ตอนที่ 1652 : ไฟไหม้คิ้ว!
ทักษะลับแปลงโฉมของต้วนหลิงเทียน เรียกว่าทำให้หานเฉวี่ยไน่ตกตะลึงและเปิดหูเปิดตาครั้งใหญ่แล้วจริงๆ
“จริงสิ เฉวี่ยไน่…”
ทันใดนั้นเองสองตาต้วนหลิงเทียนพลันนทอประกายสว่างวาบขึ้นมา ด้วยนึกวิธีหาทางบอกปัดการแต่งงานครั้งนี้ได้ออก”ไม่ให้ข้าถ่ายทอดทักษะลับแปลงโฉมนี้กับเจ้าเล่า…พอเจ้าฝึกมันสำเร็จ ก็ทำให้ใบหน้าเจ้าเสียโฉมร้ายแรงไปเสีย คราวนี้นายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องนั่น เผลอๆจะเร่งยกเลิกงานแต่งกับเจ้าด้วยตัวเอง”
ทันทีที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมา หานเฉวี่ยไน่ก็คิดว่าวิธีแก้ปัญหานี้ของต้วนหลิงเทียนนับว่าใช้ได้ดีไม่น้อย
อย่างไรก็ตามพอนางครุ่นคิดอีกครั้ง สีหน้ายินดีก็หมองลง”พี่ใหญ่หลิงเทียนเรื่องนี้คงทำไม่ได้…ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่นายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องจะยกเลิกหรือไม่ยกเลิกงานแต่งด้วยซ้ำ…แต่งานวิวาห์ครั้งนี้เรียกว่าประกาศให้ผู้คนรู้กันไปทั่วแล้ว หากมีเหตุผิดพลาดอันใด คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องย่อมโทษว่าเป็นความผิดของพวกเราคฤหาสน์คลื่นขจีและมาลงโทษพวกเราทีหลัง…ทว่างานแต่งนี้จะอย่างไรก็ต้องถูกจัดขึ้นเพื่อรักษาหน้าตา…”
“ดังนั้นต่อให้ข้าเสียโฉมและหน้าตาดูไม่ได้ ถึงนายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องนั่นแม้จะไม่แยแสข้าอีกต่อไป แต่มันก็คงพยายามทำให้การแต่งงานลุล่วงไปได้ด้วยดี…เพราะมันได้นัดแขกเหรื่ออันใดไว้มากมายแล้ว..อย่าว่าแต่น่าเกลียด ต่อให้ข้าป่วยหนักลุกไม่ไหว แต่มันก็ต้องลากข้าไปแต่งกับมันเพื่อรักษาหน้าแน่…”
กล่าวถึงท้ายประโยคหานเฉวี่ยไน่เผยความขื่นขมและอับจนหนทางออกมา
คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องเป็นขุมพลังชั้น 4 อันแข็งแกร่ง ซึ่งห่างไกลจากคฤหาสน์คลื่นขจีจะเทียบได้
ต่อหน้าคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง กระทั่งคฤหาสน์คลื่นขจียังต้องคอยยกหางให้อีกฝ่าย
“อะไร? วันแต่งเจ้าถูกกำหนดแล้ว ทั้งยังเชิญผู้คนไปแล้ว?”
ใบหน้าต้วนหลิงเทียนจมลงทันใด สองตาทอประกายแสงเย็นกล่าวถามเสียงเข้ม”เฉวี่ยไน่…เป็นวันใด?”
“อีก 1 ปีหลังจากนี้”
หานเฉวี่ยไน่กล่าว
“ 1 ปี?”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับค่อยกล่าว”ถ้างั้นหากมีอันใดเกิดขึ้นกับนายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องในช่วงเวลานี้เล่า…หากตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้น หรือคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องยังไม่คิดจะปล่อยคฤหาสน์คลื่นขจีไป?”
“ใช่”
หลังจากที่หานเฉวี่ยไน่พยักหน้ารับด้วยทีท่ารังเกียจ นางก็เล่าออกมาด้วยท่าทางไม่พอใจ”ข้าได้ยินเรื่องนายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องมานานแล้ว นับเป็นตัวบัดซบไม่ต่างใดจากหานจิ้นเหนียนแม้แต่น้อย! จักเป็นการดีถึงเพียงใดจริงหากเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับมันในปีนี้ ให้มันตกตายไปเลยยิ่งดี!!”
ด้านต้วนหลิงเทียนนิ่งเงียบฟังคำสบถของหานเฉวี่ยไน่ไปไม่ตอบคำ หากแต่ในแววตากลับทอแสงสว่างเย็นวาบขึ้นมา
“จริงสิ พี่ใหญ่หลิงเทียน ท่านทิ้งข้อความไว้ที่ทวีปเมฆาล่อง ว่าพี่สาวเค่อเอ๋อถูกคนของลัทธิบูชาไฟพาตัวไปงั้นหรือ?”
ทันใดนั้นหานเฉวี่ยไน่ก็คล้ายนึกอะไรได้ออก นางจึงกล่าวถามต้วนหลิงเทียนออกมาทันที
“อะไรกัน? เฉวี่ยไน่ เจ้ารู้จักลัทธิบูชาไฟด้วยงั้นเหรอ?!”
เมื่อเห็นสีหน้าเข้มขึงจริงจังของหานเฉวี่ยไน่ ต้วนหลิงเทียนตระหนักได้ทันทีว่าหานเฉวี่ยไน่อาจจะรู้จักลัทธิบูชาไฟ
“ก่อนหน้านี้ข้าเองก็มิรู้จักลัทธิบูชาไฟ…แต่พอข้ากลับมาและถามชิงหนู นางเลยลองไปค้นหาในบันทึกโบราณดู สุดท้ายจึงได้พบบันทึกโบราณม้วนหนึ่งที่มีข้อมูลของลัทธิบูชาไฟ”
ขณะกล่าวถึงจุดนี้หานเฉวี่ยไน่ก็สะบัดมือคราหนึ่ง ปรากฏเป็นม้วนคัมภีร์แลดูเก่าแก่ม้วนหนึ่งผุดขึ้นมาจากความว่างเปล่า ก่อนที่จะพลิกข้อมือเบาๆส่งม้วนคัมภีร์นั่นให้ต้วนหลิงเทียน
“ข้าเหน็บกระดาษช่วงที่มีเรื่องของลัทธิบูชาไฟบันทึกไว้ให้พี่ใหญ่แล้ว”
หานเฉวี่ยไน่กล่าวออกอีกครั้ง
ด้วยกระดาษที่เหน็บไว้ด้านข้าง ต้วนหลิงเทียนคลี่คัมภีร์ออกไม่ทันไร ก็ถึงเนื้อหาส่วนดังกล่าว เขาว่ายตาอ่านเนื้อหาที่ว่าทันที
ทว่ายิ่งอ่านไปนานเท่าไหร่ สีหน้าต้วนหลิงเทียนยิ่งบิดเบี้ยวอัปลักษณ์นัก
“ลัทธิบูชาไฟ กลับเป็น 1 ใน 3 ลัทธิของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ทั้งยังเป็นขุมพลังที่เรืองอำนาจอย่างยิ่งในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า…หลังดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าถูกแบ่งออกเป็น 2 ภูมิภาค มันก็สืบสานต่อกันมาที่ภูมิภาคเบื้องบน?”
ต้วนหลิงเทียนรู้เรื่องที่ดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าถูกแบ่งออกเป็น ภูมิภาคเบื้องบน และภูมิภาคเบื้องล่างดี
ในตอนนั้นเขายังคิดเผื่อไว้แล้วด้วยซ้ำว่าลัทธิบูชาไฟอาจเป็นขุมพลังจากภูมิภาคเบื้องบน
อันที่จริงเขาเองก็เตรียมใจรับเรื่องราวไว้แต่แรกแล้ว
เหตุเพราะวันที่พี่สาวฝาแฝดของเค่อเอ๋อปรากฏตัวออกมาและเปิดเผยฐานะ กระทั่ง ตี้จิ่ว จากเผ่าพันธุ์มังกรก็ทำท่าทางคล้ายไม่เคยได้ยินขุมพลังนาม ลัทธิบูชาไฟ มาก่อน
ก่อนหน้านี้แม้ต้วนหลิงเทียนจะรู้ว่าเผ่าพันธุ์มังกรแข็งแกร่ง แต่เขาก็ไม่ได้รู้เรื่องราวอะไรเกี่ยวกับเผ่าพันธุ์มังกรมากนัก
จนกระทั่งเขาไปถึงประเทศฝูเฟิง และตั้งรกรากอยู่ในตระกูลซือถู เขาจึงได้อ่านพบบันทึกเกี่ยวกับเผ่าพันธุ์มังกรในม้วนบันทึกเรื่องราวของตระกูลซือถูที่สืบทอดกันมาแต่โบราณ
เผ่าพันธุ์มังกรนั้นไม่ใช่แค่เป็นขุมพลังชั้น 4 แต่พวกมันยังถือว่าเป็นขุมพลังกึ่งชั้น 3 อีกด้วย!
ถึงแม้กล่าวกันตามหลักแล้วขุมพลังกึ่งชั้น 3 จะยังเป็นแค่ขุมพลังชั้น 4 แต่พลังรบเมื่อเทียบกันแล้วก็แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ!
เรียกว่าแม้จะอ่อนแอกว่าขุมพลังชั้น 3 แต่ก็มีพลังอำนาจลบขุมพลังชั้น 4 ได้ง่ายดาย!
อย่างไรก็ตามกระทั่งตัวตนสำคัญจากขุมพลังเช่นนั้น ยังไม่รู้จักเรื่องราวของลัทธิบูชาไฟ…
วินาทีนั้นต้วนหลิงเทียนก็คาดเดาได้ทันที ว่าบางทีลัทธิบูชาไฟสมควรไม่ใช่ขุมพลังในภูมิภาคเบื้องล่าง แต่เป็นขุมพลังจากภูมิภาคเบื้องบน!
อย่างไรก็ตามแม้เขาจะคิดไว้แล้วว่าลัทธิบูชาไฟอาจเป็นขุมพลังในภูมิภาคเบื้องบน แต่ก็ไม่คิดเลยว่าขนาดในภูมิภาคเบื้องบนมันยังถือเป็นขุมพลังระดับแนวหน้า!
3 ลัทธิ 9 ขุมพลัง ไม่ว่าจะเป็นลัทธิใด ล้วนมีพลังอำนาจอันเบ็ดเสร็จ ยากที่จะมีใดในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าสั่นคลอนได้
ลัทธิบูชาไฟเป็นหนึ่งในนั้น…
หลังได้รับทราบว่าลัทธิบูชาไฟเป็นขุมพลังระดับไหน สีหน้าต้วนหลิงเทียนกลายเป็นหมองคล้ำทันที…
ขุมพลังที่เรืองอำนาจอยู่ ณ จุดสูงสุดของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า?
‘เค่อเอ๋อไปมีสัมพันธ์กับขุมพลังระดับลัทธิบูชาไฟได้อย่างไร กระทั่งมีพี่สาวฝาแฝดจากขุมพลังเช่นนั้นได้?’
ต้วนหลิงเทียนคิดไม่ออกจริงๆ
ลัทธิบูชาไฟคือ 1 ใน 3 ลัทธิทีมีพลังอำนาจสูงสุดในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า
อย่างไรก็ตามเค่อเอ๋อกลับมาป้วนเปี้ยนอยู่แถวบ้านเกิดเขาที่เมืองวายุโปรย?
เมืองวายุโปรยนั้นอย่าว่าแต่ดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า กระทั่งในอาณาจักรนภาล่อง ในทวีปเมฆาล่อง ยังถือเป็นเมืองชนตอนที่เล็กจ้อยที่สุด…
ลัทธิบูชาไฟกับเมืองวายุโปรย เรียกว่าเป็นอะไรที่ห่างไกลกันพันหมื่นแสนลี้!
ทว่าเค่อเอ๋อที่ออกเดินทางจากเมืองวายุโปรยมาพร้อมกันกับเขา กลับมีส่วนเกี่ยวข้องกับลัทธิบูชาไฟ..แถมสตรีหน้าตาที่เหมือนเค่อเอ๋อราวกับแกะผู้ที่อ้างตัวว่าเป็นพี่สาวของนาง…กลับบอกว่ามาจากลัทธิบูชาไฟ!?
เมื่อเห็นสีหน้าที่แปรเปลี่ยนกลับกลายไปของต้วนหลิงเทียน หานเฉวี่ยไน่ก็นิ่งเงียบไม่กล่าววาจา
อารมณ์ของต้วนหลิงเทียนตอนนี้ นางย่อมเข้าใจได้เป็นอย่างดี
ในตอนแรกที่นางไม่รู้ว่าลัทธิบูชาไฟคืออะไร นางก็ไม่ได้รู้สึกอะไรมากนัก
แต่เมื่อนางได้อ่านในคัมภีร์โบราณม้วนนี้ นางจึงค่อยรับทราบว่าที่แท้ดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ยังมีขุมพลังอันน่ากลัวเช่นลัทธิบูชาไฟดำรงอยู่!
นั่นคือมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า! 3 ลัทธิ 9 ขุมพลัง เป็นดั่งมหาอำนาจยักษ์ใหญ่ที่ครองอำนาจเหนือขุมพลังชั้นใดๆในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋ามาแต่ครั้งโบราณ
ในตอนนั้นที่นางทราบเรื่องนี้ นางก็มีคิดไว้แล้วว่าหากพี่ใหญ่หลิงเทียนของนางได้รับทราบเรื่องขุมพลังของสตรีที่มาพาตัวพี่สาวเค่อเอ๋อไปล่ะก็…เขาต้องยากจะรับไหวแน่นอน
เป็นนางคิดถูกจริงๆ
ตอนแรกนางยังคิดด้วยซ้ำว่าจะปกปิดเรื่องลัทธิบูชาไฟนี้จากพี่ใหญ่ของนาง แต่พอนางคิดอีกครั้งก็พบว่านี่เป็นการไม่เหมาะสมสักเท่าไร
เพราะจะช้าจะเร็วพี่ใหญ่หลิงเทียนของนางก็ต้องได้รู้ และเป็นสิทธิ์ของเขาที่จะได้รู้
“พี่ใหญ่หลิงเทียน…”
คราวนี้เรียกว่าถึงตาหานเฉวี่ยไน่กล่าวปลอบต้วนหลิงเทียนบ้างแล้ว
“ข้าไม่เป็นไร”
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวเบาๆ ก่อนที่จะกล่าวบอกหานเฉวี่ยไน่”เฉวี่ยไน่ ช่วยจัดห้องให้ข้าด้วย ข้าอยากพักผ่อนสักหน่อย”
“ได้”
หานเฉวี่ยไน่พยักหน้า ก่อนที่จะพาต้วนหลิงเทียนไปยังห้องหับว่างเปล่า
เมื่อรู้ว่าอารมณ์ของต้วนหลิงเทียนไม่ค่อยจะสู้ดีสักเท่าไหร่ หานเฉวี่ยไน่ก็กล่าวลาต้วนหลิงเทียนทันทีที่ส่งถึงห้อง
เมื่อนางจากมาใบหน้าของนางก็เผยความทุกข์ระทมออกมาเช่นกัน นางรู้สึกว่านางกับพี่ใหญ่หลิงเทียนช่างตกอยู่ในสถานการณ์อันเลวร้ายนัก ต่างเข้าใจความทุกข์ของอีกฝ่ายกันอย่างดี
และพอคิดถึงสถานการณ์ของนางตอนนี้ ใจนางก็หม่นหมองลงถึงขีดสุด
หากนางเลือกที่จะหนี นางก็อาจจะหลบหนีไปจากคฤหาสน์คลื่นขจีได้ไม่ยาก…เพราะบิดาของนางเป็นคนที่ตระเตรียมหนทางหนีให้นางเอง ทั้งยังพยายามกล่าวให้นางหนีไปแล้ว แต่เป็นนางที่ไม่อาจละทิ้งคฤหาสน์คลื่นขจีไปได้
ในคฤหาสน์คลื่นขจี หานซิ่นกับคนอื่นๆนั้นนางไม่ได้แยแสแม้แต่น้อย
หากแต่นางใส่ใจบิดาของนางกับลุงมู่นัก
ด้วยเหตุนางจึงปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าวและเลือกที่จะอยู่ที่นี่
“ข้าไม่อยากจะเชื่อจริงๆ ว่าข้าหานเฉวี่ยไน่กลับมีวันนี้ได้…หากข้ารู้ว่าหานซิ่นเป็นจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์เช่นนี้ข้าจักมิสนใจมัน! หากวันนั้นข้าไม่ไปหามัน ข้าคงไม่ต้องพบกับนายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องนั่น!”
เมื่อไหร่ก็ตามที่คิดถึงเรื่องนี้ หานเฉวี่ยไน่รู้สึกเสียใจไม่น้อย
อย่างไรก็ตามหานเฉวี่ยไน่รู้ดี ว่าคำ ‘กัดไม่ปล่อย’ เป็นอย่างไร…แม้วันนั้นนางจะคลาดกับนายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง แต่หานซิ่นก็คงมีหนทางอีกมากมายที่จะทำให้นายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องสนใจในตัวนาง
อันที่จริงไม่ต้องอะไรมากมาย แค่ภาพเหมือนของนางใบเดียวก็เกินพอ…
เมื่อหานเฉวี่ยไน่จากไป ต้วนหลิงเทียนก็นั่งขัดสมาธิบนเตียงด้วยความอื้ออึง ในใจเต็มไปด้วยเรื่องราวของเค่อเอ๋อ
ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปพักหนึ่ง เขาก็ตระหนักได้ว่า ถึงคิดไปตอนนี้ก็ป่วยการ จึงเลิกจมอยู่กับความสับสน ‘เค่อเอ๋อจะอย่างไรก็ถูกพี่สาวฝาแฝดของนางพาตัวไป แถมไม่คล้ายนางจะคิดทำร้ายเค่อเอ๋อแต่อย่างไร…ข้าแค่หวังว่านางจะมีเมตตาไม่ทำร้ายลูกในท้องเค่อเอ๋อด้วย’
จนถึงตอนนี้ต้วนหลิงเทียนยังจดจำโทสะของสตรีนางนั้นได้ดี ยามที่นางคนพ้บว่าเค่อเอ๋อตั้งครรภ์ลูกเขา
ยังคล้ายนางจะลงมือฆ่าเขาให้ตายทันทีด้วยซ้ำ!
“บ่มเพาะ! สั่งสมพลัง!”
เมื่อคิดว่าเค่อเอ๋อสมควรถูกนำตัวไปยังภูมิภาคเบื้องบนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ต้วนหลิงเทียนก็คิดได้แต่ว่าต้องเร่งบ่มเพาะพลังเท่านั้น!
เท่าที่เขารู้มาหากคิดจะผ่าน ‘กำแพง’ ที่กั้นขวางระหว่างภูมิภาคเบื้องบนกับภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าเอาไว้ อย่างน้อยๆพลังฝึกปรือต้องบรรลุขอบเขต อริยะเซียนก่อนเท่านั้น หาไม่แล้วก็เป็นไปไม่ได้เลย…
มีเพียงผู้ฝึกตนที่มีพลังฝึกปรือตั้งแต่อริยะเซียนขั้นต้นขึ้นไปเท่านั้น ถึงจะสามารถเดินทางผ่าน ‘กำแพง’ ดังกล่าว สัญจรไปมาระหว่างภูมิภาคเบื้องบนและภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าได้อย่างอิสระ…
“เค่อเอ๋อ…รอข้าก่อน สักวันข้าจะไปช่วยเจ้ากับลูกให้จงได้!”
ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อใด ในแววตาของต้วนหลิงเทยนคล้ายมีเพลิงระอุขุมหนึ่งกำลังลุกโหมขึ้นมา เขาวูบร่างเข้าเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ ทั้งเดินขึ้นไปยังชั้น 3 ทันที
‘หวังว่าปิดด่านบ่มเพาะคราวนี้ข้าจะบังเกิดความก้าวหน้า…หากกระทั่งขอบเขตเซียนข้ายังไม่อาจทะลวงถึง ข้าจะเอาปัญญาสามารถที่ไหนไปช่วยเฉวี่ยไน่’
การปิดด่านบ่มเพาะครั้งนี้ ต้วนหลิงเทียนนับว่ามีแรงกดดันมหาศาลนัก
ยังห่างไกลนักสำหรับเขาที่คิดจะช่วยเหลือเค่อเอ๋อ หากแต่สถานการณ์ที่เฉวี่ยไน่เผชิญอยู่ตอนนี้เรียกว่า ไฟไหม้คิ้วแล้ว
(*ไฟไหม้คิ้ว ก็คล้ายๆ ไฟลนก้นบ้านเรา)