ตอนที่ 303 หลินเพ่ยหวังจับผู้ชาย

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 303 หลินเพ่ยหวังจับผู้ชาย

เวลาเก้าโมงเช้า แสงอาทิตย์หน้าร้อนส่องสว่างไปทั่วทุกพื้นที่ ในที่สุดหลินเพ่ยก็ถูกปล่อยตัวออกมาจากศูนย์กักกัน

หล่อนไม่ใช่คนสวยสะดุดตาแต่แรกแล้ว ก่อนหน้านี้ที่ดูมีเสน่ห์ไร้เดียงสา เป็นเพราะการแต่งตัวล้วน ๆ

พอถูกขังอยู่ในศูนย์กักกันมาสองสามวัน ธาตุแท้ของหล่อนก็เปิดเผยออกมาจนหมดเปลือก ทั้งผิวดำคล้ำ จมูกแบน ตาหรี่เล็ก ริมฝีปากหนาแห้งแตก น่าเกลียดจนแทบไม่เหลือเค้าเดิม

หลังออกมาจากศูนย์กักกันแล้ว หล่อนก็สิ้นเนื้อประดาตัวอย่างสมบูรณ์ เดินโซซัดโซเซไปตามถนนเหมือนสุนัขจรจัดคุ้ยหาเศษอาหาร

เมื่อก่อนหล่อนมักใช้วิธีลองเชิงหนุ่ม ๆ ทั้งหลาย เพื่อดูว่าตัวเองจะสามารถใช้มารยาล่อลวงใครได้บ้าง

สมัยที่ยังอยู่ในโรงเรียน ตราบใดที่หล่อนโผเข้าหาอ้อมแขนของเพื่อนร่วมชั้นชายหรืออาจารย์ผู้ชายคนไหนก็ตาม พวกเขาเหล่านั้นจะต้องสงสารเห็นใจ!

ตอนนี้หล่อนเลยอยากใช้กลอุบายแบบเดิมเพื่อจับผู้ชายคนอื่น ๆ บ้าง คงดีถ้าอีกฝ่ายหลงใหลคารมของหล่อนจนยอมเลี้ยงบะหมี่สักสองสามชาม

ใช่แล้ว หล่อนหิวโหยจนสามารถกินบะหมี่สามชามได้ในคราวเดียว

หลายวันที่หล่อนถูกขังอยู่ในศูนย์กักกัน ถึงแม้จะมีอาหารแจกฟรีทั้งสามมื้อ แต่สำหรับผู้หญิง ‘บอบบางและอ่อนแอ’ อย่างหล่อน กลับกินไม่อิ่มเลยสักมื้อ

เพราะทุก ๆ มื้อ หล่อนจะต้องแบ่งอาหารสองในสามให้กับหัวโจกในห้องขัง ไม่อย่างนั้นอีกฝ่ายจะตามรังควานจนทำให้หล่อนไม่สามารถอยู่ได้อย่างสงบสุข โดยที่พัศดีประจำศูนย์กักกันก็ช่วยอะไรไม่ได้

พออยู่ที่ศูนย์กักกันนานเข้า หล่อนถึงตระหนักว่าอาหารข้างในไม่ได้อร่อยเหมือนที่คิด

สองสามวันที่ผ่านมา หลินเพ่ยกลืนอาหารแทบไม่ลงเลยด้วยซ้ำ พอออกมาจากที่นั่นได้ หล่อนจึงอยากกินอาหารดี ๆ สักมื้อ

แต่ความเป็นจริงช่างโหดร้าย ชายหนุ่มที่หล่อนปรี่เข้าไปทักทาย พอเห็นว่าหล่อนมีรูปร่างหน้าตาอัปลักษณ์ ก็พยายามเดินเลี่ยงออกไปโดยเร็ว บางคนถึงกับวิ่งหนีหรือแม้กระทั่งผลักหล่อนให้ออกห่าง รังเกียจเหมือนหล่อนป่วยเป็นโรคระบาดก็มิปาน

ยิ่งถ้าเจอชายหนุ่มเจ้าอารมณ์ เขาไม่เพียงผลักหล่อนออกไปเท่านั้น แต่ยังตะโกนด่าอย่างหยาบคายอีกด้วย

หน้าตาหล่อนออกจะอัปลักษณ์ขนาดนี้ ควรเจียมตัวแล้วยืนอยู่ให้ห่างจากผู้คนถึงจะถูก นี่กลับปรี่เข้ามาพูดคุยกับพวกเขา อยากให้เขาขยะแขยงหล่อนจนตายหรืออย่างไร

หลินเพ่ยถูกต่อต้านอย่างออกหน้าออกตา

ก่อนหน้านี้ เด็กหนุ่มในโรงเรียนหรือแม้แต่เด็กหนุ่มในหมู่บ้านแถบชนบท มีใครบ้างที่ไม่ชอบหล่อน? ใครบ้างไม่อยากเอาอกเอาใจ!

แต่แล้วหล่อนก็ปรับความคิดของตัวเองได้อย่างรวดเร็ว

ชายหนุ่มในเมืองจะโง่เขลาไร้สติปัญญาเหมือนชายหนุ่มบ้านนอกได้อย่างไร

คนพวกนั้นไม่เคยเห็นโลกภายนอก ไม่แปลกที่จะมองหล่อนว่าเป็นนางฟ้า

ตรงข้ามกันกับชายหนุ่มชาวเมือง คนสวยแบบไหนบ้างที่พวกเขาไม่เคยเห็น? จู่ ๆ หล่อนก็รู้สึกหดหู่ใจ มิน่าเล่าพวกเขาถึงรังเกียจหล่อน

แต่ถ้าฉันรวย มีเสื้อผ้าสวย ๆ สวมใส่เมื่อไร ชายหนุ่มในเมืองนี้ต้องแห่แหนกันมาจีบฉันแน่ ๆ

ไม่ว่าจะพบเจอกับอะไร จิตใจของหล่อนก็ยังคงความไร้ยางอายไม่เปลี่ยนแปลง

ถึงจะคิดได้แบบนั้น แต่หล่อนก็ยังไม่ละความพยายามในการจับผู้ชาย

ขณะนั้นเองผู้ชายคนหนึ่งก็เดินผ่านมาพอดี เขาเป็นหนุ่มหล่อสวมแว่นตา บังเอิญเหลือเกินว่าตรงสเปคที่หล่อนชอบ

ผู้ชายท่าทางแบบนี้มักจะเป็นคนมีน้ำใจและอ่อนโยนเป็นพิเศษ

ถ้าหล่อนโผเข้าไปหาอ้อมแขนของผู้ชายคนนั้น นอกจากเขาจะไม่ผลักไสหล่อนออกไปแล้ว ยังจะถามไถ่สารทุกข์สุกดิบด้วยความเป็นห่วง

ถึงตอนนั้นหล่อนค่อยสร้างเรื่องให้ตัวเองดูน่าสงสาร จนสามารถเอาชนะใจของเขาได้ พอเป็นแบบนั้นแล้วเขาจะไม่พาหล่อนไปเลี้ยงบะหมี่ร้อน ๆ สักชามเชียวหรือ?

ไม่แน่ว่าเขาอาจพาหล่อนไปเลี้ยงบะหมี่เนื้อก็ได้ ในเมื่อรูปลักษณ์ภายนอกเขาดูรวยแบบนี้

หลินเพ่ยครุ่นคิดกับตัวเองอย่างหมายมาด จากนั้นก็ทำเป็นเดินซวนเซเข้าไปหาชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่สวมแว่นตรงหน้า หวังให้เขารีบประคองหล่อนไว้อย่างมีไมตรี

อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าผู้ชายใส่แว่นทุกคนจะมีนิสัยสุภาพเรียบร้อยเสมอไป ดังสำนวนที่ว่า ‘คนดีจอมปลอม’

มองจากภายนอกแล้ว ผู้ชายใส่แว่นคนนี้ดูเป็นคนจิตใจดี มีมนุษยธรรม อ่อนโยน และสุภาพ แต่ความจริงแล้วเขาเป็นคนอำมหิตมากกว่าที่หล่อนคิด

ทันทีที่เห็นผู้หญิงเนื้อตัวสกปรกแถมยังน่าเกลียดตั้งท่าว่าจะโผเข้ามากอดเขา เขากลับทำท่าชิงชังรังเกียจเหมือนมีใครเอาอุจจาระมาป้ายหน้า

ผู้ชายใส่แว่นถอยหลบหลีก จิกผมหลินเพ่ยด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะฟาดฝ่ามือตบหล่อนจนหน้าหันไปทางซ้ายทีขวาที

“คิดจะแตะเนื้อต้องตัวฉันเหรอ! นังบ้า! นึกว่าตัวเองเป็นเครื่องกระเบื้องร้าวง่ายหรือไง! อย่าคิดว่าฉันไม่กล้าทำอะไรผู้หญิงสารเลวแบบแกนะ!”

หลินเพ่ยในตอนนี้ทั้ง ‘เปราะบาง อ่อนแอ และไร้เรี่ยวแรง’ ในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาที ชายใส่แว่นท่าทางสุภาพคนนั้นก็ตบหล่อนจนล้มลงไปกองอยู่กับพื้น ทำให้หล่อนกลิ้งเกลือกไปมากับพื้นพลางกรีดร้องอย่างน่าสมเพช

เสียงร้องโหยหวนของหล่อนดึงดูดความสนใจจากคนมากมายที่สัญจรผ่านไปมา แต่ไม่มีใครก้าวออกมาเพื่อห้ามชายใส่แว่นไม่ให้ทำเรื่องโหดร้าย

ชายใส่แว่นหน้าตามีสีหน้าเหี้ยมเกรียมขนาดนั้น ไม่มีใครอยากพาตัวเองเข้าไปยุ่งให้โง่หรอก

ในที่สุด ชายใส่แว่นก็หยุดการกระทำของตัวเอง พอสาปแช่งจนพอใจแล้วก็เดินจากไป

หลินเพ่ยยังคงนอนร้องไห้สะอึกสะอื้นเสียงดัง ไม่ใช่เพราะความเจ็บปวด แต่เป็นเพราะหล่อนอยากเรียกร้องความเห็นใจจากผู้คนที่เดินผ่านไปมา

ถ้ามีใครสักคนนึกสงสาร หล่อนคงได้กินอาหารมื้อเช้าจากอีกฝ่าย

หล่อนไม่ตั้งตารอว่าจะได้กินบะหมี่แห้งร้อน ๆ อีกต่อไปแล้ว ตอนนี้ขอแค่มีใครหยิบยื่นซาลาเปาสักลูกให้หล่อนก็ดีแค่ไหน

น่าเสียดาย ในบรรดาคนที่เดินผ่านไปมาไม่มีสักคนเลยที่เห็นอกเห็นใจหล่อน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนที่เต็มใจหยิบยื่นซาลาเปาให้

หลินเพ่ยคิดในใจด้วยความเคียดแค้น คนในเมืองช่างไม่มีน้ำใจเอาเสียเลย หล่อนอุตส่าห์ทำตัวให้น่าสงสารขนาดนี้ แต่กลับไม่เวทนาหล่อนเลยสักนิด

ความจริงแล้วไม่ใช่ว่าคนในเมืองแล้งน้ำใจ แต่เป็นหลินเพ่ยเสียเองที่ไม่เคยส่องกระจก เลยไม่รู้ว่าสีหน้าและแววตาของตัวเองนั้นเจ้าเล่ห์แค่ไหน

มองแค่ปราดเดียวก็รู้แล้วว่าหล่อนไม่ใช่คนดี แล้วแบบนี้ใครจะเห็นใจหล่อน?

ในอดีตสายลมอาจจะเคยพัดผ่านไปอย่างราบรื่น หลินเพ่ยจึงสามารถซ่อนเร้นด้านมืดของตัวเองไว้ได้เป็นอย่างดี สร้างภาพว่าตัวเองอ่อนแอและไร้เดียงสา

แต่เมื่อต้องเผชิญความลำบาก ความเกลียดชังที่หล่อนมีต่อผู้คนและทุกสิ่งรอบตัว ทำให้ยากจะปิดบังความชั่วร้ายจากภายใน

ความคิดชั่วร้ายที่อยากจะไล่ฆ่าทุกคนที่ปฏิบัติไม่ดีกับหล่อนผุดขึ้นมาในสมองตลอดเวลา แม้หล่อนจะพยายามทำให้ตัวเองดูน่าสงสาร แต่คนอื่นก็รู้ทันหล่อนได้อย่างรวดเร็วว่าหล่อนเป็นนังงูพิษ!

พอการเรียกร้องความเห็นใจไม่เป็นผล หลินเพ่ยจึงจำใจหยัดลุกขึ้นจากพื้น

การล้มครั้งนี้ทำให้หล่อนเรียนรู้อะไรมากมาย จนไม่กล้าที่จะจับผู้ชายอีกต่อไป

หล่อนกลืนน้ำลายลงคอที่แห้งผาก เดินไปตามถนนอย่างช้า ๆ พอเหลือบไปเห็นขนมมากมายที่วางขายอยู่หน้าแผงลอยก็หิวจนน้ำลายไหล

เที่ยงวันแล้ว แม้แต่ข้าวยังไม่ตกถึงท้องเลยสักเม็ด กระเพาะอาหารเริ่มส่งเสียงโครกครากด้วยความหิวโหย หล่อนเริ่มหน้ามืดตาลาย

จนกระทั่งหลินเพ่ยหิวจัดจนทนไม่ไหว หล่อนรวบรวมความกล้าเดินอาด ๆ เข้าไปในร้านอาหาร แล้วเริ่มหยิบเศษอาหารที่เหลือจากลูกค้าคนก่อนเข้าปาก

ทำอย่างนั้นได้ไม่นานก็ถูกเจ้าของร้านไล่ตะเพิด เพราะเขาคิดว่าหล่อนสกปรกเกินไป อาจแพร่โรคติดต่อเมื่อไหร่ก็ได้

ถ้าพวกเขายอมปล่อยให้หล่อนกินเศษอาหารที่เหลือจากลูกค้า แล้วทิ้งเชื้อโรคไว้บนจานอาหาร จนทำให้ลูกค้าคนต่อไปติดเชื้อเข้าจะเกิดอะไรขึ้น?

หลินเพ่ยที่ถูกไล่ตะเพิดออกมาคิดในใจด้วยความโกรธแค้น ถ้าหล่อนเป็นโรคติดต่อจริงอย่างที่พวกเขากลัว หล่อนจะแพร่เชื้อโรคให้เจ้าของร้านกับครอบครัวของเขาก่อนเป็นอย่างแรก พวกเขาจะได้ป่วยตายไปซะ!

ไม่! ไม่ว่าใครก็ติดเชื้อจากหล่อนไปให้หมด พวกเขาจะต้องไม่ตายดี!

หลินเพ่ยยิ่งเดินต่อก็ยิ่งขุ่นเคืองใจ และบังเอิญเห็นหลินม่ายยืนอยู่ตรงนั้น รอให้ชายหนุ่มหน้าตาดีรูปร่างสูงโปร่งคนหนึ่งเดินจูงสุนัขตัวใหญ่ตรงไปหาเธอด้วยความรักใคร่

วันนี้หลินม่ายใส่ชุดกี่เพ้าลายตารางสีน้ำเงินสลับขาวที่เถาจืออวิ๋นเป็นคนตัดให้ด้วยตัวเอง ยิ่งขับเน้นทรวดทรงที่เป็นสาวเต็มวัยของเธอได้สง่างามน่าประทับใจไม่น้อย

เส้นผมยาวสลวยของเธอถักเป็นเปียธรรมดา พาดหางเปียมาไว้ด้านหน้า

ถึงชุดจะดูเรียบง่ายไม่หวือหวา แต่ก็ดูสวยงามราวกับกล้วยไม้ที่เบ่งบานในหุบเขาอันแร้นแค้น

หลินเพ่ยไม่อยากให้หลินม่ายเห็นสารรูปที่น่าอับอายของตัวเอง ดังนั้นจึงรีบวิ่งเข้าไปหลบอยู่ในร้านขายเสื้อผ้าที่ตั้งแผงอยู่ริมถนน

เจ้าของร้านขายเสื้อผ้าเห็นดังนั้นก็ตกใจมาก

ผู้หญิงเนื้อตัวสกปรกและน่าเกลียดคนนี้วิ่งสุ่มสี่สุ่มห้าเข้ามาในร้าน ลูกค้าคนอื่นเห็นคงได้วิ่งหนีกระเจิงกันหมด

คิดได้แบบนั้นอีกฝ่ายก็คว้าไม้แขวนเสื้อมาไล่ตีหล่อนทันที

หลินเพ่ยวิ่งหนีล้มลุกคลุกคลาน จนมาหกล้มอยู่ตรงหน้าหลินม่าย

หลินม่ายก้มลงมองพื้นตรงหน้าอย่างไม่แยแส จากนั้นก็ก้าวข้ามศีรษะของอีกฝ่ายไปทันที

หลินเพ่ยทั้งอับอายทั้งเคียดแค้น แต่หล่อนก็ไม่กล้าทำอะไร ทำได้แค่ด่าทอหลินม่ายอยู่ในใจเท่านั้น

หลินม่ายเดินห่างออกไปไกลแล้ว กว่าจะรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าผู้หญิงเนื้อตัวสกปรกมอมแมมที่ตัวเองเพิ่งเดินผ่านมาเมื่อกี้ดูเหมือนจะเป็นหลินเพ่ย

เธอจึงหันมองผ่านไหล่ของตัวเองไป

ผู้หญิงคนนั้นวิ่งหนีออกไปอย่างรีบร้อน แต่หล่อนดูไม่เหมือนหลินเพ่ยเลยสักนิด บางทีเธออาจจะตาฝาดไป

หลินม่ายกับฟางจั๋วหรานเดินจูงสุนัขตัวใหญ่ไปที่โรงงานตัดเสื้อ เถาจืออวิ๋นเห็นเข้าก็ถามด้วยความประหลาดใจ “เธอไปเอาหมาตัวนี้มาจากไหน?”

หลินม่ายพยักพเยิดไปทางฟางจั๋วหรานที่ยืนอยู่ข้าง ๆ “จั๋วหรานได้ยินข่าวว่าจักรเย็บผ้าและจักรโพ้งจำนวนมากในโรงงานตัดเสื้อหงฉีถูกขโมยไป เขากลัวว่าโรงงานของฉันก็อาจถูกยกเค้าเหมือนกัน เลยหาซื้อสุนัขตำรวจที่ปลดประจำการแล้วสองตัว ให้มาอยู่เฝ้าที่นี่เป็นเพื่อนรปภ.ในช่วงกลางคืน”

เถาจืออวิ๋นลูบหัวสุนัขตัวใหญ่ตรงหน้าอย่างระมัดระวัง ก่อนจะพูดด้วยความยินดี “มีเจ้าตัวใหญ่สองตัวนี้คอยเฝ้าอยู่ ของในโรงงานเราไม่มีทางสูญหายแน่”

ฟางจั๋วหรานจูงสุนัขตัวใหญ่ทั้งสองไปส่งให้กับลูกน้องของเฉินเฟิงที่ทำหน้าที่รักษาความปลอดภัย กำชับให้พวกเขาเอาใจใส่และดูแลเพื่อนต่างสายพันธุ์ทั้งสองตัวให้ดี

เถาจืออวิ๋นแอบหยิกเอวหลินม่ายเบา ๆ ก่อนพูดด้วยเสียงกระซิบ “คุณหมอฟางเขาดีกับเธอมากเลยนะ ไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ เขามักจะนึกถึงเธอเสมอเลย”

หลินม่ายพยักหน้าหงึกหงัก “ฉันเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน”

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ออกไปเร่ร่อนขอทานน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดของหล่อนอะหลินเพ่ย สภาพพพ

ไหหม่า(海馬)