บทที่ 293 : ตั๊กแตนตำข้าวจับจั๊กจั่น
บทที่ 293 : ตั๊กแตนตำข้าวจับจั๊กจั่น
“สถาบันโบราณคดีเสินตู”
หลินเจี๋ยกะเทาะ ‘เปลือก’ แข็ง ๆ แต่บางที่กำลังปกคลุมปกสมุดบันทึกออกด้วยอีเธอร์อย่างระมัดระวัง
เขาเองก็ไม่ได้คุ้นชินกับการใช้อีเธอร์แบบนี้เหมือนกัน เพราะถึงอย่างไรเขาก็เป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่งและไม่มีที่ให้ใช้มันเท่าไหร่ เขาทำได้แค่เก็บสะสมมันไว้ระหว่างเดินทางท่องนิมิตเมื่อหลับไปตอนกลางคืนเหมือนหนูแฮมสเตอร์ที่เก็บลูกสนไว้ในกระพุ้งแก้ม ทำให้เขารู้สึกปลอดภัยอย่างบอกไม่ถูก
เปลือกแข็งค่อย ๆ ลอกออกภายใต้ ‘การแกะสลัก’ ด้วยอีเธอร์ที่มองไม่เห็น และกลายเป็นเศษซากตกลงบนเคาน์เตอร์
ข้อความเหล่านี้ปรากฏขึ้นอย่างขาด ๆ หาย ๆ ที่มุมล่างซ้ายที่เคยถูกปกคลุมด้วยคราบ
“ฟู่”
หลินเจี๋ยเก็บกวาดเศษคราบที่ร่วงบนเคาน์เตอร์แล้วมองสมุดบันทึกที่ ‘เปลี่ยนไปเสียจนจำไม่ได้’
คนที่เคยดูแลสมุดโน้ตเล่มนี้ ไม่ว่าจะเป็นคนลักลอบขนสินค้าหรือธีโอดอร์ที่ซื้อมันมา ไม่มีใครเคยคิดจะลองกระเทาะเปลือกนอกที่สกปรกของมันออกเลย
ปัจจัยหนึ่งก็อาจจะเป็นเพราะไม่มีเวลาพอ และอีกปัจจัยก็อาจเป็นเพราะอีกฝ่ายคิดว่าไม่มีความจำเป็นเลยก็ได้ แน่นอนว่าอาจจะเป็นเพราะเทคโนโลยียังไม่ก้าวหน้าพอ พวกเขาเลยไม่กล้าลองทำสุ่มสี่สุ่มห้า
แต่เดิมแล้ว การบูรณะและการจัดเรียงโบราณวัตถุแบบนี้ควรใช้เครื่องมือพิเศษ แต่หลินเจี๋ยไม่ได้อยู่ที่บ้านของตัวเองแล้ว และเครื่องมือที่ว่าก็อยู่ในมหาวิทยาลัย เครื่องมือเดียวที่เขาใช้ได้ในตอนนี้ก็มีแต่ไขควง…ซึ่งไม่เหมาะจะใช้กับหนังสือที่เปราะบางเล่มนี้เลย
ดังนั้น หลินเจี๋ยจึงใช้งานอีเธอร์ที่ตัวเองลืมไปแล้วมาแทนที่เครื่องมือเฉพาะเพื่อทำความสะอาดสมุดบันทึกเล่มนี้
จากผลที่ได้ ประสิทธิภาพการทำงานของมันถือว่าชั้นหนึ่งไปเลย
“สถาบันโบราณคดีเสินตู…นี่เป็นของที่ระลึกที่สถาบันนี้แจกจ่ายให้กับผู้ที่เข้าร่วมในการสัมมนาวิชาการทางโบราณคดีในช่วงนั้น”
ในที่สุดหลินเจี๋ยก็รู้แล้วว่าทำไมตนจึงคิดว่ามันดูคุ้นตา
เพราะตัวชายหนุ่มเองก็มีสมุดโน้ตที่หน้าตาเหมือนกันเปี๊ยบอยู่เล่มหนึ่ง รวมถึงปากกาหมึกซึมที่เข้าชุดกันด้วย
ถึงแม้ว่าเขาจะเรียนเอกคติชน แต่เพราะว่า ‘พื้นฐานการศึกษาที่แข็งแรงจากคนในครอบครัว’ ของเขา แทบทุกคนที่เข้าออกบ้านเขาตั้งแต่ยังเด็กจึงเป็นเจ้าหน้าที่ที่ศึกษาประวัติศาสตร์ทั้งนั้น ภายใต้อิทธิพลของสิ่งที่เห็นและได้ยิน ความรู้ของหลินเจี๋ยในด้านโบราณคดีจึงไม่ได้ต่ำเตี้ยเลย
และเพราะเหตุผลในข้างต้น เมื่อใดก็ตามที่เกิดปัญหาการขาดแคลนบุคลากรในสาขาวิชาโบราณคดีที่อยู่ติดกัน หลินเจี๋ยจึงถูกดึงไปช่วยพวกเขาเสมอ
ในทำนองเดียวกัน นักเรียนที่นับถือศาสตราจารย์หลินก็ฝากความหวังไว้กับหลินเจี๋ย หวังเสมอว่าเขาจะได้สานต่อ ‘ชุดคลุม’ ของหลินหมิงไห่ พวกเขาจึงชอบชักชวนเขาไปเข้าร่วมการสัมมนาทางวิชาการต่าง ๆ หรือแค่อาจแค่พาเขาไปที่แหล่งโบราณคดีก็ได้
แต่หลินเจี๋ยขาดความสนใจในด้านนี้ เขาไม่ชอบศึกษาสิ่งที่ตายจากไปแล้ว แต่กลับชอบประเพณีพื้นบ้านที่ยังมองเห็นได้และมีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับผู้คนที่มีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน
ยิ่งไปกว่านั้น ดวงตาแห่งคาดหวังที่พวกเขามองมายังหลินเจี๋ย ก็ไม่ใช่การมองมาที่ตัวเขาจริง ๆ ด้วย
แล้วทำไมตัวเขาต้องพยายามสนองความคาดหวังของพวกเขาด้วยล่ะ?
ต้องบอกว่าหลินเจี๋ยไม่ใช่คนโง่ แน่นอน ชายหนุ่มจะไม่แสดงความคิดในใจของเขาแบบนี้ออกมาหรอก เขายังไปเข้าร่วมการประชุมเหล่านั้นอยู่ แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้เกิดผลอะไรขึ้นมา
และการสัมมนาที่จัดโดยสถาบันโบราณคดีเสินตูก็เป็นหนึ่งในงานที่ไม่สำคัญเหล่านั้น
หลังจากนั้น สมุดบันทึกก็ถูกหลินเจี๋ยเก็บรวมไว้กับของชำร่วยต่าง ๆ และไม่ได้ยุ่งกับมันอีกเลย
“ไม่ได้คาดฝันเลยว่าสุดท้าย…ที่ต่างโลก เราจะได้เห็นสมุดแบบนี้อีกครั้ง”
ดวงตาของหลินเจี๋ยกวาดมองคำจารึกที่คลุมเครือบนหน้าปก เขาวางนิ้วค้ำบนหน้าผากอย่างครุ่นคิด
“ผู้อำนวยการของสถาบันนั้นก็ดูเหมือนจะแซ่ต้วน…ดูเหมือนว่าในตอนนั้นจะมีคนแนะนำว่าเขาเป็นลูกศิษย์ของหลินหมิงไห่ที่ทำงานที่เสินตูมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ฉันไม่เคยเห็นผู้อำนวยการต้วนมางานศพเขาเลย ดังนั้นเลยเผลอคิดไปว่าสองคนนี้แค่…”
“ถ้าตอนนั้นเราเข้าใจลึกซึ้งอย่างในตอนนี้ บางทีเราอาจจะสืบรู้ได้ว่าผู้อำนวยการต้วนจะใช่ต้วนเสวหมิ่นคนนั้นหรือเปล่าก็ได้”
หลินเจี๋ยส่ายหน้า “แต่เนื่องจากมันเป็นสมุดจดที่ออกแบบมาเหมือนกันหมดตลอดทุกปี เรื่องนี้เลยต้องเกี่ยวข้องกับสถาบันโบราณคดีเสินตูแน่ ๆ และสถาบันวิจัยที่กล่าวถึงในนี้ก็เป็นไปได้มากว่าจะเป็นที่นี่แหละ ปัญหาก็คือ ถ้าเกิดเจ้าของบันทึกนี้ได้รับมันมาเป็นของที่ระลึกจากการสัมมนาเหมือนฉันล่ะ”
“เฮ้อ”
เขาถอนหายใจ การอนุมานความจริงจากสมุดบันทึกที่ทั้งพังและเก่านี้ก็คงยากเกินไปหน่อย
ยังมีความไม่แน่นอนอีกมาก…
และประเด็นที่สำคัญมากอีกประเด็น นั่นคือจากที่ธีโอดอร์พูดมา และจากการตัดสินใจของหลินเจี๋ย สมุดบันทึกนี้มีอายุอย่างน้อยร้อยปี
แต่หลินหมิงไห่เพิ่งประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ไปเมื่อยี่สิบสี่ปีก่อน
ถ้าครั้งนั้นเขาทำงานโบราณคดีอยู่จริง ๆ งั้นความเร็วเวลาของทั้งสองฝั่งก็คงต่างกัน
หรืออาจเป็นไปได้ว่าเมื่อพวกเขาผ่าน ‘ประตู’ ไป มิติและเวลาก็เกิดการบิดเบี้ยว ทำให้พวกเขาไปยังนอร์ซินเขตล่างเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน แล้วทิ้งทุกสิ่งที่พวกเขาเห็นในตอนนี้ไว้เบื้องหลัง
“นอร์ซินเขตล่างดูเหมือนจะฝังความลับที่ใหญ่มาก ๆ เอาไว้…สิ่งต่าง ๆ จากยุคทั้งสองและซากปรักหักพังก่อนหน้านี้ก็น่าจะอยู่ที่นั่นทั้งหมด ถ้าเป็นอย่างนี้ ที่นั่นก็อาจจะยังมีพลังลึกลับตั้งแต่สมัยโบราณอยู่ก็ได้”
หลินเจี๋ยรู้สึกว่าเหตุผลที่เขาอยากจะไปเมืองเขตล่างเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งข้อแล้ว
ในตอนนั้น ทีมโบราณคดีทั้งทีมได้รับคำสั่งให้เขียนบันทึก พวกเขามีกันเกือบสามสิบชีวิต และคงยังมีสมุดบันทึกอีกหลายเล่มที่ถูกฝังอยู่
ถ้าหลินเจี๋ยหาสมุดบันทึกของคนอื่น ๆ เจอ ก็หมายความว่าเขาจะเข้าใกล้ความจริงไปอีกก้าว
“ยิ่งไปกว่านั้น ในเมื่อทั้งสองโลกมีกำแพงภาษา หมายความว่าในสายตาของ ‘ชนพื้นเมือง’ ของอาซีร์แล้ว สิ่งที่เขียนในสมุดเล่มนี้ก็เป็นเพียงอักขระที่เข้าใจยาก และไม่มีค่าอะไรเลย”
“แต่ธีโอดอร์บอกว่าสมุดบันทึกเล่มนี้สร้างปัญหาให้กับเขา ทำให้เขาถูกหมายหัว หรือก็คือ…เป็นไปได้มากว่าในอาซีร์อาจมีคนกลุ่มหนึ่งที่ตระหนักถึงมูลค่าของสมุดบันทึกนี้และอยากได้มัน”
สีหน้าของหลินเจี๋ยเคร่งขรึมขึ้น “ไม่น่าจะเป็นไปได้ ถ้าจะบอกมูลค่าจากสมุดบันทึกเล่มนี้เพียงเล่มเดียว คงเป็นเพราะพวกเขาอาจมีสมุดเล่มอื่นอยู่ในมืออยู่แล้ว หรือมีสิ่งของอื่น ๆ ที่อาจมาจากโลก”
—
จี้คริสตัลสีเหลืองล่องลอยไปในอากาศ ทอประกายระยิบระยับ
“นี่คือแร่ที่ได้รับการยืนยันแล้วว่าหมดมาจากอาซีร์…สวยงามมาก”
คลีฟแลนด์มองสีที่หักเหจากคริสตัลแล้วทอดถอนใจไปพร้อม ๆ กับจ้องไปที่ ‘ถ้ำ’ ขนาดใหญ่ที่เส้นผ่านศูนย์กลางกว้างพอจะให้คนสองคนเข้าไปได้พร้อมกันด้วยสีหน้าที่หมกมุ่น “ไม่เคยได้ยินว่ามีสัตว์มายาที่แข็งแกร่งขนาดนี้ตั้งแต่วัยเด็กมาก่อนเลย อย่างน้อยก็ระดับกึ่งเหนือนภาแล้ว”
เขาวางจี้และรู้สึกถึงความผันผวนของอีเธอร์รอบ ๆ จากนั้นก็แย้มยิ้มอย่างผู้ชนะ “ไม่น่าแปลกใจเลยที่ท่านซานดัลฟอนจะขอให้เราเปลี่ยนแผนชั่วคราวและยอมสละเบี้ยตัวจ้อยสองตัวเพื่อเป็นกับดักแลกกับสัตว์เลี้ยงชั้นเลิศแบบนี้ กำไรเหนาะ ๆ จริง ๆ”
—