บทที่ 268 ความคิดของกุ้ยซื่อ

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 268 ความคิดของกุ้ยซื่อ
เมื่อเห็นกุ้ยสวิ้นเหอออกมา กุ้ยซื่อก็เอ่ยปากด่าอีกครั้ง “ถ้าข้าตายอยู่ข้างนอกเจ้าก็คงจะไม่รู้สินะ!”
เดิมทีกุ้ยสวิ้นเหอไม่อยากจะต่อปากต่อคำกับนาง แต่เมื่อเห็นกุ้ยซื่อมีสภาพเช่นนั้น ด้วยความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา เขาจึงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงว่า “ภรรยา เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? ผู้ใดทำร้ายเจ้ากัน?”
ความห่วงใยในสายตาของกุ้ยสวิ้นเหอไม่สามารถหลอกใครได้ เมื่อกุ้ยซื่อเห็นว่าสามีห่วงใยนางเช่นนี้ นางก็ร้องไห้ออกมาอย่างหนัก “สามี ข้าถูกคนข้างนอกทำร้ายมา”

“ใครทำร้ายเจ้ากัน?”

“ข้าไม่รู้!” กุ้ยซื่อคร่ำครวญ จากนั้นก็เช็ดดวงตาที่ไม่มีน้ำตา และกล่าวอย่างโกรธเคือง “สามี เดาสิว่าข้าถูกคนทำร้ายที่ไหน?”
“ที่ไหน?”

“ที่หน้าบ้านของกู้เสี่ยวหวาน!”

เมื่อกุ้ยสวิ้นเหอได้ยินว่ากุ้ยซื่อไปที่บ้านของกู้เสี่ยวหวานอีกครั้ง จึงไม่แสดงความเมตตาต่อการกระทำอันน่าอับอายของกุ้ยซื่อในทันที “ทำไมเจ้าถึงไปตามรังควานคนอื่นอีกแล้ว!”

“สามี เจ้ากล่าวเช่นนั้นไม่ได้!” เมื่อกุ้ยซื่อได้ยินกุ้ยสวิ้นเหอไม่ถามเหตุผล และยังตำหนิตนเองว่าไม่ควรไปยุ่งกับคนอื่น ในใจของนางก็เหมือนต้มหม้ออีกครั้ง และก่นด่าออกมา “สามี ข้าเป็นภรรยาของเจ้า แต่พวกเขาเป็นคนนอก ข้าถูกคนอื่นทำร้าย แต่เจ้าก็ยังโทษข้า นี่เจ้าอยู่ข้างใครกันแน่!”

กุ้ยสวิ้นเหอสูดลมหายใจ และกลืนคำพูดเดิมที่อยู่ในปากของเขา

“ข้าไม่ได้ไม่สนใจเจ้า แต่เด็กพวกนั้นก็น่าสงสารมากพอแล้ว เจ้าจะไปยุ่งกับเด็กพวกนั้นด้วยเหตุอันใดอีก ผู้คนล้วนต้องการมีชีวิตที่สงบสุขและมั่นคง ถ้าเจ้าทำเรื่องที่ดีไม่ได้ก็อยู่เฉย ๆ และอย่าได้รบกวนผู้อื่นก็พอ!”
กุ้ยสวิ้นเหอกล่าวจากก้นบึ้งของหัวใจ ครั้งที่แล้วที่กู้เสี่ยวอี้ตกลงมาจากภูเขา ทุกคนในหมู่บ้านล้วนรู้เรื่องนี้ กุ้ยสวิ้นรู้สึกเศร้าใจเล็กน้อยที่ครอบครัวนั้นต้องประสบกับเรื่องเลวร้ายมากมาย แต่มันเป็นเพียงแค่ความคิดที่ยังคงอยู่ในใจของเขา

ทั้งหมู่บ้านอู๋ซี ยกเว้นเหลียงเหยาซื่อและป้าจางที่มักจะดูแลเด็กพวกนั้น ก็ไม่มีใครในหมู่บ้านสนใจแล้ว

กุ้ยสวิ้นเหอรู้ดีว่าเด็กเหล่านี้มีชีวิตที่ยากลำบาก และเขาจำเป็นต้องหลับหูหลับตาข้างหนึ่ง หากเขาไม่ช่วยเด็กเหล่านั้น ก็ไม่ควรไปยุ่งวุ่นวายเสียจะดีกว่า เขาพูดเรื่องนี้ต่อภรรยาของเขาตั้งไม่รู้กี่ครั้งแล้ว แต่ดูเหมือนว่านางจะไม่ฟัง
เขาไม่รู้ว่าการที่กุ้ยซื่อไปบ้านของครอบครัวกู้ในครั้งนี้ นางกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่
“สามี เจ้าไม่รู้อะไร เจ้าลองเดาดูสิว่าข้าเห็นอะไรที่หน้าประตูบ้านของกู้เสี่ยวหวาน?” กุ้ยซื่อไม่สามารถซ่อนสิ่งต่าง ๆ ในใจได้ และบอกทันทีว่าเมื่อเช้านี้นางเห็นอะไรอยู่ที่หน้าบ้านของกู้เสี่ยวหวาน

“อะไรล่ะ?” เมื่อเห็นว่าภรรยาของเขายังไม่ยอมจบเรื่องนี้ กุ้ยสวิ้นเหอก็ไม่สนใจและเดินตรงเข้าไปในบ้าน

จากนั้นกุ้ยซื่อก็เดินตามเข้าไปและบ่นไม่หยุด “ข้าเห็นรถม้าจอดอยู่หน้าบ้านของกู้เสี่ยวหวาน ต่อมาก็มีชายสองคนออกมาจากบ้านของนาง คนหนึ่งเป็นชายวัยกลางคนในชุดฮั่นฝู และอีกคนหนึ่งเป็นเด็กอายุประมาณสิบกว่าปี แต่งตัวดี และอยู่ข้าง ๆ ชายวัยกลางคนผู้นั้นตลอด พวกนั้นเดินออกมาจากบ้านและพูดคุยพลางหัวเราะ แล้วขึ้นรถม้าและจากไป”

“แล้วอย่างไร?” กุ้ยสวิ้นเหอไม่คิดว่าจะมีปัญหาอะไร
“สามี เจ้าไม่สงสัยหรือว่าครอบครัวของกู้เสี่ยวหวานโชคดีเพียงใด นายท่านผู้มั่งคั่งเช่นนี้เข้ามาในบ้านของนางได้อย่างไร?” กุ้ยซื่อเริ่มใช้จิตวิญญาณแห่งการนินทา “ข้าเดาว่าชายสองคนนั้นน่าจะเป็นพ่อและลูกชาย และทั้งสองคนนั้นต้องมาหากู้เสี่ยวหวานอย่างแน่นอน”

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?” กุ้ยสวิ้นเหอเหลือบมองกุ้ยซื่อ เมื่อเขาเห็นว่ายิ่งกุ้ยซื่อพูดมากเท่าไรก็ยิ่งน่าโมโหมากขึ้นเท่านั้น

กุ้ยซื่อยังคงพูดไปเรื่อย “เด็กชายผู้นั้นดูแก่กว่ากู้เสี่ยวหวานสองถึงสามปี และเขาก็ยิ้มให้กู้เสี่ยวหวาน” กุ้ยซื่อวิเคราะห์ “เป็นไปได้หรือไม่ที่พ่อและลูกชายชอบกู้เสี่ยวหวาน และมาที่นั่นเพื่อขอให้นางแต่งงานกับลูกชายของเขา?”

กุ้ยสวิ้นเหอที่กำลังดื่มน้ำอยู่ ครั้นได้ยินคำพูดของกุ้ยซื่อก็สำลัก และเกือบจะพ่นน้ำออกมา

เขาตกใจมาก “อะไรนะ? มาขอกู้เสี่ยวหวานแต่งงานอย่างนั้นหรือ?”
“ข้าเดาว่าเป็นเช่นนั้น” กุ้ยซื่อตบมือพลางว่า “ไม่อย่างนั้น ทำไมพ่อลูกคู่นี้ถึงมาหากู้เสี่ยวหวานล่ะ? ที่พวกเขามีท่าทีเช่นนั้น เกรงว่าพวกเขาคงรู้จักและคุ้นเคยกันมานานแล้ว”

กุ้ยซื่อหัวเราะพลางประสานมือเข้าด้วยกัน และยิ้มอย่างร้ายกาจ “ไม่คิดว่ากู้เสี่ยวหวานที่เป็นเช่นนั้นจะได้พบกับคู่รักเร็วเช่นนี้”

กุ้ยสวิ้นเหอตกตะลึงหลังจากได้ยินคำพูดของกุ้ยซื่อ กุ้ยซื่อผู้นี้ไม่รู้ว่าตนเองกำลังพูดอะไรอย่างนั้นหรือ?

“ภรรยา แม้เจ้าจะเลือกกินอาหารได้ตามใจชอบ แต่เจ้าจะพูดเรื่องไร้สาระตามใจชอบไม่ได้!” กุ้ยสวิ้นเหอขัดคำพูดของกุ้ยซื่ออย่างรวดเร็ว และเตือนสตินางอย่างเคร่งขรึม “ถ้าเจ้าเผยแพร่เรื่องนี้ออกไป สาวน้อยกู้จะถูกขังอยู่ในกรงหมู*[1]!”

กุ้ยซื่อพ่นลมหายใจ กุ้ยสวิ้นเหอไม่ได้เตรียมตัว และถูกพ่นลมหายใจบนใบหน้าของเขา “หึ นางถูกขังอยู่ในกรงหมูแล้วเกี่ยวอะไรกับข้า! มันหน้าไม่อายเกินไปหรือที่วันนี้นางอยู่ในห้องกับชายแปลกหน้าสองคน และไม่รู้ว่าในนั้นเกิดเรื่องสกปรกอะไรขึ้นบ้าง!”
กุ้ยซื่อพูดเองเออเอง ที่จริงแล้วกู้เสี่ยวหวานได้เปิดประตูบ้านเอาไว้ กู้หนิงผิงและกู้เสี่ยวอี้ก็อยู่ในบ้านด้วย แต่เมื่อฟังคำอธิบายของกุ้ยซื่อเช่นนี้ก็ดูราวกับว่ากู้เสี่ยวหวานอยู่ตามลำพังในห้องกับชายสองคนนั้นเป็นเวลานาน
กุ้ยสวิ้นเหอรีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อปิดปากของกุ้ยซื่อและกล่าวอย่างรวดเร็วว่า “เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้! ภรรยา เจ้าจะจงเกลียดจงชังอะไรกู้เสี่ยวหวานนักหนา!”
กุ้ยซื่อสะบัดหน้าจนหลุดจากมือของกุ้ยสวิ้นเหอและผลักเขา กุ้ยสวิ้นเหอที่ไม่ได้ตั้งตัวก็ถูกกุ้ยซื่อผลักถอยหลังไปสองสามก้าว
กุ้ยซื่อเอามือซ้ายเท้าเอว ส่วนนิ้วชี้ขวาชี้ไปที่กุ้ยสวิ้นเหอและกล่าวอย่างโกรธเคือง “กุ้ยสวิ้นเหอ เหตุใดเจ้าถึงกังวลเกี่ยวกับเรื่องของคนอื่น กู้เสี่ยวหวานผู้นั้นไร้ยางอายเองแล้วจะมาโทษว่าข้าพูดเรื่องไร้สาระได้อย่างไร!”

“หึ!” กุ้ยสวิ้นเหอเห็นกุ้ยซื่ออยากจะทำให้กู้เสี่ยวหวานเสียชื่อเสียง จึงตะโกนว่า “เจ้ามีหลักฐานอะไรหรือไม่? บางทีสองคนนั้นอาจจะไปบ้านของกู้เสี่ยวหวานเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ก็ได้!”
“คุยเรื่องอะไรล่ะ?” กุ้ยซื่อราวกับได้ยินเรื่องน่าขัน และยิ้มเยาะเย้ย “ผู้ใหญ่จะมาคุยอะไรกับเด็กล่ะ?”

กุ้ยซื่อจะไม่ปล่อยให้โอกาสนี้ผ่านไปและกล่าวต่อ “เจ้าไม่รู้อะไร เด็กชายผู้นั้นและกู้เสี่ยวหวานหัวร่อต่อกระซิกกัน ถ้านี่ไม่ใช่การผิดประเพณี แล้วมันคืออะไร?” เมื่อกุ้ยซื่อนึกถึงเรื่องที่ตนเองเห็นมาก็ไม่สามารถหยุดความคิดเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้ นางแทบจะรอไม่ไหวที่จะไปนินทากับพรรคพวกของนางในหมู่บ้าน
*[1] การลงโทษในสมัยก่อน นักโทษถูกขังในกรงหมู มัดด้วยเชือกที่ช่องเปิด แขวนคอ จุ่มลงในแม่น้ำ ผู้กระทำความผิดเบาให้ศีรษะถูกน้ำและแช่อยู่ชั่วขณะหนึ่ง ผู้กระทำผิดร้ายแรงสามารถทำได้ คือการจมน้ำตายและจมน้ำตายมักจะลงโทษผู้ที่โกง (การล่วงประเวณี)