ตอนที่ 115-2 สามีภรรยา สารภาพความจริง

ทานอาหารเสร็จ เด็กทั้งสองคนเล่นกันอยู่พักหนึ่งก็นอนหลับ เด็กน้อยนอนหลับง่ายนัก หัวถึงหมอนก็กรนคร่อกแทบจะในทันที

จีหมิงซิวนั่งอยู่ข้างเตียงมองลูกน้อยนอนหลับสนิท ไม่คิดผละจากไป

เฉียวเวยห่มผ่าให้เด็กๆ จนเรียบร้อยก็กวาดสายตามามองเขา แล้วถามว่า “เหตุใดยังไม่ไป อยากค้างคืนหรือไร”

จีหมิงซิวตอบ “ข้ามีเรื่องต้องพูดกับเจ้า”

น้ำเสียงของเขาจริงจังยิ่งนัก ความคิดแรกของเฉียวเวยคือเขาทราบเรื่องที่ตนไม่ยอมช่วยท่านย่าของเขาแล้ว เรื่องนี้นางคิดว่าตนเองไม่ได้ทำผิด หากเขาต่อว่านางโดยมิแบ่งแยกผิดถูก ถ้าเช่นนั้นนางก็จะไม่สนใจเขาอีกต่อไป

เฉียวเวยเปิดตู้เสื้อผ้า แล้วเก็บเสื้อที่พับเรียบร้อยแล้วตัวแล้วตัวเล่าเข้าไปในชั้น “พูดสิ่งใด ข้าฟังอยู่”

“ข้ารู้ว่าเจ้าจดจำเรื่องราวในอดีตไม่ได้ เจ้าคงจำไม่ได้ว่ามีลูกได้เช่นไร” เขากล่าว

ลูกหรือ แววตาของเฉียวเวยวูบไหว แต่ไม่ได้พูดถึงท่านย่าของเขาก็ดี

เขาลังเลพริบตาหนึ่ง “ข้าไม่รู้ว่าต้องพูดอย่างไรเจ้าจึงจะเชื่อ แต่จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของยิ่นอ๋อง”

เฉียวเวยดวงตาเป็นประกาย “ข้ารู้อยู่แล้วว่าไม่ใช่ของเขา!”

เจ้าชาติชั่วสารเลวคนนั้นจะเป็นบิดาแท้ๆ ของเด็กน้อยน่ารักทั้งสองคนของนางได้เช่นไร เพียงลองคิดก็ไม่น่าเชื่อแล้ว

จีหมิงซิวมองนางด้วยสีหน้าซับซ้อน “เจ้าจะไม่ถามหรือว่าของผู้ใด”

เฉียวเวยรินชาเย็นถ้วยหนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “ถึงอย่างไรก็มิใช่ของท่าน”

“ของข้าเอง”

เฉียวเวยพ่นน้ำชาออกมา!

“แค่กๆ ล้อเล่นก็ต้องมีขอบเขตกันบ้างสิ”

จีหมิงซิวมองนางอย่างจริงจัง “ท่าทางข้าเหมือนกำลังล้อเล่นหรือ”

ไม่เหมือน

เฉียวเวยตาโตอ้าปากค้าง “ของ…ของท่านจริงหรือ ไม่มีทางหรอกน่า จะเป็นลูกของท่านได้อย่างไร ท่านกับ…ท่าน…ท่านก็…ไม่ถูกต้องสิ…ถ้าเช่นนั้น…ข้า…ท่าน…”

เฉียวเวยพูดจาไม่เป็นประโยค ไม่ทราบว่าสมควรถ่ายทอดความตกตะลึงในหัวใจออกไปเช่นไรดี นางไม่กล้าพูดว่าตนเองมีสายตาเฉียบคม แต่นางก็มองออกว่ายามจีหมิงซิวปฏิบัติกับเด็กๆ เขาไม่ได้วางตัวในฐานะบิดาคนหนึ่ง

ทว่าเมื่อครู่เขาบอกว่าอะไร เด็กๆ เป็นลูกของเขาหรือ เรื่องนี้ เรื่องนี้จะเป็นไปได้อย่างไรเล่า

จีหมิงซิวเหมือนจะมองความสงสัยของนางออกจึงอธิบายว่า “ข้าก็เพิ่งแน่ใจค่ำวันนี้เอง”

“เพิ่งแน่ใจค่ำวันนี้หมายความว่า…” เฉียวเวยมองเขาอย่างไม่เข้าใจ

จีหมิงซิวชะงักครู่หนึ่ง แล้วตัดสินใจเล่าตั้งแต่ต้น “คืนนั้นข้าธาตุไฟเข้าแทรกจึงจำเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้แม้แต่น้อย จนกระทั่งไม่นานมานี้เยี่ยนเฟยเจวี๋ยหลุดปากออกมา ข้าจึงเพิ่งทราบว่าตนเองเคยร่วมราตรีกับสตรีนางหนึ่ง”

เฉียวเวยกระแอมอย่างกระอักกระอ่วน “ถ้าเช่นนั้นท่านแน่ใจได้อย่างไรว่าเป็นข้า”

จีหมิงซิวลังเลครู่หนึ่งก็ยกมือขึ้นถอดหน้ากากบนใบหน้าออก

พริบตาที่เห็นใบหน้านั้น เฉียวเวยก็แข็งทื่อไปทั้งตัว

บุรุษสองคนนี้เหตุไฉนจึงหน้าตาเหมือนกันเช่นนี้เล่า

จะบอกว่าหน้าตาเหมือนกันทุกประการก็ไม่ถึงขนาดนั้น เครื่องหน้าของหมิงซิวดูงดงามเหมาะเจาะกว่าเล็กน้อย แต่โครงหน้า รูปคิ้วล้วนเหมือนกันจนหาความต่างไม่เจอ หากวางอยู่คู่กันก็คงมีส่วนที่เหมือนกันเจ็ดถึงแปดส่วน

ผู้ที่เคยเห็นยิ่นอ๋องล้วนสงสัยว่าจิ่งอวิ๋นเป็นลูกของยิ่นอ๋อง แต่หากพวกเขาเห็นใบหน้าที่แท้จริงของหมิงซิว คงไม่มีทางคิดว่าเด็กเป็นลูกของยิ่นอ๋องแน่

จิ่งอวิ๋นเหมือนยิ่นอ๋องมาเท่าใด ก็เหมือนหมิงซิวมากกว่านั้น

สิ่งที่น่าเสียดายเพียงประการเดียวก็คือ…

เฉียวเวยยื่นปลายนิ้วเย็นเฉียบออกไปลูบลวดลายรูปเปลวเพลิงสีแดงหม่นบนใบหน้าซีกขวาของเขา “นี่คือ…รอยปานหรือ”

“ไม่ใช่” จีหมิงซิวเผยส่วนที่อัปลักษณ์ที่สุดของตนเองต่อหน้านาง “เจ้ากลัวหรือไม่”

เฉียวเวยส่ายหน้า

จีหมิงซิวยกมุมปากขึ้นนิดๆ “ร่างกายของข้าแตกต่างจากคนปกติ ภายในร่างมีกำลังภายในที่ตนเองมิอาจควบคุมได้ อาจารย์ของข้าจึงใช้สมุนไพรสะกดมันไว้ สิ่งที่หลงเหลือจากการรักษาก็คือ ‘รอยปาน’ น่าเกลียดรอยหนึ่ง”

รอยนี้หากอยู่บนใบหน้าของผู้อื่นย่อมอัปลักษณ์และน่ารังเกียจแน่นอน แต่เมื่ออยู่บน ‘ใบหน้างามเทียมบุปผา’ ของเขา รอยปานรูปเปลวเพลิงดวงนี้กลับไม่ลดทอนความงดงามของเขา ตรงกันข้ามกลับทำให้เขาดูมีเสน่ห์ยั่วยวนเพิ่มขึ้นอีก

“เพราะสิ่งนี้ ท่านจึงสวมหน้ากากไว้หรือ” เฉียวเวยถามเสียงเบา

จีหมิงซิวตอบอย่างไม่ทุกข์ร้อน “ก็ส่วนหนึ่ง แรกเริ่มเดิมทีอาจารย์ของข้าใช้สมุนไพรคุมกำลังภายในของข้าไว้ แต่เมื่อข้าอายุมากขึ้น มันก็ยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ สมุนไพรยากจะกดเอาไว้ได้อีก อาจารย์ข้าจึงไหว้วานคนให้ตัดหยกเหมันต์ที่เย็นเฉียบที่สุดชิ้นหนึ่งจากแดนเหนือนำมาทำเป็นหน้ากากเพื่อสยบมันไว้”

ตั้งแต่เล็กก็ต้องใช้ชีวิตด้วยการสวมหน้ากาก หากปราศจากหน้ากาก ชีวิตก็เป็นอันตราย เมื่อคิดเช่นนี้ เฉียวเวยก็รู้สึกว่าเขาน่าสงสารนัก หากเป็นตนเองที่ต้องอกสั่นขวัญแขวนอยู่ทุกวัน นางคงจิตใจพังทลายไปไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่หนแล้ว

จีหมิงซิวกล่าวว่า “เรื่องราวในคืนนั้น ข้าจำมิได้จริงๆ หากข้าจำได้แม้เพียงสักนิด คงไม่มีทางไม่ไปตามหาเจ้า”

เฉียวเวยพึมพำเสียงเบา “ตอนนี้…ก็ยังไม่สาย”

หากท่านมาเร็วกว่านี้ คนผู้นั้นก็คงไม่ใช่ข้า

“ข้าคิดว่าเจ้าจะโกรธข้า” จีหมิงซิวกล่าว

เฉียวเวยเม้มปาก ทัดปอยผมไปหลังใบหูอย่างแผ่วเบา “ข้าไม่มีสิทธิโกรธท่านหรอก”

จีหมิงซิวหรี่ตาลง “หรือว่าคืนนั้นเจ้าจะขืนใจข้าจริงๆ”

เฉียวเวยตอบโดยไม่หยุดคิด “เปล่า!”

จีหมิงซิวหัวเราะ “เปล่า แล้วเหตุใดเจ้าจึงทำเหมือนมีความผิดติดตัวเช่นนั้นเล่า”

“ข้าไม่ได้ทำอะไรผิด” แต่ผู้ที่ถูก ‘ข่มเหง’ ในตอนนั้นไม่ใช่นาง ผู้ที่ถูกทอดทิ้งหลายปีนี้ก็มิใช่นาง นางย่อมไม่มีสิทธิถือโทษโกรธเคืองเขา แต่สิ่งเหล่านี้ นางจะอธิบายให้เขาฟังได้เช่นไรเล่า

หมิงซิวเอ่ยต่ออย่างเนิบนาบ “หัวหน้าพรรคเฉียว มีคนเคยบอกเจ้าหรือไม่ว่าฝีมือโกหกของเจ้าไม่เอาไหน”

เฉียวเวยมีร้อยปากก็แก้ตัวไม่ขึ้นแล้ว

ใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีที่เพิ่งทราบว่าตนเองถูก ‘ขืนใจ’ สีหน้าเคร่งขรึมขึ้นทันควัน “เห็นแก่ที่เจ้ายอมรับผิดแต่โดยดี ข้าจะไม่ถือสาเอาความกับเจ้า”

การโต้เถียงของทั้งสองคนลดทอนความกระอักกระอ่วนของ ‘การเป็นสามีภรรยาคืนเดียว’ ลงไปได้เล็กน้อย ทว่าเมื่อคิดขึ้นมาว่าคนข้างกายผู้นี้เคยกระทำเรื่องแนบชิดที่สุดในโลกกับตน หัวใจก็มีความรู้สึกเขินอายอันแปลกประหลาดผุดออกมา

“ข้า…ข้าจะไปดูว่าน้ำเดือดหรือยัง” เฉียวเวยหาข้ออ้าง เดินออกจากห้องนอน

เรื่องนี้ห้ามนึกรายละเอียด พอนึกภาพละเอียดช่างน่ากระอักกระอ่วน โชคดีที่จำไม่ได้ แต่ก็เพราะจดจำมิได้ แม้แต่จะทบทวนความทรงจำก็ทำไม่ได้ จึงไม่แน่ใจสักนิดว่าคืนนั้นทำเรื่องน่าอายลงไปหรือไม่ เมื่อคิดเช่นนี้ก็รู้สึกอับอายยิ่งกว่าเดิม

เฉียวเวยสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วผ่อนลมหายใจออกมาช้าๆ วางแผนว่าจะรอให้เขาไปแล้วค่อยกลับเข้าไป

แต่จีหมิงซิวรออยู่ในห้องพักหนึ่งไม่เห็นนางเข้ามา จึงออกมาตามหานางด้วยตนเอง

เฉียวเวยแสร้งทำเป็นเติมฟืนท่อนหนึ่งใส่เตา

แสงเปลวเพลิงส่องกระทบใบหน้าของนาง ปกปิดความผิดปกติบนพวงแก้มเอาไว้

จีหมิงซิวนิ่งกว่านาง เขาไม่ได้เพิ่งทราบเรื่องที่ตนหลับนอนกับสตรีนางหนึ่ง เขามีเวลามากมายจัดการความรู้สึกนานาประการที่เกิดขึ้นเพราะเรื่องคืนนั้น แต่เมื่อนางเขินอายเช่นนี้ เขาเองก็ได้รับอิทธิพลไปด้วย รู้สึกขัดเขินขึ้นมาเล็กน้อยเช่นกัน

เปลวไฟในห้องครัวลุกโชน เสียงฟืนแตกเปรี๊ยะในกองไฟ ดีดสะเก็ดไฟสองสามดวงออกมา

ทั้งสองคนต่างไม่มีผู้ใดเอ่ยวาจา ระดับความกระอักกระอ่วนเพิ่มขึ้นไปอีกหนึ่งขั้นอย่างไม่รู้ตัว

“เจ้า…”

“ข้า…”

เฉียวเวยกับจีหมิงซิวเอ่ยออกมาพร้อมกันแล้วก็หยุดพร้อมกัน เฉียวเวยเม้มปาก รอให้เขาพูดก่อน แต่เขาก็รอให้เฉียวเวยพูดก่อนเช่นเดียวกัน

ห้องครัวร้อนผ่าวตกอยู่ในความเงียบงันอันแปลกประหลาด

เฉียวเวยทนไม่ไหวแล้วจริงๆ จึงฝืนถามว่า “ข้าเพียงอยากถามว่าเหตุใดยิ่นอ๋องจึงมั่นใจว่าลูกเป็นของเขา เพียงอาศัยใบหน้าอย่างเดียวหรือ”

ไม่ได้อยากจะถามเรื่องนี้สักหน่อย ความจริงอยากถามสิ่งใดก็จำมิได้แล้ว แต่สัญชาตญาณสั่งว่าให้พูดต่อไปก่อน

จีหมิงซิวตอบด้วยสีหน้าเป็นจริงเป็นจังเหมือนพยายามบรรเทาความกระอักกระอ่วนที่นางนำมาให้ “เพราะเข้าใจผิดเล็กน้อย ยิ่นอ๋องเข้าใจผิดคิดว่าคนที่ร่วมราตรีกับเขาคือเจ้า”

โลกใบนี้มีคนหน้าตาคล้ายกันนับไม่ถ้วน อาศัยเพียงใบหน้ามิอาจเป็นหลักฐานแน่นหนาได้ แต่หากนับรวมเรื่องเมื่อห้าปีก่อนด้วย ย่อมไม่มีผู้ใดสงสัยว่าจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูมิใช่บุตรของยิ่นอ๋อง

เมื่อสนทนาถึงเรื่องจริงจัง บรรยากาศกระอักกระอ่วนบอกไม่ถูกนั่นก็หายไปในที่สุด

เฉียวเวยกระแอม “เจ้าสารเลวนั่นแทงข้าหนึ่งกระบี่เชียวนะ ที่แท้ข้าไม่ได้ทำสิ่งใดทั้งสิ้น แต่ถูกแทงหนึ่งกระบี่เปล่าๆ เช่นนั้นหรือ!”

จีหมิงซิวมองนางอย่างอ่อนโยน “ข้าจะหาหลักฐานให้พบ ทำให้ความจริงเมื่อยามนั้นกระจ่าง คืนความยุติธรรมให้แก่เจ้ากับลูกๆ”

ค่ำคืนอันเย็นสบาย จีหมิงซิวเดินออกมาจากคฤหาสน์ ลำคอปวดแปลบๆ ทว่าหัวใจทั้งดวงกลับถูกเติมเต็มอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

นับจากวันนี้เป็นต้นไป เขาคือคนที่มีภรรยากับลูกแล้ว

“ลุงเยี่ยน” ใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีเรียกอย่างเป็นมิตร

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยหันมามองเขาราวกับถูกฟ้าผ่า “นายน้อย ท่านเป็นอันใด”

จีหมิงซิวไม่เอ่ยวาจา เพียงตบหัวไหล่เขาแล้วก้าวขึ้นรถม้า

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยจับต้นชนปลายไม่ถูก ตั้งแต่ออกจากวังหลวงมาสีหน้าของนายน้อยก็ไม่ปกตินัก พอออกมาจากคฤหาสน์ก็ยิ่งเหมือนตื่นเต้นหนักกว่าเดิม

ภายในรถม้า จู่ๆ จีหมิงซิวก็ฮัมเพลงของละครงิ้ว

เสียงในลำคอของเขาเปี่ยมไปด้วยแรงดึงดูด เรียกได้ว่าไพเราะยิ่งนัก แต่มันช่วยอาการเสียงหลงไม่ได้ พริบตาเดียวหลงจากเมืองหลวงไปถึงเผ่าซยงหนีว์แล้ว

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยตัวสั่นเทา อาชาทั้งสองก็ตกใจไม่เบาเพราะเสียงของเขา พวกมันกลอกตาอย่างรังเกียจ เกือบจะลากรถม้าตกแม่น้ำ!

เมื่อกลับมาถึงเรือนสี่ประสาน ข่าวมากกว่านั้นก็ส่งมาถึง

จีหมิงซิวอ่านรายงานเบาะแสที่ไห่สือซานส่งมาให้อย่างละเอียด เมื่ออ่านถึงคำว่า ‘ฮูหยินขอน้ำแกงห้ามครรภ์จากหมอพเนจร’ แววตาของจีหมิงซิวก็ดำทะมึนพริบตาหนึ่ง

ช่างเป็นเจ้าตัวน้อยผู้ไร้หัวใจจริงๆ ถึงขั้นกล้าดื่มน้ำแกงห้ามครรภ์

แต่ดื่มแล้วอย่างไรเล่า เด็กน้อยทั้งสองก็ยังหัวรั้น รอด มา ได้ อยู่ ดีไม่ใช่หรือ!

ไม่เสียทีเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเขา

ใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีภาคภูมิใจเล็กๆ

หลังจากนั้นสายตาของจีหมิงซิวก็จับอยู่บนคำว่าหมอพเนจร

ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ หมอพเนจรอาจเป็นพยานเพียงหนึ่งเดียวของเรื่องราวในครั้งนั้น มีแต่เขาที่พิสูจน์ได้ว่าราตรีนั้นเมื่อห้าปีก่อนเฉียวเวยอยู่ร่วมราตรีกับจีหมิงซิวในวัดร้าง มิได้ร่วมอภิรมย์บนเตียงของยิ่นอ๋อง

ส่วนเหตุใดเมื่อฟ้าสางเฉียวเวยจึงไปปรากฏตัวอยู่บนเตียงของยิ่นอ๋อง เขาไม่ตัดความเป็นไปได้ที่อาจมีใครตีเฉียวเวยจนสลบแล้วโยนเข้าไป และไม่ตัดความเป็นไปได้ที่เฉียวเวยอาจลอบเข้าไปในกระโจมด้วยตนเอง

บังเอิญว่าเมื่อยิ่นอ๋องตื่น เฉียวเวยก็อยู่บนเตียงแล้ว ยิ่นอ๋องจึงเข้าใจผิดคิดว่าทั้งสองคนมีอะไรกัน ด้วยความอับอายและโกรธเกรี้ยวจึงแทงเฉียวเวยหนึ่งกระบี่ หากกล่าวเช่นนี้ก็พอฟังขึ้น

เพียงแต่จากความเห็นของจีหมิงซิว ยิ่นอ๋องคงไม่ได้อับอายและโกรธเคืองอะไรนักหรอก ยิ่นอ๋องน่าจะอยากอาศัยเรื่องนี้แสดงว่าตนบริสุทธิ์เสียมากกว่า

ตัวเองไม่มีปัญญาควบคุมร่างกายท่อนล่าง แต่เอาสตรีนางหนึ่งมาเป็นแพะรับบาป ช่างน่าอับอายจริงๆ

นิ้วมือเรียวยาวดั่งหยกของจีหมิงซิวเคาะผิวโต๊ะเบาๆ ต้องหาตัวหมอพเนจรให้เจอ

เขาไม่สนว่าผู้คนในใต้หล้าจะมองเขาเช่นไร แต่จะปล่อยให้เฉียวเวยแบกคำประณามทั้งชีวิต ให้ความเป็นมาของเด็กๆ ไม่กระจ่างตลอดไปมิได้ เขาจะทวงความยุติธรรมให้เฉียวเวย จะสาดมลทินเหล่านั้นบนตัวเฉียวเวยคืนกลับไปให้หมดสิ้น!

เฉียวเวยกลับไม่ใส่ใจว่าผู้คนในใต้หล้าจะมองตนเองเช่นไร หากใส่ใจ นางก็คงไม่ทำเรื่องอย่างการวิวาทต่อยตี สิ่งที่นางใส่ใจมากกว่าคือการตัดความสัมพันธ์กับเจ้าสารเลวยิ่นอ๋องผู้นั้นให้เด็ดขาด

ทุกครั้งที่คิดว่าลูกน้อยผู้น่ารักของนางเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของยิ่นอ๋อง นางก็รู้สึกเหมือนกลืนแมลงวันเข้าไป

นางรักลูกน้อยมากยิ่งนัก แต่นางไม่อาจยอมรับว่าพวกเขามีบิดาเป็นบุรุษสวะเช่นนั้นได้จริงๆ

ตอนนี้ดีแล้ว ลูกน้อยผู้น่ารักเป็นบุตรของผู้อื่น!

หากจีหมิงซิวทราบว่าสาเหตุที่เฉียวเวยตื่นเต้นยินดี ไม่ใช่เพราะเด็กๆ เป็นลูกของเขา แต่เพราะเด็กๆ ไม่ใช่ลูกของยิ่นอ๋อง เขาอาจจะกระอักเลือดออกมาสักสามลิตร…

ในที่สุดยิ่นอ๋องก็ไม่ได้บอกเรื่องจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูเป็นลูกของตนต่อหน้าฮ่องเต้ มิใช่ไม่อยาก แต่เพราะไม่กล้า จีหมิงซิวไม่ใช่เพิ่งหมายตาลูกของเขาเพียงวันสองวัน จีหมิงซิวไม่มีทางมองไม่ออกว่าเขาต้องการจะพูดอะไร แต่จีหมิงซิวจากไปโดยไม่ใส่ใจสักนิด เรื่องนี้ทำให้เขาจู่ๆ ก็ไม่มั่นใจ

‘หากข้าเป็นยิ่นอ๋อง จะไม่หาเรื่องให้ตัวเองอับอาย’

คำพูดนี้หมายความว่าอย่างไร

เหตุใดการประกาศตัวตนของจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูต่อหน้าผู้คนจะทำให้ตนอับอาย

จีหมิงซิวกำลังข่มขู่เขา หรือว่าตัวตนของเด็กทั้งสองคนมีความลับอื่นซ่อนอยู่อีก

บนรถม้าที่แล่นไปยังจวนอ๋อง ยิ่นอ๋องขบคิดไม่ตก

ขันทีหลิวกล่อมว่า “ท่านอ๋อง ท่านอย่าเก็บมาใส่ใจเลยพ่ะย่ะค่ะ ท่านยังมิรู้จักอัครมหาเสนาบดีผู้นั้นอีกหรือ ดำก็พูดกลับเป็นขาวได้ คนตายก็ยังพูดให้กลับมาเป็นได้ เขากลัวว่าท่านจะรับว่าเด็กเป็นลูกต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาทจึงจงใจขู่ให้ท่านกลัว”

ยิ่นอ๋องลูบแหวนหยกบนมือซ้ายแล้วกล่าวว่า “ข้าก็อยากให้เขากำลังข่มขู่ข้า แต่ดูจากท่าทางของเขาแล้ว…เห็นชัดว่าเขามั่นใจว่าข้าจะหาเรื่องใส่ตัวเอง”

ขันทีหลิวตอบอย่างไม่เห็นด้วย “เฮ้อ ฮูหยินไม่ชมชอบท่าน มิใช่เพราะท่านหาเรื่องใส่ตัวเองหรอกหรือ อัครมหาเสนาบดีอาจหมายถึงเรื่องนี้”

“ไม่ถูก” ยิ่นอ๋องท่าทางหมือนกำลังขบคิด “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับคุณหนูใหญ่เฉียว”

เขาเป็นองค์ชาย รับเลือดเนื้อเชื้อไขของตนเองกลับมาเป็นเรื่องถูกต้องตามทำนองคลองธรรม ต่อให้คุณหนูใหญ่เฉียวเป็นมารดาบังเกิดเกล้า ขอเพียงฮ่องเต้พยักหน้า นางก็ทำได้เพียงยอมรับบัญชา

ดังนั้นความจริงแล้วคุณหนูใหญ่เฉียวไม่มีค่าให้หวาดกลัว ถ้าเช่นนั้นจีหมิงซิวจะลอบบอกอันใดกับเขากันแน่

“หลิวเฉวียน เรื่องในตอนนั้น…มีลับลมคมในอันใดหรือไม่”

ขันทีหลิวตกตะลึง “ท่านอ๋อง ท่านคงไม่ได้สงสัยว่านายน้อยกับคุณหนูมิใช่เลือดเนื้อของท่านหรอกกระมัง จะเป็นไปได้อย่างไร ตัวท่านเองได้หลับนอนกับผู้อื่นหรือไม่ ท่านไม่ทราบหรือ”

ไม่ผิด เขากับสตรีนางนั้นเป็นสามีภรรยาทางพฤตินัยกันแล้วจริงๆ เขาคิดว่าเป็นสาวใช้อุ่นเตียงของตนเองเสียอีก ผู้ใดจะคิดว่าพอตื่นมาวันรุ่งขึ้นกลับกลายเป็นนาง!

เขาโกรธจึงแทงนางไปหนึ่งกระบี่

แต่จีหมิงซิวบอกว่า ‘มืดเช่นนั้น ยิ่นอ๋องอาจจำผิดคนก็เป็นได้’

นี่หมายความว่าอย่างไร

หรือว่าคืนนั้นคนที่ตนร่วมอภิรมย์อยู่ตลอดคืนจะมิใช่คุณหนูใหญ่ตระกูลเฉียว

แต่คุณหนูใหญ่เฉียวอยู่บนเตียงของตนชัดๆ…

สมองของยิ่นอ๋องสับสน เขาไม่อยากจะสงสัยเรื่องราวที่เกิดในคืนนั้น แต่คำพูดเพียงไม่กี่คำของจีหมิงซิวกลับจุดความคลางแคลงของเขาขึ้นมาอย่างง่ายดาย

“ท่านอ๋อง หน้าตาของจิ่งอวิ๋น ดูก็รู้ว่าเป็นลูกของท่านนะพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีหลิวกล่าว

ดูแล้วใช่ แต่หากไม่ใช่ขึ้นมาเล่า

ยิ่นอ๋องแววตาเคร่งขรึม “ชื่ออี!”

หัวหน้าองครักษ์ชื่ออีเว่ยผลุบกายเข้ามา “ท่านอ๋อง!”

ยิ่นอ๋องสั่งเสียงเย็นชา “เจ้าจงเดินทางไปเจียงหนาน สืบเรื่องราวเมื่อห้าปีก่อนด้วยตนเอง ดูว่าสตรีที่ล่อลวงข้าแท้จริงแล้วใช่คุณหนูใหญ่ตระกูลเฉียวหรือไม่!”