ตอนที่ 300 การล้างแค้นของมหาสงคราม 7

สตรีมเมอร์สาว กินพิชิตอวกาศ

ตอนที่ 300 การล้างแค้นของมหาสงคราม 7
ตอนที่ 300 การล้างแค้นของมหาสงคราม 7

“รับทราบครับ องค์หญิงสาม” ไกอาพยักหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย นี่คือการปรับใช้พลังการยิงขั้นสูงสุด และเป็นสิ่งที่นองเลือดที่สุดในสนามรบ

ในไม่ช้า องค์ชายไคกีก็รับทราบเช่นกัน วิถีการเรียนรู้ของลูกพี่ลูกน้องทำให้เขายิ้มออกมา และสั่งผู้ช่วยที่อยู่ด้านข้างว่า “ทำตามคำแนะนำขององค์หญิงสาม”

“แต่ฝ่าบาท ตามรูปแบบการโจมตีแบบนั้นจะทำให้ลูกกระสุนของเราหมดลงนะพ่ะย่ะค่ะ” ผู้ช่วยรู้สึกกังวลเล็กน้อย การโจมตีในครั้งนี้อาจหาญเกินไป

“ไม่ต้องกลัว รับฟังลูกพี่ลูกน้องพอ ลูกพี่ลูกน้องของเราคงคำนวณทุกอย่างมาแล้ว” องค์ชายไคกีเชื่อถือลูกพี่ลูกน้องจนหน้ามืดตามัว

ลูกพี่ลูกน้องของเขาขึ้นชื่อว่าเป็นดาววีนัสที่จะนำพาความโชคดีมาสู่ห้วงดวงดาว แล้วแบบนี้ดาววีนัสจะเรื่องทางผิดได้อย่างไร?

ผู้ช่วยทำได้เพียงพยักหน้าด้วยความลังเล ใครเป็นคนแต่งตั้งให้องค์ชายไคกีเป็นผู้บังคับบัญชาการสูงสุด? พร้อมกับถอนหายใจออกมา องค์ชายไคกีช่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย

ใครพูดอะไรก็ทำแบบนั้น ทำไมถึงไม่มีสมองเป็นของตัวเองบ้าง?

สวี่หลิงอวิ๋นกับไคกีเริ่มการต่อสู้อย่างกล้าหาญ ลูกกระสุนทั้งหลายกวัดแกว่งมุ่งตรงไปทางยานรบกองกำลังเสริมของจักรวรรดิปีกพิสุทธิ์ ราวกับว่าไม่เสียดายเงินตรา

จอมพลหลี่จื้อผิงรู้สึกได้ถึงยานรบที่สั่นสะเทือนไปมา ขณะที่คอมพิวเตอร์ปัญญาประดิษฐ์ร้องแจ้งเตือนอย่างต่อเนือง “ศัตรูกำลังโจมตี”

“ศัตรูกำลังโจมตี! พลังงานป้องกันคงเหลือแปดสิบห้าเปอร์เซ็นต์”

“ศัตรูกำลังโจมตี! พลังงานป้องกันคงเหลือเจ็ดสิบห้าเปอร์เซ็นต์”

“ศัตรูกำลังโจมตี! พลังงานป้องกันคงเหลือหกสิบห้าเปอร์เซ็นต์”

“เกิดอะไรขึ้น? ไอ้พวกคนไร้ประโยชน์ ฉันบอกให้พวกแกโจมตีพวกมันไม่ใช่หรือไง?” หลี่จื้อผิงตะคอกอย่างโกรธจัด เขาลุกขึ้นยืนและเอื้อมมือออกไปจะตบหัวของผู้ช่วย ทว่ายานรบกลับสั่นสะเทือนจนเขาเกือบจะเซลงไปกองกับพื้น

“ไอ้สารเลว สารเลวทั้งหมด” ใบหน้าของหลี่จื้อผิงบิดเบี้ยว “ส่งคนออกไปโจมตีเดี๋ยวนี้”

“ถ้าจับตัวคนพวกนั้นไม่ได้ก็ไม่ต้องกลับมา”

“ท่านจอมพล ออกไปตอนนี้ก็มีแต่จะตายกันเปล่า ๆ อย่าให้พวกทหารรีบออกไปเลยครับ” ผู้ช่วยจ้องมองหลี่จื้อผิงที่พยายามบีบบังคับให้พวกเขาออกไปด้วยความตกตะลึง “อีกห้านาทีเราจะถึงดาวเคราะห์เอบีสามอยู่แล้วนะครับ พยายามกันอีกหน่อย เมื่อไหร่ก็ตามที่เราจอดลงบนดาวเคราะห์นั้น ทุกอย่างจากร้ายจะกลายเป็นดี”

“แกหมายความว่ายังไง? จะให้เราหดหัวหนีปัญหางั้นเหรอ แล้วศักดิ์ศรีของจักรวรรดิปีกพิสุทธิ์จะไปอยู่ตรงไหน?” หลี่จื้อผิงร้องคำราม “หน้าที่ของทหารคือเชื่อฟังคำสั่ง ออกไปเดี๋ยวนี้”

“ตายในสนามรบแล้วยังไง? ทหารตายในสนามรบมันก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ? พวกเขาจะตายอย่างสมเกียรติ ตายในสนามรบ แล้วฉันจะกลับไปทูลขอความดีความชอบกับฝ่าบาทให้”

ผู้ช่วยจ้องมองใบหน้าของหลี่จื้อผิง และรู้สึกเหน็บหนาวในหัวใจ

“แกมองฉันทำไม? จะฝืนคำสั่งทหารใช่ไหม?”

หลี่จื้อผิงด่าทอผู้ช่วยอย่างไร้ความปรานี “แกพร้อมจะรับโทษที่ทำให้เครื่องบินรบล่าช้าไหมล่ะ? หรือว่าแกอยากจะขึ้นศาลทหารหรือไง?!”

สวี่หลิงอวิ๋นกับผู้ช่วยทั้งหลายที่กำลังใจจดใจจ่ออยู่กับการโจมตีศัตรู รู้สึกตกตะลึงเมื่อจู่ ๆ ก็เห็นฝูงเครื่องบินรบที่อัดกันแน่นเคลื่อนตัวออกมาจากยานรบ

เธอเกาหัวและหันไปพูดกับไกอาที่อยู่ด้านข้าง “นี่ฉันบ้าหรือคนพวกนั้นบ้ากันแน่? ขนาดรู้ว่าพลังการยิงของเรารุนแรง แต่ก็ยังจะเอาเครื่องบินรบออกมาอีก นี่มันยังไม่ชัดพออีกเหรอว่าออกมาก็เท่ากับตาย?”

ไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึงไกอา เพราะแม้แต่หลี่อาหรันที่มีประสบการณ์ก็ยังไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังเล่นกลอะไร

“ช่างเถอะ ไม่ว่าพวกมันจะเล่นกลอะไรกัน แต่ตราบใดที่มันกล้าออกมา นั่นก็หมายความว่าพวกมันไม่กลัวความตาย” สวี่หลิงอวิ๋นพูด “ตอนนี้เราแค่ต้องกำจัดเครื่องบินรบพวกนั้นซะ ถึงจะนับได้ว่าเป็นชัยชนะ”

องค์ชายไคกีตกตะลึงอยู่ชั่วครู่หนึ่งเมื่อเห็นเครื่องบินรบของอีกฝ่ายแล่นออกมาอย่างบ้าคลั่ง

“ถามคนที่อยู่ตรงข้ามลูกพี่ลูกน้องสิว่าจะเอายังไง? ให้โจมตีเลยไหม?” องค์ชายไคกีถามผู้ช่วยที่อยู่ด้านข้างเขา

ผู้ช่วยถึงกับครุ่นคิดในใจ ฝ่าบาท ท่านต้องถามคำถามเด็กน้อยแบบนั้นด้วยเหรอ ก็ต้องโจมตีอยู่แล้วสิ

ทว่าเขากลับไม่กล้าพูดเช่นนั้นออกไป และกดโทรสายสนทนาทางวิดีโอหาสวี่หลิงอวิ๋น

หลังจากได้ยินคำสั่งการของสวี่หลิงอวิ๋นว่าให้จู่โจม องค์ชายไคกีก็ตั้งท่าต่อสู้สำหรับศึกครั้งใหญ่

“โจมตี!”

ด้วยความลื่นไหลทางการสั่งการที่ทรงพลังของสวี่หลิงอวิ๋นกับไคกี จึงมุ่งเน้นขยายการโจมตีเครื่องบินรบอย่างรุนแรง ส่งผลให้เครื่องบินรบจำนวนนับไม่ถ้วนทะยานตกลงมาราวกับเกี๊ยวที่ถูกบรรจุลงในหม้อ ก่อนจะถูกแรงดึงดูดฉุดลงมาด้านข้างและหมุนวนเป็นวงกลมอย่างบ้าคลั่ง

“เหมือนกับเล่นเกมสแตนอโลนเลย เจ๋งชะมัด” สวี่หลิงอวิ๋นจ้องมองศัตรูบนเครื่องตรวจจับ และสอยพวกเขาร่วงทีละคน

“ถ้าไม่กลัวว่าแผนการจะถูกเปิดเผย ฉันล่ะอยากจะถ่ายทอดสดจริง ๆ” สวี่หลิงอวิ๋นพูดออกมาอย่างรู้สึกเสียดาย “ช่างเถอะ มาบันทึกไว้ก่อนแล้วกัน พอสงครามจบแล้วค่อยเอาให้ผู้ชมดูทีหลัง”

“ถ้างั้นก็ได้พ่ะย่ะค่ะ” หลี่อาหรันพยักหน้า และไม่ลืมที่จะจัดระเบียบรูปลักษณ์ของตัวเอง เขาครุ่นคิดกับตัวเองว่าวิดีโออันนี้จะต้องได้แสดงต่อหน้าคนรุ่นลูกรุ่นหลานต่อไปในอนาคตด้วยอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นเขาจะต้องจัดแจงตัวเอง โดยไม่ทิ้งสภาพมอมแมมให้คนอื่นได้เห็น

หากเขาบันทึกวิดีโอเองคงไม่มีใครดูมัน แต่ถ้าองค์หญิงสามเป็นคนบันทึก วิดีโอดังกล่าวจะถูกมองว่าเป็นวิดีโอสื่อการสอนที่มีคุณภาพสำหรับคณะอาจารย์จากสถาบันการศึกษาทางการทหารของจักรวรรดิชิงเหย้าอย่างแน่นอน

ไม่ได้คิดไปถึงว่าบางทีเขาอาจจะมีชื่อเสียงสืบทอดตลอดไป ช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดีเหลือเกิน!

ไกอามองดูหลี่อาหรันที่อยู่ด้านข้าง แล้วรีบจัดแต่งทรงผมของเขาเงียบ ๆ พร้อมทั้งจัดคอเสื้อให้เรียบร้อย

ผู้ช่วยคนอื่นต่างทำแบบเดียวกัน โดยเริ่มจัดแจงตัวเอง

หลังจากจัดระเบียบตัวเองแล้ว หลี่อาหรันก็พูดกับสวี่หลิงอวิ๋นว่า “ฝ่าบาท ท่านเริ่มบันทึกได้เลยพ่ะย่ะค่ะ”

“บันทึก? ฉันเริ่มบันทึกไปแล้ว บันทึกตั้งแต่วินาทีที่เราขึ้นยานรบกันมาแล้วนะ” สวี่หลิงอวิ๋นดีดนิ้ว และทันใดนั้นซอฟต์แวร์ถ่ายทอดสดที่ซ่อนตัวอยู่ก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าทุกคน

“ไม่ต้องห่วง ฉันไม่ได้เอาไปออกอากาศหรอก แค่บันทึกไว้”

สวี่หลิงอวิ๋นผู้น่าสงสารไม่เข้าใจความหมายของผู้ช่วยเหล่านี้

ใบหน้าของหลี่อาหรันแข็งทื่อ หมายความว่ายังไงนะ? หมายความว่าวินาทีที่เขาตัดแต่งทรงผมและเสื้อผ้าก็ถูกบันทึกเอาไว้อย่างนั้นเหรอ?

ไกอาเบือนหน้าหนีเงียบ ๆ ถ้าองค์หญิงสามมาขอให้เขาตัดแต่งรูปภาพ เขาจะต้องยอมแพ้แน่นอน

มันน่าขายหน้าเกินไป แสงยังไม่ทันส่องลงมาถึงก็ดับเสียแล้ว

หลี่จื้อผิงเริ่มประหม่าสุดขีด

ทหารทั้งหลายกำลังอ่อนกำลัง แต่ละคนเริ่มผงกหัวลง และผลการรบยังไม่แน่ชัด ทว่าโชคดีที่เกราะป้องกันยานรบของพวกเขายังไม่ได้จางหายไปอย่างรวดเร็ว

“รีบหันกลับซะ” จอมพลหลี่จื้อผิงพูดขึ้น “อีกไม่ช้าเราจะได้จบเกมนี้กันแล้ว”

ผู้ช่วยทั้งหลายจ้องมองมาที่เขา “สั่งให้พวกทหารรีบกลับมาที่ยานรบใช่ไหมครับ?”

“กลับมา? กลับมาไหน ถ้าพวกมันกลับมา ไอ้ชาติชั่วชิงเหย้าคงจะพุ่งเป้าพลังการยิงมาที่ยานรบของเราอีกน่ะสิ ถึงตอนนั้นคงหนีไปไม่ได้”