ตอนที่ 262 แรงกดดัน

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 262 แรงกดดัน
รัชทายาทรีบคุกเข่าลงกับพื้น ก้มศีรษะคำนับฮ่องเต้

“เสด็จพ่อคือใต้หล้าของลูก ต่อให้ตายลูกก็ไม่กล้าหลอกลวงเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ! ที่สำคัญเสด็จพ่อทรงเป็นผู้มอบตำแหน่งรัชทายาทนี้ให้แก่ลูก หากเสด็จพ่อต้องการยึดคืน ลูกในฐานะโอรสก็ไม่มีสิทธิ์โกรธเคืองเสด็จพ่อ ลูกจะกล้าหลอกพระองค์ได้เช่นไรพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้ทอดพระเนตรมองรัชทายาทที่คุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยความรู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก พยักหน้าลงยิ้มๆ

“ลุกขึ้นเถิด! เรารู้ดีว่าเจ้าเป็นเด็กดี!”

ขอบตาของรัชทายาร้อนผ่าว เขาเงยหน้าสบตาฮ่องเต้ กล่าวเสียงสะอื้น “เสด็จพ่อ”

“คราวที่แล้วเจ้าส่งจดหมายลับมาทูลขอให้เราแต่งตั้งไป๋ชิงเหยียนเป็นองค์หญิง ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ทว่า ตอนนี้ไป๋ชิงเหยียนจงรักภักดีต่อเจ้าแล้ว เจ้าไม่คิดอยากให้นางอยู่รับใช้เจ้าต่อในราชสำนักหรือ”

ฮ่องเต้ลอบหยั่งเชิง

“ราชสำนักไม่เคยมีขุนนางที่เป็นสตรีมาก่อน แม้ลูกจะเห็นความสามารถของไป๋ชิงเหยียน ทว่า หากมอบตำแหน่งแม่ทัพให้นาง เกรงว่าอาจถูกผู้คนครหาจนทำให้เสด็จพ่อทรงลำบากพระทัย ลูกจึงล้มเลิกความคิดนี้พ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้พยักหน้า ดีใจที่บุตรชายของตนไม่ได้คำนึงถึงแต่ผลประโยชน์ของตัวเองจนลืมเขาซึ่งเป็นบิดา

“พรุ่งนี้จักรพรรดิแห่งต้าเยี่ยนและโอรสจะเดินทางมาถึงเมืองหลวงแล้ว จากนั้นเขาจะมอบโอรสไว้เป็นตัวประกันที่นี่ เจ้าเป็นรัชทายาท พรุ่งนี้เจ้าจงเดินทางไปรับเสด็จจักรพรรดิแห่งต้าเยี่ยนเข้ามาในวังหลวง เราขอมอบให้เจ้าเป็นผู้รับผิดชอบดูแลเรื่องนี้ทั้งหมด!” ฮ่องเต้กล่าวจบ จากนั้นเหมือนจะนึกสิ่งใดขึ้นมาได้จึงหันไปมองรัชทายาท “เจ้าเพิ่งกลับมาจากหนานเจียง เจ้าจะเหนื่อยเกินไปหรือไม่”

รัชทายาทก้มศีรษะแนบพื้นอย่างแรงเพื่อสื่อถึงความจงรักภักดี

“ช่วยเหลือบ้านเมืองคือหน้าที่ของลูกพะย่ะค่ะ ลูกจะทำให้เต็มที่ที่สุดพ่ะย่ะค่ะ!”

“ฝ่าบาท!”

น้ำเสียงสดใสร่าเริงราวกับนกขมิ้นดังมาจากทางด้านหลังของรัชทายาท รัชทายาทเงยหน้าขึ้นก็เห็นฮ่องเต้ทอดพระเนตรไปยังด้านหลังเขา ดวงตาสองข้างเป็นประกาย วางเบ็ดตกปลาในมือลง สีพระพักตร์ดูตื่นเต้นไมน้อย

รัชทายาทรีบลุกขึ้น หลบไปยืนอยู่ด้านข้างฮ่องเต้ ลอบมองตามสายพระเนตรของฮ่องเต้ เขาเห็นสาวน้อยคนหนึ่งอยู่ในชุดขี่ม้าสีขาว ผมยาวถูกมัดรวบสูด้วยเชือกสีขาวอยู่ทางด้านหลัง มือถือแส้ม้าสีดำสนิท กำลังวิ่งตรงมาทางนี้อย่างอารมณ์ดี

ดวงตาของรัชทายาทไหววูบ เด็กสาวที่มีกลิ่นหอมจางๆ พุ่งกายเข้าไปในอ้อมกอดของฮ่องเต้ รัชทายาท ขันทีและบรรดานางกำนัลที่ยืนอยู่บริเวณนั้นรีบก้มหน้าลงทันที ต่างพากันถอยหลงหนี ไม่กล้าแอบมอง

“เกากงกงกล่าวว่าฝ่าบาทสั่งให้คนทำชุดขี่ม้าให้หม่อมฉันด้วยพระองค์เอง หม่อมฉันจึงใส่มาให้พระองค์ดูทันทีเลยเพคะ! ฝ่าบาทสั่งคนให้ทำชุดขี่ม้าและมอบแส้ม้าให้หม่อมฉันเพราะจะพาหม่อมฉันไปขี่ม้าใช่หรือไม่เพคะ”

น้ำเสียงอารมณ์ดีของสาวน้อยแฝงไปด้วยความเอาแต่ใจเล็กน้อย

“หม่อมฉันขี่ม้ามาตั้งแต่เด็ก ฝ่าบาทจะทรงแข่งกับหม่อมันหรือไม่เพคะ!”

สายพระเนตรของฮ่องเต้เต็มไปด้วยความรักและเอ็นดู

“เกาเต๋อเม่า ให้คนไปเตรียมการ เราจะแข่งม้ากับชิวกุ้ยเหริน!”

เกาเต๋อเม่าที่วิ่งตามชิวกุ้ยเหรินมาอย่างเหนื่อยหอบพยักหน้าออกมายิ้มๆ “บ่าวจะให้คนไปเตรียมการเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ!”

“ฝ่าบาททรงดีจริงๆ เพคะ หม่อมฉันรักฝ่าบาทที่สุดเลยเพคะ!” รอยยิ้มบนใบหน้าของชิวกุ้ยเหรินใสซื่อ

“ทว่า ต่อให้เป็นเช่นนี้ หม่อมฉันก็ไม่มีทางอ่อนข้อให้พระองค์หรอกนะเพคะ!”

ฮ่องเต้ยกมือขึ้นจับปรอยผมที่ตกลงมาเกลี่ยใบหน้าของชิวกุ้ยเหรินทัดไปที่ใบหูของนาง กล่าวยิ้มๆ

“ทรมานเจ้าแล้ว เจ้าขี่ม้าในวังหลวงไปก่อน เมื่อผ่านเรื่องใหญ่ของราชสำนักไปแล้ว เราจะพาเจ้าไปที่ม้าที่สนามม้าหลวง”

“หม่อมฉันไม่ใช่เด็กที่ไม่รู้ความเสียหน่อยเพคะ! ฝ่าบาทยอมขี่ม้าในวังเป็นเพื่อนหม่อมฉัน หม่อมฉันก็ดีใจมากแล้วเพคะ!” ชิวกุ้ยเหรินกล่าวจบถึงสังเกตได้ว่ามีผู้อื่นอยู่ตรงนี้ด้วย นางรีบผละออกจากอ้อมกอดของฮ่องเต้ น้ำเสียงขวยเขิน

“เหตุใดฝ่าบาทไม่ทรงบอกหม่อมฉันว่ามีผู้อื่นอยู่ตรงนี้ด้วยเพคะ”

“นี่คือรัชทายาท…” น้ำเสียงของฮ่องเต้ไม่ได้อารมณ์ดีเท่าเมื่อครู่แล้ว

“องค์รัชทายาท!” ชิวกุ้ยเหรินทำความเคารพ

ต่อให้รัชทายาทจะซื่อบื้อแค่ไหนก็มองออกว่าชิวกุ้ยเหรินกำลังเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ เขารีบทำความเคารพกลับ

“รัชทายาทเพิ่งกลับมาจากหนานเจียงคงเหนื่อยแย่ เจ้ารีบกลับไปพักผ่อนเถิด!”

ฮ่องเต้กล่าวจบก็จูงมือชิวกุ้ยเหรินเดินจากไปอย่างอารมณ์ดี ระหว่างทางที่กลับไปจวนรัชทายาท รัชทายาทครุ่นคิดถึงเรื่องของชิวกุ้ยเหรินซ้ำไปซ้ำมา ชุดขี่ม้านั่น…เขาเคยเห็นที่ใดมาก่อนนะ!

ทันใดนั้น จู่ๆ รัชทายาทก็หวนนึกถึงตอนที่เขายังเป็นเด็ก เขาเห็นเสด็จพ่อหยิบภาพวาดภาพหนึ่งออกมา เขาเบิกตาโพลง “ไป๋ซู่ชิว!”

ชุดขี่ม้าที่อยู่บนร่างของเด็กสาวผู้นั้นเหมือนกับภาพวาดของไป๋ซู่ชิวไม่มีผิดเพี้ยน!

จวนไป๋ หอฝานฮวา

หอฝานฮวาเป็นสถานที่ที่วิวดีที่สุดในจวนไป๋ ทิศทัศน์งดงามเป็นอย่างมาก

ไป๋จิ่นจื้อหลับไปตื่นหนึ่งก็รู้สึกมีชีวิตชีวาเต็มร้อย เด็กสาวเดินไปยังหอฝานฮวาพร้อมกับฮูหยินสามหลี่ซื่อ นางเล่าเรื่องการเดินทางไปยังหนานเจียงในครั้งนี้อย่างตื่นเต้น อธิบายรายละเอียดว่าไป๋ชิงเหยียน อาชนะอวิ๋นพั่วสิงได้อย่างไรบ้าง

คุณหนูห้า คุณหนูหกและคุณหนูเจ็ดได้ฟังก็เบิกตาโพลงอย่างตื่นเต้น ต่างหันกลับไปถามไป๋จินซิ่ว

“พี่หญิงรอง จริงหรือเจ้าคะ สนามรบอันตรายถึงเพียงนี้เชียวหรือเพคะ!”

“เจ้าดูบาดแผลตามร่างกายของเสี่ยวซื่อก็น่าจะรู้แล้ว” ไป๋จิ่นซิ่วกล่าวยิ้มๆ

เมื่อได้ยินไป๋จิ่นจื้อเล่าว่าตอนที่กองทัพเดินทางไปยังหนานเจียง ชาวบ้านพากันคุกเข่าขอร้องให้เสี่ยวไป๋ไซว่ยึดบ้านเมืองคืนมาให้พวกเขา อีกทั้งกล่าววาจาปกป้องไป๋ชิงเหยียนตอนอยู่ที่อำเภอเฟิง สตรีที่อยู่ในหอฝานฮวาต่างน้ำตาคลอ

ต่งซื่อจินตนาการภาพนั้นออก รู้ได้ทันทีว่าตอนที่บุตรสาวเดินทางไปออกรบที่หนานเจียง นางคงกดดันมาก!

ฮูหยินห้าฉีซื่อที่กำลังตั้งครรภ์ใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตา “ชาวบ้านยังจำตระกูลไป๋ของเราได้!”

ได้ยินเสียงสาวใช้เอ่ยเรียกคุณหนูใหญ่ดังมาจากด้านนอก ไป๋จิ่นซิ่วและบรรดาน้องสาววางชาผลไม้ในมือลง ลุกขึ้นยืนและพากันออกไปต้อนรับไป๋ชิงเหยียนที่ด้านนอก

ไป๋ชิงเหยียนเข้ามาด้านในพลางทำความเคารพทุกคน เมื่อไม่เห็นท่านอาสะใภ้สี่จึงเอ่ยถาม

“ท่านอาสะใภ้สี่ล่ะเจ้าคะ” คุณหนูห้าไป๋จิ่นเจากล่าวอย่างขอโทษ

“ท่านแม่ได้เวลาสวดมนต์พอดีเจ้าค่ะ ท่านกล่าวว่าขอไม่มาร่วมงานแล้ว ทว่า ท่านแม่เชิญหมอมาตรวจอาการและยอมทานยาแล้วเจ้าค่ะ!”

ตั้งแต่ไป๋ชิงเหยียนจากไป ฮูหยินสี่หวังซื่อเงียบขรึมลงทุกวัน วันๆ เอาแต่สวดมนต์อยู่แต่ในเรือน ไม่ยอมออกมาด้านนอก

ไป๋จิ่นจื้อกำหมัดที่อยู่ข้างลำตัวแน่น ก่อนกลับมาพี่หญิงใหญ่กำชับไว้แล้วว่าคนรู้เรื่องพี่ชายเจ็ดและพี่ชายเก้าน้อยเท่าใดก็ยิ่งดีเท่านั้น ให้ท่านอาสะใภ้สี่รู้คนเดียวก็พอว่าพี่ชายเจ็ดยังมีชีวิตอยู่ ดังนั้นไป๋จิ่นจื้อจึงไม่ได้บอกเรื่องนี้แม้กระทั่งกับมารดาของตัวเอง

ไป๋ชิงเหยียนพยักหน้า หญิงสาวเดาว่าท่านอาสะใภ้สี่คงกลัวจะถูกจับได้ ท่านจึงพยายามทำตัวให้เหมือนเดิมมากที่สุด วันนี้ท่านเชิญหมอมาดูอาการแล้ว หากไป๋ชิงเหยียนกลับมาแล้วนางเปลี่ยนแปลงมากเกินไป ผู้อื่นอาจสงสัยได้ ท่านคงกลัวว่าหากฝ่าบาททรงรู้เรื่องนี้ ไป๋ชิงเจวี๋ยอาจตกอยู่ในอันตราย

ผู้เป็นแม่ล้วนเป็นเช่นนี้ กลัวว่าการกระทำเพียงเล็กน้อยของตัวเองอาจส่งผลกระทบต่อชีวิตและอนาคตของลูกได้

ที่จริงต่อให้ฮ่องเต้จะทรงขี้หวาดระแวงสักเพียงใด เขาก็คงไม่ส่งคนมาจับตาดูเรือนหลังของตระกูลต่างๆ หรอก

ช่างเถิด ขอแค่ท่านอาสะใภ้สี่ยืนหยัดเข้มแข็งขึ้นมาได้อีกครั้ง เรื่องอื่นล้วนไม่สำคัญ

“พี่หญิงใหญ่ พี่หญิงสี่กล่าวว่า พี่หญิงใหญ่นั่งอยู่บนหลังม้า ใช้ธนูเซ่อรื้อยิงเหยี่ยวของอวิ๋นพั่วสิงตายด้วยธนูเพียงดอกเดียว! พี่หญิงใหญ่ยกธนูเซ่อรื้อขึ้นได้อีกครั้งแล้วหรือเจ้าคะ” ไป๋จิ่นหวาเงยหน้าถามไป๋ชิงเหยียน