “เรื่องนี้เป็นความสะเพร่าขององค์ชายสาม จนเกือบเป็นเรื่องบานปลายเสียแล้ว โชคดีที่อวี้ชินอ๋องทรงปลอดภัย”

เหอะ องค์ชายสามสะเพร่าอย่างนั้นรึ

อวี้ชินอ๋องนึกในใจ ก่อนจะทำเป็นหูทวนลมแล้วจิบชาต่อโดยไม่เอ่ยอะไร

ไท่จื่อพยายามทุกวิถีทางที่จะประนีประนอมต่ออวี้ชินอ๋อง เพราะเห็นแก่ไท่จื่อเฟยที่เคยมาที่แคว้นเหลียงและเคยพบกับอวี้ชินอ๋อง

แต่ดูเหมือนอวี้ชินอ๋องจะมองข้ามไท่จื่อเฟยอย่างชัดเจน

แต่นั่นก็เป็นเพราะว่า อวี้ชินอ๋องไม่ได้มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับไท่จื่อเฟยแม้แต่น้อย

ในตอนนั้น ไท่จื่อเฟยเดินทางมายังแคว้นเหลียงพร้อมกับเหล่าคณะทูต ซึ่งตอนนั้นจวงเซี่ยนจือเป็นหนึ่งในคณะทูต อีกประการหนึ่งก็คือนางเป็นสตรีผู้มีปรีชาสามารถและมีชื่อเสียงในแคว้นเจา จึงให้นางเดินทางไปด้วยเพื่อเป็นหน้าเป็นตาแก่แคว้นเจา

ถึงกระนั้น ด้วยความที่ครั้งนั้นมีคณะทูตจากแคว้นจิ้นและแคว้นเยี่ยนซึ่งเป็นแคว้นใหญ่ไปเยือนแคว้นเหลียงด้วย

แคว้นเล็กๆ อย่างแคว้นเจาจึงถูกมองข้ามไปโดยปริยาย

ไท่จื่อเฟยแทบไม่ได้มีโอกาสจะแสดงความสามารถอะไรออกมาเลย ได้แต่มองดูคนจากแคว้นอื่นร้องรำทำเพลงสุขสำราญตามอำเภอใจ

จะว่าไป เมื่อสิบปีก่อน เวินหลินหลังก็เป็นแค่เด็กสาวตัวเล็กๆ อายุสิบเอ็ดปีคนหนึ่ง จะให้แต่งองค์ทรงเครื่องแบบเจ้าหญิงเจ้าเมืองก็ดูจะมิใช่กงการอะไรของนางที่ต้องทำแบบนั้นในวัยเท่านั้น

บัดนี้ แม้นางจะเติบใหญ่ขึ้นเป็นสตรีรูปงามสวยสะพรั่ง

กระนั้น อวี้ชินอ๋องก็มิใช่ประเภทเสือผู้หญิง

บรรยากาศเต็มไปด้วยความอึดอัดจนไท่จื่อถึงกับก้มหน้าไม่สบตาใคร

สักพัก ก็มีเสียงที่คล้ายกับเสียงของเด็กเล็กดังลอยเข้ามา ไท่จื่อเฟยจึงเอ่ยถาม “องค์ชายอยู่ข้างนอกนี้หรือเพคะ”

อวี้ชินอ๋องพยักหน้า “อ๋อ เจ้าตัวเล็กน่ะ”

ไท่จื่อเฟยยิ้มอ่อน “หม่อมฉันขอตัวไปเฝ้าองค์ชายน้อยก่อนนะเพคะ”

นี่คือหนึ่งในจุดอ่อนของอวี้ชินอ๋อง เขาหวงลูกชายมาก

พอเห็นไท่จื่อเฟยเอ่ยเช่นนี้ เขาจึงไม่อาจปฏิเสธ

ไท่จื่อเฟยเดินไปทางสวนหย่อม

หมิงเอ๋อร์กำลังนั่งเล่นอยู่บนชิงช้า อาการของเขาดีขึ้นมากเมื่อเทียบกับวันก่อน คงเป็นเพราะยาที่กู้เจียวให้ไว้เริ่มออกฤทธิ์แล้ว อาการเลยดีขึ้น และออกมาเล่นข้างนอกได้อย่างเต็มที่แล้ว

แต่ถึงแม้จะเป็นการเล่น แต่หมิงเอ๋อร์ก็เป็นเด็กที่เล่นได้เรียบร้อยเมื่อเทียบกับเด็กคนอื่นๆ

หากเป็นฉินฉู่อวี้คงไม่มาเล่นชิงช้าเฉยๆ แบบนี้แน่นอน คงจะเล่นปีนป่ายหรือไม่ก็โหนตัวกับเชือกเหมือนลิงป่าแน่ๆ

“หมิงเอ๋อร์”

ไท่จื่อเฟยเดินเข้ามาใกล้ๆ องค์ชายน้อยพร้อมกับเอ่ยเรียกชื่อ

“ท่านเป็นใครกัน” หมิงเอ๋อร์หันมาด้วยสีหน้างุนงง

เหล่าขันทีและนางในที่อยู่รอบๆ ต่างย่อตัวคำนับให้ไท่จื่อเฟย

ไท่จื่อเฟยยิ้มให้องค์ชายน้อย “หม่อมฉันมาจากตระกูลเวิน องค์ชายเรียกหม่อมฉันว่าท่านพี่เวินได้นะเพคะ องค์ชายชอบเล่นชิงช้ารึ หรือว่าอยากจะเล่นอย่างอื่นบ้างเพคะ”

“ที่นี่ไม่มีอะไรเลยซักอย่าง” หมิงเอ๋อร์พึมพำ

ไท่จื่อเฟยหัวเราะชอบใจ ก่อนจะยื่นไข่มุกอันเงาวับที่อยู่ในกำมือให้เขา “หม่อมฉันให้เพคะ”

หมิงเอ๋อร์ลังเลอยู่พัก ก่อนจะยื่นมือรับ

ขณะที่เขากำลังยื่นมือออกไป จู่ๆ ไท่จื่อเฟยก็กำมือ พอแบมืออีกครั้ง ไข่มุกนั้นก็ได้กลายเป็นดอกไม้สีแดง

หมิงเอ๋อร์ทำตาลุกวาว

จากนั้น ไท่จื่อเฟยทำการโยนก้อนดอกไม้นั้นขึ้นไปบนฟ้า และทันใดนั้นเอง เจ้าดอกไม้ก็พลันแปลงร่างเป็นนกน้อยที่กางปีกออกแล้วโบยบินขึ้นไปบนฟ้า

หมิงเอ๋อร์ถึงกับตาโตอ้าปากค้าง และร้องอุทาน “ว้าว!”

“ไอ้หยา ผมของเจ้า” ไท่จื่อเฟยพูดจบก็ยื่นมือทำเป็นจัดแจงเส้นผมให้หมิงเอ๋อร์ ก่อนจะทำท่าหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากหลังใบหูของเขา สิ่งที่หยิบออกมาก็คือไข่มุกที่เขาเห็นในตอนแรก

หมิงเอ๋อร์ทำท่าตื่นเต้นและปรบมือรัว “สุดยอดไปเลย! นั่นคือเทพยกลอย่างนั้นรึ”

ไท่จื่อเฟยหัวเราะ “เขาเรียกว่ามายากลน่ะเพคะ”

ที่จริงการเล่นแบบนี้ต้องอาศัยการพรางตา ของทุกอย่างจะถูกซ่อนไว้ที่แขนเสื้อ มือต้องเร็ว ท่วงท่าต้องสง่างาม เพื่อที่ไม่ให้คนรู้ทัน

หมิงเอ๋อร์หลงใหลมายากลของไท่จื่อเฟยเข้าเต็มเปา

“ยังอยากดูอีกไหมเพคะ” ไท่จื่อเฟยเอ่ยถาม

“ดู!” หมิงเอ๋อร์พยักหน้ารัว

“เช่นนั้น หม่อมฉันขอเล่นชิงช้าขององค์ชายได้หรือไม่ ถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนเพคะ”

ความสุขที่จ่ายไปนั้นมีค่ามากกว่าความสุขที่ได้มาโดยเปล่าประโยชน์เสมอ

หมิงเอ๋อร์อยู่เล่นกับไท่จื่อเฟยอย่างสนุกสนาน

หลังจากการสนทนาที่น่าอึดอัดใจของอวี้ชินหวังและไท่จื่อได้จบลง พอพวกเขาออกมาเห็นภาพตรงหน้านี้ เสี้ยววินาทีของความประหลาดใจก็พลันฉายขึ้นในดวงตาของพวกเขา

ที่อวี้ชินอ๋องตกใจเพราะรู้ว่าหมิงเอ๋อร์ไม่ใช่เด็กที่เข้าถึงง่ายๆ ด้วยความที่เป็นเด็กที่รอบรู้ จึงไม่มีอะไรที่จะเบี่ยงเบนความสนใจของเขาไปได้ง่ายๆ

ส่วนไท่จื่อนั้นตะลึงกับมุมขี้เล่นของเวินหลินหลังที่เขาไม่เคยพบเห็นมาก่อน เพราะต่อหน้าเขา นางคือสตรีผู้แคล่วคล่องปราดเปรื่อง หาได้เผยความไร้เดียงสาออกมาไม่

ไท่จื่อเฟยเพิ่งจะมารับรู้เอาตอนนี้ ว่าเวลานางอยู่กับเด็ก ตัวนางเองก็กลายเป็นเด็กเช่นกัน

เวินหลินหลังที่เคยเล่นสนุกกับอาเหิง เหมือนกับครั้งในวันวาน

ฟ้าเริ่มมืดแล้ว ไท่จื่อและไท่จื่อเฟยจึงขอตัวกลับ

“ท่านพี่เวิน พรุ่งนี้ท่านจะมาเล่นกับข้าอีกหรือไม่” หมิงเอ๋อร์เอ่ยถามไท่จื่อเฟย

ไท่จื่อเฟยหันไปทางอวี้ชินอ๋อง ก่อนจะหันไปหาหมิงเอ๋อร์ “น่าเสียดายที่พรุ่งนี้หม่อมฉันออกนอกวังหลวงมิได้ เช่นนั้น หากองค์ชายน้อยยินดี หม่อมฉันขอเชิญมาที่ตำหนักบูรพาเพคะ”

หมิงเอ๋อร์รู้ดีว่าการเข้าออกวังมิใช่เรื่องที่ทำกันง่ายๆ จึงหันไปขอความช่วยเหลือจากผู้เป็นพระบิดาด้วยสายตาที่แฝงนัยน์ว่าหากไม่ยอมล่ะก็เป็นเรื่องแน่อย่างไรอย่างนั้น

อวี้ชินอ๋องกระแอมในลำคอ ก่อนจะเอ่ย “ถ้าลูกจะออก ก็ต้องขออนุญาตเสด็จแม่ก่อน ถ้าเสด็จแม่อนุญาต ข้าก็จะให้เจ้าไป”