ตอนที่ 339 ประกวดนางแบบ

ตอนที่ 339 ประกวดนางแบบ

หลังจากมาถึงเมืองไห่เฉิง ถังจวิ้นเฟิงและพวกเขาก็พาไล่เสี่ยวอวิ๋นไปยังสถานีตำรวจ จากนั้นส่งมอบงานให้กับเพื่อนร่วมงานและแจ้งครอบครัวของหล่อน

หลังจากเลิกงานก็อยากกลับบ้านไปนอนต่อ

แต่ไล่เสี่ยวอวิ๋นยังคงจับเขาไว้และไม่ปล่อยให้เขาไป

“คุณครับ คุณจับผมไว้ตลอดทางแล้ว ผมอยากเลิกงานและกลับไปพักผ่อนแล้วครับ”

ไล่เสี่ยวอวิ๋นได้รับความสะเทือนใจมาตลอด แม้จะกลับถึงเมืองไห่เฉิงแล้ว หล่อนก็ยังไม่ไว้ใจใครทั้งนั้นและมักจะรู้สึกว่ามีคนไม่ดีอยู่รอบๆ

มีเพียงแค่ถังจวิ้นเฟิงที่ปรากฏตัวออกมาต่อหน้าหล่อนและช่วยหล่อนออกจากห้องใต้ดินเท่านั้นที่สามารถไว้วางใจได้

หล่อนมองเขาและร้องขอ “รอให้พ่อแม่ของฉันมาแล้วคุณค่อยเลิกงานได้ไหมคะ?”

เมื่อสบสายตาอันน่าสงสารของหญิงสาว ถังจวิ้นเฟิงก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ ทำได้เพียงส่งเสียงตอบรับ “ก็ได้ครับ”

เขานั่งลงบนเก้าอี้และหาวอย่างหนักหน่วง

ส่วนเฉินเจียเหอพาเอ้อร์เลิ่งไปยังร้านตัดผมของหลินเซี่ย

เมื่อหลินเซี่ยเห็นเอ้อร์เลิ่ง ใบหน้าพลันตกตะลึงสุดขีด “เอ้อร์เลิ่งมาได้ไงเนี่ย?”

เอ้อร์เลิ่งเห็นหลินเซี่ยแล้วก็แสดงท่าทางกระตือรือร้น “ภรรยาคนสวยของต้าเหอ สวัสดีครับ”

“เอ้อร์เลิ่ง สวัสดีค่ะ”

เฉินเจียเหอเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้หลินเซี่ยฟัง

หลินเซี่ยรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนเมื่อได้ยินเช่นนี้

“ช่วยคนออกมาได้ก็ดีแล้ว”

เฉินเจียเหอกล่าวความคิดเห็นของตนเองต่อหลินเซี่ย

“ผมตอบรับพ่อของเอ้อร์เลิ่งไว้แล้วว่าจะพาเขามาหาหมอ ผมอยากให้แพทย์แผนจีนเย่ลองรักษาให้กับเขา”

หลินเซี่ยเอ่ยเสนอ “ถ้าแพทย์แผนจีนเย่รักษาไม่ได้ คุณก็ไปรักษาที่โรงพยาบาลไห่เฉิงอันดับสามได้”

เธอจำได้ว่าโรงพยาบาลไห่เฉิงอันดับสามนั้นมีประสบการณ์รักษาอาการป่วยทางจิตมากมาย หลังจากนั้นโรงพยาบาลแห่งนี้ได้กลายเป็นโรงพยาบาลจิตเวชเฉพาะทาง

ในชาติก่อนตอนที่เฉินเจียเหอรับเอ้อร์เลิ่งมายังเมืองไห่เฉิง ก็เหมือนกับว่าเขาได้รับการรักษาในโรงพยาบาลไห่เฉิงแล้ว

“ตอนนี้ผมจะพาเอ้อร์เลิ่งไปหาแพทย์แผนจีนเย่”

แพทย์แผนจีนเย่เพิ่งทำกลับมาหลังจากทำการรักษาเสิ่นอวี้หลงเสร็จ เมื่อเห็นเฉินเจียเหอพาผู้ป่วยคนหนึ่งมาให้เขารักษา เขามองเฉินเจียเหอพลางเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา “ทำไมรอบตัวเธอถึงมีแต่คนป่วยล่ะเนี่ย?”

เฉินเจียเหอรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อยเมื่อถูกกล่าวเช่นนี้ เขาดึงเอ้อร์เลิ่งเข้ามาและกล่าวแนะนำ

“ผู้อาวุโสเย่ นี่คือเพื่อนวัยเด็กของผม เมื่อสิบปีก่อนเขาสอบไม่ผ่าน อีกทั้งยังโดนแฟนบอกเลิก ทำให้สุขภาพจิตของเขาเกิดปัญหา คุณว่าอาการแบบนี้สามารถรักษาได้หรือเปล่าครับ?”

ผู้อาวุโสเย่มองเอ้อร์เลิ่งผู้โง่เขลาและตรวจชีพจรให้กับเขา ครั้นมองและสังเกตสีหน้าท่าทางแล้วก็ได้ข้อสรุป “สถานการณ์นี้ ฉันคิดว่าจำเป็นต้องได้รับการบำบัดรักษาด้วยการผสมผสานระหว่างการแพทย์แผนจีนและตะวันตกนะ”

ผู้อาวุโสเย่มองเย่ไป๋พลางเอ่ยถาม “เสี่ยวไป๋รู้จักแพทย์ที่รักษาอาการป่วยทางจิตหรือเปล่า? แนะนำให้หน่อยได้ไหม”

เขาเป็นเพียงแพทย์แผนจีนโบราณ ไม่ใช่หมอเทวดาอย่างที่ใครๆ กล่าว

ไม่ใช่ว่าแพทย์แผนจีนจะสามารถรักษาอาการป่วยทุกอย่างให้หายเป็นปกติได้

ปัญหาสุขภาพจิตสามารถดีขึ้นได้ด้วยการแพทย์แผนจีนและการฝังเข็ม แต่จะรักษาให้หายขาดได้หรือไม่นั้นเขาก็ไม่กล้ารับประกัน

เย่ไป๋กล่าว “ผมจะติดต่อแพทย์ที่โรงพยาบาลเฉิงไห่อันดับสาม พรุ่งนี้พาเขาไปตรวจได้ หากใช้ยารักษาสุขภาพจิตประสาทร่วมกับการแพทย์แผนจีนและการฝังเข็ม ผลลัพธ์จะดียิ่งขึ้น”

เย่ไป๋เอ่ยถามเฉินเจียเหอว่าจะให้เอ้อร์เลิ่งพักอาศัยอยู่ที่ไหน เฉินเจียเหอกลับบอกว่าจะพาไปยังโรงพยาบาลไห่เฉิงอันดับสามก่อนว่าจะทำเรื่องเข้ารับรักษาภายในโรงพยาบาลได้หรือไม่

ตอนเขาพาเอ้อร์เลิ่งกลับมา เขาเองก็ไม่ทันคิดอย่างรอบคอบ ตอนนี้จะให้เอ้อร์เลิ่งอยู่ที่ไหนอย่างไรนั้นยังคงเป็นปัญหาใหญ่

สถานการณ์เช่นนี้ของเอ้อร์เลิ่งไม่สามารถปล่อยให้เขาอยู่คนเดียวได้

ให้เขาพักอาศัยอยู่ภายในโรงพยาบาลคงจะเหมาะสมกว่า เพราะมีแพทย์และพยาบาลคอยดูแล

เมื่อได้ยินว่าเฉินเจียเหอต้องการปล่อยให้เอ้อร์เลิ่งอาศัยอยู่ภายในโรงพยาบาลจิตเวช เย่ไป๋ก็ส่ายศีรษะทันใด

“เหล่าเฉิน มันไม่เหมาะหรอก”

บางทีเฉินเจียเหออาจจะไม่เคยเห็นสถานการณ์ภายใน แต่ด้วยสถานะแพทย์ของเขาแล้วเขาเคยเห็นมันมาก่อน

สถานการณ์ของเอ้อร์เลิ่งไม่ได้ร้ายแรง เวลาปกติเมื่อไม่ได้รับการกระตุ้นก็ดูเหมือนคนปกติทั่วไป หากกินยาตรงเวลาอีกทั้งยังมีคนข้างกายคอยแนะนำ ไม่นานนักเขาก็จะดีขึ้น

หากเขาเข้าไปอาศัยอยู่ภายในนั้นและถูกกักขังร่วมกับผู้ป่วยที่มีปัญหาสุขภาพจิต สถานการณ์อาจจะยิ่งรุนแรงมากขึ้น

ผู้อาวุโสเย่พูดคุยกับเอ้อร์เลิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ตั้งแต่เอ้อร์เลิ่งเข้ามา เขาก็ยิ้มแย้มและไร้เดียงสาอยู่เสมอ ท่าทางฉลาดเฉลียวราวกับเด็กคนหนึ่ง

ผู้อาวุโสเย่เอ่ยถามเฉินเจียเหอเกี่ยวกับสถานการณ์ช่วงหลายปีนี้ของเอ้อร์เลิ่งและรับรู้ว่าเขาสติฟั่นเฟือนแต่ไม่ได้ทำร้ายคนอื่น ดังนั้นผู้อาวุโสเย่ผู้มีมนุษยธรรมก็ให้เอ้อร์เลิ่งอาศัยอยู่ภายในบ้านของเขา

ที่เขาปล่อยให้เอ้อร์เลิ่งอาศัยอยู่ที่นี่ ไม่ใช่เพียงเพราะเห็นแก่หน้าของเฉินเจียเหอ เหตุผลสำคัญคือเอ้อร์เลิ่งมาจากเทศมณฑลจินซาน ผู้อาวุโสเย่มีความรู้สึกพิเศษสำหรับผู้คนที่นั่น ดังนั้นก็เลยให้เขาอาศัยอยู่ที่นี่

เฉินเจียเหอรู้สึกขอบคุณผู้อาวุโสเย่เป็นอย่างมากที่ช่วยเขาแก้ไขปัญหาที่พักอาศัยของเอ้อร์เลิ่ง เขาซื้อเตียงให้กับเอ้อร์เลิ่ง หลังจากจัดการเรียบร้อยแล้วเขาดึงเอ้อร์เลิ่งมาและเอ่ยกำชับอย่างจริงจัง “เอ้อร์เลิ่ง นายฟังฉัน ตอนนี้นายพักอาศัยอยู่กับผู้อาวุโสเย่ไปก่อน ห้ามสร้างปัญหาและห้ามรบกวนคนอื่น ตื่นเช้ามาก็ต้องช่วยทำงานบ้าง ช่วยรดน้ำต้นไม้ดอกไม้ เข้าใจไหม?”

เอ้อร์เลิ่งพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง “เข้าใจแล้ว”

เมื่อตอนเอ้อร์เลิ่งอยู่ภายในเขตชนบท เขาสามารถทำงานบ้านงานสวนอย่างง่ายๆ ได้

เอ้อร์เลิ่งมองเฉินเจียเหอและเอ่ยถามอย่างคาดหวัง “ต้าเหอ นายกำลังจะไปตามหาเสี่ยวเจินเหรอ?”

“ใช่ ฉันกำลังจะไปหา” เฉินเจียเหอกล่าว “ถ้านายไม่เชื่อฟัง ฉันก็จะไม่ไปตามหาแล้ว”

เอ้อร์เลิ่งรีบลุกขึ้นยืนตรงทันใด “ฉันจะเชื่อฟังอย่างแน่นอน”

เฉินเจียเหอตบไหล่ของเขา “ฉันเชื่อนาย พรุ่งนี้ฉันจะพาหู่จือมาหานาย”

เฉินเจียเหอเกลี้ยกล่อมเอ้อร์เลิ่งราวกับลูกชาย ผู้อาวุโสเย่มองเขาด้วยสายตาชื่นชม

ผู้ชายคนนี้ใบหน้าเย็นชาแต่หัวใจอบอุ่น

เขาเอ่ยถาม “เสี่ยวเจินคือใคร?”

หากต้องการรักษาเอ้อร์เลิ่ง อันดับแรกต้องเข้าใจชีวิตของเอ้อร์เลิ่งก่อน

เอ้อร์เลิ่งได้ยินคำถามของผู้อาวุโสเย่ จากนั้นก็ตอบอย่างกระตือรือร้น “เป็นแฟนของผมครับ”

ผู้อาวุโสเย่ชะงักงัน จากนั้นก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เขาทอดถอนหายใจ “เฮ้อ อยากถามโลกนี้เหลือเกินว่าความรักคือสิ่งใด”

……..

……..

เฉินเจียเหอจัดการเรื่องของเอ้อร์เลิ่งเสร็จสิ้นแล้วก็กลับบ้าน

เมื่อเขาถึงบ้าน หลินเซี่ยและเจียงอวี่เฟยกำลังนั่งอยู่บนโซฟาและดูโทรทัศน์

“คุณกลับมาแล้วเหรอ?”

หลินเซี่ยเห็นเขาแล้วก็ลุกขึ้นยืนต้อนรับพร้อมรอยยิ้ม

“กลับมาแล้ว” เฉินเจียเหอกล่าวทักทายเจียงอวี่เฟย “อวี่เฟยมาแล้วเหรอ?”

“ฉันมาหาเซี่ยเซี่ยน่ะ”

เฉินเจียเหอเอ่ยถาม “หู่จือล่ะ?”

“คุณปู่มารับไปแล้ว”

หลินเซี่ยดึงเฉินเจียเหอมาและชี้ไปทางโทรทัศน์ “ไม่อย่างนั้นมาดูโทรทัศน์กับพวกเราไหม?”

“ละครโทรทัศน์เหรอ?” เฉินเจียเหอถาม

“ประกวดนางงามน่ะ”

ขณะกล่าว ช่องโทรทัศน์เมืองไห่เฉิงก็เริ่มฉายตัวอย่างการประกวดนางงามแล้ว

เฉินเจียเหอนั่งลงและดูโทรทัศน์กับพวกหล่อน

รายการดำเนินต่อไปจนกระทั่งเป็นการโชว์ชุดว่ายน้ำ เรือนร่างของผู้หญิงภายในโทรทัศน์ก็เริ่มใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้นมากยิ่งขึ้น

เป็นเพราะว่าเฉินเจียเหออยู่ด้านข้าง เจียงอวี่เฟยจึงแสดงท่าทางอึดอัดเป็นอย่างมาก

เฉินเจียเหอกลับรู้สึกอึดอัดยิ่งกว่า

เมื่อเห็นผู้หญิงกลุ่มหนึ่งสวมชุดว่ายน้ำเดินออกมา เขาเบือนหน้าหนีด้วยสีหน้าอึดอัดและลุกขึ้น “เซี่ยเซี่ย พวกคุณดูไปเถอะ ผมรู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย ขอตัวไปพักผ่อนก่อน”

เฉินเจียเหอไม่กล้าจ้องมองหน้าจอโทรทัศน์และเบือนหน้าหนีพร้อมกับวิ่งเข้าห้องนอน

จ้องมองแผ่นหลังของเฉินเจียเหอที่ดูรีบร้อน เจียงอวี่เฟยพลันเอ่ยถามอย่างเป็นกังวล

“เซี่ยเซี่ย เฉินเจียเหอจะคิดว่าฉันเป็นผู้หญิงง่ายๆแบบนั้นหรือเปล่า?”

“ไม่หรอก”

หลินเซี่ยชำเลืองมองหล่อนและยิ้มพลางกล่าว “ทำไมเธอถึงแคร์ว่าเขาจะมีความคิดอย่างไรกับเธอล่ะ?”

“ถ้าเขาคิดว่าฉันเป็นผู้หญิงแบบนั้น หลังจากนี้เขาไม่ให้เธอมาเล่นกับฉันจะทำอย่างไร? ให้เฉินเจียวั่งตีตัวออกห่างจากฉันจะทำอย่างไร?”

หลินเซี่ยกลอกตา “ประโยคสุดท้ายของเธอคือประเด็นสำคัญใช่ไหม?”

หลินเซี่ยตบไหล่ของหล่อนและเอ่ยปลอบโยน “วางใจเถอะ เฉินเจียเหอไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยขนาดนั้น”

“รีบดูเร็วเข้า เธอออกมาแล้ว”

ขณะมองดูหญิงสาวหน้าตางดงามขายาวเรียวปรากฏตัวขึ้นภายในโทรทัศน์ หลินเซี่ยร้องอุทานอย่างอดไม่ได้ “สวยเกินไปแล้วหรือเปล่า รูปร่างนี้ ออร่านี้ ฉันเป็นผู้หญิงยังน้ำลายไหล”

เจียงอวี่เฟยดูโดดเด่นเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นด้านรูปลักษณ์ สไตล์หรือว่าการเดิน สามารถกล่าวได้ว่าโดดเด่นกว่าทุกคน

ยิ่งรอบชุดราตรีหล่อนยิ่งดูอ่อนช้อยมีราศีจับ

เครื่องแต่งกายสามชุด สามเวที สามสไตล์

ทุกครั้งที่ปรากฏตัวออกมาทำให้ผู้คนรู้สึกว่าภาพตรงหน้าเจิดจ้าสว่างไสว

เจียงอวี่เฟยเองก็พอใจกับการแสดงออกของตนเองมากเช่นกัน

ขณะเดียวกันก็รู้สึกขอบคุณหลินเซี่ยมากยิ่งขึ้น

“เซี่ยเซี่ย เธอเป็นคนเพิ่มคะแนนให้กับสไตล์ของฉัน ในบรรดาผู้เข้าแข่งขันทั้งหมด สไตล์ของฉันดูดีมากที่สุดและโดดเด่นมากที่สุดเลย”

“เป็นเพราะเธอมีพื้นฐานที่ดีด้วยล่ะ”

ทั้งสองคนกล่าวชมเชยกันและกันอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเจียงอวี่เฟยพลันโอบกอดหลินเซี่ยและขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือ

ก่อนเริ่มทอดถอนหายใจอีกครั้งหนึ่ง

“ถ้าพ่อเห็นสภาพเช่นนี้ของฉัน พ่อคงตีฉันขาหักอย่างแน่นอน”

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ขอให้พ่อไม่เห็นนะคะอวี่เฟย สมัยนั้นมันเป็นเรื่องรับได้ยากจริงๆ นั่นแหละ

ไหหม่า(海馬)