บทที่ 266 การรวมตัวเล็ก ๆ ของตระกูลเหยา

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

บทที่ 266 การรวมตัวเล็ก ๆ ของตระกูลเหยา
บทที่ 266 การรวมตัวเล็ก ๆ ของตระกูลเหยา

พ่อเฒ่าเหยาและแม่เฒ่าเหยาคาดเดาคำพูดที่เหยาซูอยากจะพูดต่อได้

เหยาซูส่งเสียงกระแอมสองครั้ง “ตอนนี้อาเหรากำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ในเมืองหลวง ต้าเป่าก็เรียนหนังสืออยู่ในเมืองหลวงเช่นกัน…ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าอยากพาลูก ๆ ตามไปอยู่ด้วยกันเจ้าค่ะ”

เหยาซูแตกต่างจากพี่สะใภ้ทั้งสองคน นางค่อนข้างละโมบโลภมาก ชอบชีวิตที่มั่นคงและคุ้นเคย ทั้งยังชอบอยู่ด้วยกันกับหลินเหรา

พี่สะใภ้รองเหยาเงียบไปชั่วขณะ เอ้อหลางจึงเงยหน้ามองผู้เป็นแม่ด้วยสายตาแปลกใจ จากนั้นก็มองเหยาซูโดยไม่ได้เอ่ยสิ่งใด

พ่อเฒ่าเหยาพูดกับเหยาซูว่า “ในเมื่อเจ้าวางแผนไว้แล้ว พ่อและแม่ก็ต้องสนับสนุนเจ้าสิ”

แม่เฒ่าเหยาตัดใจห่างจากลูกสาวไม่ได้ แต่ก็จนปัญญาจะพูดไม่ให้สองสามีภรรยาอย่างพวกเขาอยู่ด้วยกัน จึงได้แค่ถามว่า “แล้วเมืองหลวงเป็นอย่างไรบ้าง? พวกเจ้าจะไปอยู่ที่ใด? วางแผนเอาไว้แล้วใช่หรือไม่?”

เหยาซูพูดด้วยรอยยิ้ม “ยังไม่มีที่อยู่ที่แน่นอน แต่ข้าอยากบอกท่านพ่อและท่านแม่ล่วงหน้าเจ้าค่ะ ก่อนหน้านั้นข้าและอาเหราวางแผนจะย้ายไปเมืองหลวง เพราะเรื่องการเรียนของต้าเป่า…”

ครั้นแม่เฒ่าเหยาฟังนางพูดจบ ก็ได้แต่ทอดถอนใจ และพูดว่า “ในบรรดาเด็ก ๆ ข้าคิดว่าลูกสาวน่าจะเป็นคนที่มั่นคงที่สุด ใครจะไปคิดเล่าว่าเจ้าจะจากข้าไกลออกไปเรื่อย ๆ”

เหยาซูเห็นพี่สะใภ้รองเหยาไม่ปริปากพูดสิ่งใดมาตลอด จึงได้เอ่ยปาก “พี่สะใภ้รองวางแผนว่าอย่างไรบ้างหรือ?”

ในวันที่ตระกูลเหยาได้รับข่าว บอกว่าเหยาเฉาจะได้เลื่อนขั้นเป็นองครักษ์ของฝ่าบาท พี่สะใภ้รองเหยาไม่รู้จะทำอย่างไรเช่นกัน

ก่อนหน้านั้นเหยาเฉามักจะปฏิบัติการอยู่ในจวนตรวจการในเมืองเสมอ แต่ถึงกระนั้นกลับไม่เคยได้รับตำแหน่งขุนนางจากจวนตรวจการอย่างเป็นทางการเลยสักครั้ง เพียงเพื่อจะได้กลับบ้านบ่อยขึ้น ได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันมากขึ้น

แต่ตอนนี้องค์จักรพรรดิทรงออกพระราชโองการแต่งตั้งหลินเหราและเหยาเฉาเป็นราชองครักษ์ รางวัลเกียรติยศเช่นนี้ เป็นเรื่องดีที่ไม่ว่าใครก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อน…

นางจะขวางเส้นทางของเขาได้หรือ?

พี่สะใภ้รองเหยาขมวดคิ้วแน่น จากนั้นก็พูดอย่างสับสน “ข้ายังคิดไม่ออก…”

เดิมทีนางคุ้นชินกับชีวิตง่าย ๆ สบาย ๆ แต่เรื่องนี้ทำให้นางกลุ้มใจอยู่หลายวัน จึงยังตัดสินใจไม่ได้

แม่เฒ่าเหยาพูดว่า “อาเวยคิดอย่างไรก็ทำอย่างนั้น ไม่ว่าเจ้าจะตามไปเมืองหลวงหรืออยู่บ้าน พ่อกับแม่ก็ล้วนดีใจทั้งนั้น”

พี่สะใภ้ใหญ่เหยากุมมือของนางอย่างเงียบ ๆ ถือว่าเป็นการปลอบใจ

พี่สะใภ้รองเหยาส่ายหน้า และพูดว่า “ข้าค่อยคิดดูอีกครั้งแล้วกัน”

เหยาซูยิ้ม และพูดเสียงอ่อนโยนว่า “ที่ไม่รีบร้อนในช่วงสองสามวันนี้นั้นเพราะพี่ใหญ่และคนอื่นใกล้จะกลับมาแล้ว ถึงตอนนั้นเราค่อยว่ากัน”

ทุกคนพยักหน้า

หลังจากวันวสันตวิษุวัต [1] ผ่านไป ท้องฟ้าก็ค่อย ๆ อบอุ่นขึ้น

หลังมื้ออาหาร คนในตระกูลเหยาพร้อมใจกันนั่งอยู่ในลานบ้าน พูดคุยกันอย่างสนุกสนานอยู่เนิ่นนาน

รอจนแสงจันทร์ค่อย ๆ ลอยขึ้นเหนือยอดกิ่งหลิว เหยาเอ้อหลางจึงเริ่มหาววอด

แม่เฒ่าเหยาจึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เอาละ ดูท่าเอ้อหลางคงง่วงแล้ว ตาลืมไม่ขึ้นอยู่แล้ว เราไปพักผ่อนกันก่อนเถอะ”

เหยาซูอุ้มซานเป่าที่กำลังหลับปุ๋ย ก่อนจะคลี่ยิ้ม “วันนี้เอ้อหลางตามท่านปู่ออกไปตั้งนาน รีบเข้านอนเถอะ”

พี่สะใภ้ใหญ่เหยาลุกขึ้นยืนจากนั้นก็เก็บกวาดถ้วยน้ำชา และจานขนมที่ถูกวางอยู่นอกบ้าน ก่อนจะเอ่ยถามว่า “วันนี้แม่โจวเจอกับปัญหาครั้งใหญ่ เกรงว่าห้องนอนของอาซูคงจะนอนไม่ได้ ดึกดื่นค่อนคืนแล้วอาซูจะไปพักที่ใด?”

แม่เฒ่าเหยาพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ง่ายจะตายไป อาซูและซานเป่าก็นอนกับข้าสิ”

ขณะพูด นางก็รับตัวหลานชายจากในอ้อมแขนของเหยาซู จึงอดไม่ได้ที่จะแตะแก้มอวบอ้วนของเด็กน้อยที่หลับไปแล้วอย่างเบามือ

เหยาซูควงแขนของสะใภ้รอง และพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าไม่นอนกับท่านแม่ กลับบ้านคราวที่แล้วข้านอนกับพี่สะใภ้ใหญ่ คราวนี้ข้าจะนอนกับพี่สะใภ้รอง!”

เมื่อพี่สะใภ้รองถูกน้องสามีควงแขน ยากนักที่จะได้เห็นท่าทางออดอ้อนของนาง ใบหน้าอันผุดผ่องจึงดูสดใสยิ่งขึ้นภายใต้แสงจันทร์ที่ส่องแสงสุกสกาว รู้สึกชื่นชอบมากกว่าเดิมอย่างอดไม่ได้

แม่เฒ่าเหยายิ้มและหยอกเย้าว่า “เยี่ยม ๆ เจ้าชอบพูดคุยกับพี่สะใภ้ แม่นั้นแก่แล้ว เอาแต่พูดจ้อเจ้าคงไม่อยากฟัง! เช่นนั้นข้าจะอุ้มหลานชายสุดที่รักของข้าเข้านอนเอง!”

ทุกคนพากันหัวเราะลั่นในทันที

แม้แต่พ่อเฒ่าเหยาที่มักจะแสดงสีหน้าขึงขัง มือที่กำลังหยิบกล้องยาสูบก็พลันหยุดชะงัก ใบหน้าเผยรอยยิ้มที่สบายใจออกมา

ช่วงค่ำเหยาซูอาบน้ำแบบผ่าน ๆ จากนั้นก็เข้านอนกับพี่สะใภ้รอง น้องสามีและพี่สะใภ้สองคนพูดคุยกันอย่างเงียบ ๆ ไม่มีทีท่าว่าจะนอนแต่อย่างใด

เหยาซูเอ่ยปากก่อน ด้วยการถามนางเสียงเบา ๆ ว่า “พี่สะใภ้รอง พี่และพี่รองดีต่อกันเพียงนั้น เหตุใดถึงไม่ไปอยู่ด้วยกันในเมืองหลวงเล่า?”

พี่สะใภ้รองทอดถอนใจเบา ๆ พลิกตะแคงข้าง มองเข้าไปในดวงตาที่สดใสและอบอุ่นคู่นั้นของเหยาซู ก่อนจะโพล่งความในใจออกมา “อาซู ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยาก… ความจริงแล้ว ข้าเองก็อยากไป”

เหยาซูพูดให้กำลังใจ “ถ้าเป็นเพราะคำพูดของท่านพ่อและท่านแม่ พี่สะใภ้รองไม่ต้องกังวล ท่านพ่อและท่านแม่ก็บอกแล้ว ไม่ว่าพี่จะอยู่ที่ไหน พวกเขาล้วนสนับสนุนทั้งสิ้น”

พี่สะใภ้รองเหยายิ้ม จากนั้นก็ลูบศีรษะของเหยาซู “เจ้าเด็กโง่ ไฉนเจ้าถึงได้คิดง่ายเพียงนั้น”

เหยาซูไม่เข้าใจ “มันมีอะไรต้องซับซ้อนด้วยหรือ?”

พี่สะใภ้รองเหยาดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวให้น้องสามี จากนั้นก็พูดเสียงเบาว่า “ท่านพ่อและท่านแม่สนับสนุนการตัดสินใจของข้า มันคือความเข้าใจและเห็นใจของอาวุโสทั้งสองท่าน ไม่อยากเห็นข้าและอาเฉาต้องแยกกันอยู่ แต่พ่อแม่ของสามียังอยู่ ข้าไม่สามารถพาเด็ก ๆ ไปเมืองหลวงได้ บ้านทั้งสองหลังต้องมีลูกกตัญญูคอยดูแล”

เหยาซูเงียบไป

กระทั่งได้ยินพี่สะใภ้รองเหยาพูดว่า “อาซู เจ้าและข้าไม่เหมือนกัน พวกเจ้าหลุดพ้นจากบ้านตระกูลหลินแล้ว สถานการณ์อึดอัดก่อนหน้านั้น ยังมีความลับที่คนภายนอกไม่รู้ พวกเจ้าไม่ต้องสนใจอาวุโสฝั่งนั้นหรอก แต่ข้าและอาเฉานั้นต่างกัน”

เหยาซูตอบ ‘อื้อ’ เสียงเบา ก่อนจะกัดริมฝีปากแน่น

พี่สะใภ้รองเหยาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “หลายปีมานี้ท่านพ่อและท่านแม่คอยดูแลเราและเอ้อหลางอย่างดีมาตลอด ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ล้วนวางแผนเพื่อเราทั้งนั้น เราจะห่างจากท่านพ่อและท่านแม่ได้อย่างไร?”

เหยาซูปรายตามองพี่สะใภ้รองเหยาพลางพยักหน้า หญิงสาวเงียบไปชั่วขณะก่อนจะพูดเสียงต่ำว่า “พี่สะใภ้รอง ท่านช่างแสนดียิ่งนัก”

พ่อแม่อยู่ ไม่ควรเดินทางไกล ในสายตาของพวกเขา ความอิสระของลูกสำคัญเทียบความกตัญญูไม่ได้

ชาติที่แล้วเหยาซูไม่มีพ่อแม่ จึงคุ้นชินกับความอิสระ จึงเริ่มคิดอย่างอดไม่ได้ว่าตัวเองอยู่แสดงความกตัญญูอยู่ข้างกายพ่อกับแม่มากพอแล้วหรือไม่

พี่สะใภ้รองเหยาเห็นนางเหมือนกำลังกลุ้มใจ จึงอดพูดไม่ได้ว่า “เดิมทีคนที่ควรอยู่แสดงความกตัญญูข้างกายบิดามารดาต้องเป็นลูกชาย เจ้าคือลูกสาวที่แต่งงานออกไป กลับมาเยี่ยมพ่อแม่เป็นครั้งคราวก็มากพอแล้ว ข้าและอาเฉานั้นต่างกัน”

เหยาซูพยักหน้า

พี่สะใภ้รองเหยาพูดอีกว่า “คนที่ข้าคิดถึงในตอนนี้คือเอ้อหลาง เขาและต้าหลางเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก นับตั้งแต่จำความได้สองพี่น้องคู่นี้ก็นอนด้วยกัน กินข้าวด้วยกัน อยู่ด้วยกันมานานหลายปี ต้าหลางเป็นคนสุขุม น่าจะไม่มีทางอยากห่างจากบ้านแน่นอน แต่เมื่อเห็นท่าทางของเอ้อหลางในตอนนี้ คงอยากไปเห็นเมืองหลวงไม่น้อย”

เหยาซูพูดเสียงเบา “พี่สะใภ้รองเป็นห่วงเอ้อหลางว่าถ้าตามไปด้วย พี่รองจะไม่มีเวลาดูแลเขาใช่หรือไม่?”

พี่สะใภ้รองเหยาทอดถอนใจ “ก็ไม่เชิง! พี่รองของเจ้าน่ะ ปกติก็มักจะรอบคอบและว่องไวต่อการจัดสรรเรื่องราวอยู่แล้ว ถือว่าสุขุมและพึ่งพาได้ แต่ด้านการเลี้ยงลูก เขายังเหมือนเด็กอยู่มากจริง ๆ!”

เหยาซูนึกขึ้นได้ว่าเหยาเฉามักจะพาเอ้อหลางออกไปเล่นข้างนอกอยู่บ่อยครั้ง สั่งให้เจ้าลูกชายปีนต้นไม้ลงน้ำ จับปลายิงนก จึงอดขบขันไม่ได้

“พี่รองนี่จริง ๆ เลย…”

ยามที่พี่สะใภ้รองเหยาเอ่ยถึงเหยาเฉา แววตาคู่นั้นเปลี่ยนเป็นความอ่อนโยนและหวานหยาดเยิ้ม คล้ายกับว่าผู้มีรูปร่างงามชดช้อยที่เหยียบย่ำอยู่ใต้แสงจันทร์ผู้นั้นได้ปรากฏอยู่ตรงหน้าของนาง กำลังเรียกชื่อของนางเบา ๆ

เสียงของนางแฝงไปด้วยความขบขัน “พี่รองของเจ้าก็มีนิสัยเช่นนี้ มักจะแสดงความเป็นสุภาพบุรุษสุขุมต่อหน้าผู้อื่น แต่ความมีน้ำใจโอบอ้อมอารีนั้นเป็นเพียงการเกทับผู้อื่นเท่านั้น ต่อหน้าคนในบ้านยังเหมือนเด็กน้อยที่ไม่รู้จักโตอยู่เลย”

ขณะพูด พี่สะใภ้รองเหยามองไปยังเหยาซู และพูดอย่างจริงจัง “อาซู ข้าไม่เคยขอให้เจ้าทำสิ่งใด… เพียงแต่พี่รองของเจ้านั้นดูแลตัวเองไม่ได้ ข้าไม่วางใจให้เขาอยู่คนเดียว”

เหยาซูพูดเสียงเบา “ข้ารู้ พี่สะใภ้รองวางใจเถอะ ถึงตอนนั้นพี่รองก็ต้องมาอาศัยอยู่กับเรา คอยดูแลซึ่งกันและกันอยู่แล้ว”

พี่สะใภ้รองรู้สึกโล่งใจ ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า “อาซูดูแล ข้าก็วางใจ รบกวนเจ้าแล้วล่ะ เป็นน้องสาวยังต้องมาดูแลพี่ชายอีก”

เหยาซูยิ้ม “ไม่ขนาดนั้นหรอก! ตั้งแต่เด็กจนโตพี่รองดูแลข้ามาตั้งเท่าไร บัดนี้พี่สะใภ้ต้องแสดงความกตัญญูอยู่ข้างกายของท่านพ่อและท่านแม่ ก็ควรเป็นข้าผู้เป็นน้องสาวที่ต้องดูแลความเป็นอยู่ของพี่รอง”

เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ เหยาซูจึงได้เอ่ยถึงหลานชายอีกครั้ง “หากพี่สะใภ้รองวางใจ ให้เอ้อหลางมากับเราก็ได้ ถึงตอนนั้นเขาและอาซือสองคนนั้น จะได้อยู่เป็นสหายกันและกัน”

พี่สะใภ้รองเหยาตื่นเต้นอยู่ในใจ ก่อนจะทอดถอนใจเบา ๆ และพูดว่า “ค่อยว่ากันเถอะ ข้าขอถามความสมัครใจจากเจ้าลิงจอมซนผู้นี้ก่อน”

เหยาซูรู้ว่าพี่สะใภ้รองตัดใจห่างจากลูกชายไม่ได้ แต่ก็อยากให้ลูกชายได้ออกไปเจอโลกภายนอกมากขึ้น

ความคิดของผู้เป็นแม่ค่อนข้างขัดแย้งกันเอง ต่อให้เป็นคนที่ง่าย ๆ สบาย ๆ เพียงใดก็ไม่สามารถตัดสินใจได้ในทันที

กระทั่งได้ยินพี่สะใภ้รองเหยาพูดว่า “เมื่อวันก่อนข้าส่งจดหมายไปเมืองหลวง เพื่อบอกเรื่องนี้กับอาเฉา ไม่รู้ว่าเขาจะได้รับมันเมื่อใด ความคืบหน้าของคดีในระยะนี้ยังคงราบรื่น…”

เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ เหยาซูเองก็เป็นกังวล นางอยากรู้ว่าหลินเหราไปเจอใครบ้าง เรื่องเลวร้ายเหล่านั้นแก้ไขได้แล้วหรือไม่?

………………………………………………………………………………………………………

[1] วสันตวิษุวัต ซึ่งเป็นวันที่เวลาในกลางวันและกลางคืนเท่ากัน โดยมากตรงกับวันที่ 20 มีนาคม

สารจากผู้แปล

ใจหนึ่งก็ห่วงลูกที่บ้าน อีกใจก็ห่วงสามีที่เมืองหลวง เป็นเรื่องที่ต้องคิดหนักอยู่เหมือนกัน ขอให้เจอทางเลือกที่เหมาะสมนะคะ

ไหหม่า(海馬)