ตอนที่ 267 มีคนยื่นหมอนให้
หลินเว่ยเว่ยและเจียงโม่หานบังคับเกวียนเทียมล่อกลับถึงบ้าน เมื่อนางเฝิงที่กำลังทำเนื้อแผ่นเห็นทั้งสองกลับมาแล้วก็รีบเข้าไปดึงตัวหลินเว่ยเว่ยทันที “ช่วงนี้เนื้อแผ่นของร้านขายขนมและผลไม้อบหนิงจี้เป็นที่ต้องการมาก เนื้อหมูป่าในห้องใต้ดินมีพอให้ใช้นานสุด 3 วัน เจ้าว่า…”
“ต่อไปปริมาณเนื้อแผ่นที่ส่งไปยังร้านหนิงจี้ต้องควบคุมปริมาณไม่ให้เกิน 100 ชั่งต่อวัน ของยิ่งหายากราคาก็ยิ่งสูง หากปริมาณยิ่งมากของก็ยิ่งหาได้ง่ายขึ้น สิ่งที่เราต้องการคืออุปสงค์จากตลาดที่กำลังหิวโหย หากเป็นเนื้อ…ข้าจะลองหาทางล่าให้มากที่สุด ! ”
แม้ว่าหลินเว่ยเว่ยจะตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว ทว่าในใจยังคงกลัดกลุ้มไม่น้อย หมูป่าบนภูเขาของหมู่บ้านฉือหลี่โกวถูกนางล่าแทบหมดสิ้น นางจึงเหลือหมูพันธุ์หนึ่งคู่และลูกหมูป่าตัวเล็ก ๆ ไว้บนภูเขาทุกลูกเพราะยังต้องให้ความสำคัญต่อการขยายพันธุ์ จะหวังแต่ผลประโยชน์โดยไม่คำนึงถึงผลในระยะยาวไม่ได้
จะทำอย่างไรดี ? หรือว่านางต้องเข้าไปสำรวจในภูเขาลึกกว่าเดิม ? ประการแรกคือระยะทางไกลเกินไป ไม่สามารถกลับออกมาได้ภายในวันเดียว ประการที่สองคือในภูเขาลึกใครเล่าจะรู้ว่ามีสิ่งใดซ่อนอยู่ ? จากคำบอกเล่าของคนรุ่นเก่าคือภูเขาต้าชิงแห่งนี้เคยมีเสือเดินลงจากเขาอย่างองอาจและดุดัน !
แม้ว่านางจะแข็งแกร่ง ทั้งยังได้เรียนรู้วิชาไม้กระบองแบบแมวสามขา1จากหลีชิงมาแล้ว แต่เมื่อเผชิญหน้ากับสิ่งที่ไม่อาจล่วงรู้ย่อมรู้สึกหวาดกลัวอยู่บ้าง หลีกเลี่ยงการพลาดตกหลุมพรางได้ยาก ! บัณฑิตหนุ่มพูดถูกว่าชีวิตของตนสำคัญกว่าเงินทอง !
ในตอนที่หลินเว่ยเว่ยกำลังกลุ้มใจว่าจะไปหาเนื้อมาทำเนื้อแผ่นจากที่ใดนั้น ผู้ใหญ่บ้านก็พาชายชรารูปร่างซูบผอมคนหนึ่งมาเยือนถึงหน้าบ้าน
หลินจื่อเหยียนวางตำราในมือลง ก่อนจะเอ่ยทักทายผู้ใหญ่บ้าน “ผู้ใหญ่บ้าน เชิญเข้ามานั่งด้านในก่อน ไม่ทราบว่ามาเยือนคราวนี้มีธุระอันใดหรือ ? ”
ผู้ใหญ่บ้านโบกมือไปมา “ธุระอันใดกันเล่า ? อย่าคิดว่าผู้ใหญ่บ้านจะเป็นปัญญาชนผู้มากความรู้เช่นเจ้าสิ พี่รองของเจ้าอยู่บ้านหรือไม่ ? ”
หลินเว่ยเว่ยเดินออกมาจากในห้องพลางส่งยิ้มให้ชายสูงวัย “อยู่ ! ผู้ใหญ่บ้านมาหาข้ามีธุระอันใดหรือ ? ”
“สาวน้อยใจแคบผู้นี้ ! ข้าไม่มี ‘ธุระ’ ก็มาหาเจ้าไม่ได้หรือไร ? ” ผู้ใหญ่บ้านนั่งลงข้างโต๊ะหินในศาลาแล้วผายมือให้ชายชราผอมแห้งผู้นั้นนั่งลงด้วย
“ได้สิ ! เหตุใดจะไม่ได้ ? ” หลินเว่ยเว่ยถือจานขนมสำหรับต้อนรับแขกชุดหนึ่งออกมา “ท่านก้าวผ่านธรณีประตูบ้านของเรามาแล้ว เราต้องต้อนรับเสมือนแขกคนหนึ่ง ! ”
ผู้ใหญ่บ้านชี้ไปทางนาง ก่อนจะหัวเราะพลางกล่าวว่า “เด็กคนนี้ เจ้าและพี่สาวก็หมั้นหมายกันไปแล้ว ข้าจะมาเยือนประตูบ้านของเจ้าเพื่อเหตุใดได้บ้าง ? ”
หลินเว่ยเว่ยชี้ไปทางน้องสามโดยไม่คำนึงถึงความจริง หลินจื่อเหยียนแสดงสีหน้าตื่นตกใจทันใด “ข้า…ข้ายังเด็กอยู่เลย ! เรื่องสำคัญที่สุดในตอนนี้คือเตรียมตัวสอบปีหน้า พี่รอง ท่านอย่าโยนมาให้ข้า ! ”
หลังจากที่เจียงโม่หานบุรุษรูปงามในหมู่บ้านได้หมั้นหมายไปแล้ว สถานะชายโสดผู้ร่ำรวยของหลินจื่อเหยียนจึงโดดเด่นตามไปด้วย หญิงสาวบางคนเบนเป้าหมายมาเป็นเขา โชคดีที่เขาไม่ชอบไปอ่านตำราบนภูเขาเหมือนศิษย์พี่เจียงจึงลดการเผชิญหน้าและการโดนห้อมล้อมได้มากทีเดียว
เขายังสามารถออกจากบ้านได้หรือไม่ ? ทุกครั้งที่ออกนอกบ้านก็มักมีเด็กสาวตัวน้อยแต่งกายเรียบร้อยและเหนียมอายเดินตามหลังเสมอ
เด็กสาวเหล่านั้นเพิ่งจะอายุได้เพียงสิบปีเท่านั้น แต่ละคนยังเปรียบเสมือนผลไม้ไม่สุกงอมแต่รีบร้อนอยากถูกเด็ดชิมเสียอย่างนั้น ไม่ต้องเอ่ยก็รู้ว่าเป็นฝีมือของพวกผู้ใหญ่ในครอบครัวที่สั่งสอนเรื่องเหล่านี้ให้
เมื่อเกิดขึ้นสองสามครั้ง หลินจื่อเหยียนจึงปิดประตูขังตนเองอยู่ภายในบ้าน ไม่ออกไปข้างนอกอีก เขาไม่กล้าข้ามผ่านธรณีประตูออกไปเหมือนพวกพี่สาว ดังนั้นจึงมักจะถูกพี่รองผู้ไร้น้ำใจหัวเราะเยาะเสมอ ! มันกำลังเริ่มขึ้นอีกแล้ว !
ผู้ใหญ่บ้านมองไปทางสองพี่น้องด้วยรอยยิ้ม หลินเว่ยเว่ยยังหยอกล้อกับน้องชายตัวดีอีกครู่หนึ่ง กระทั่งเห็นชายชราซูบผอมท่านนี้จึงเอ่ยว่า “ผู้ใหญ่บ้าน ท่านนี้คือ ? ”
รอยยิ้มที่แต้มบนใบหน้าของผู้ใหญ่บ้านเบาบางลงเล็กน้อย “เขาคือน้องชายของข้าเอง ผู้ใหญ่บ้านแห่งหมู่บ้านต้าฝางจวง…”
น้องชายของผู้ใหญ่บ้าน ? รอยย่นปรากฏอยู่บนใบหน้าของชายชราผอมแห้ง เส้นผมแทบจะขาวโพลนทั่วทั้งศีรษะ มองแล้วดูมีอายุมากกว่าผู้ใหญ่บ้านของเราเสียอีก
ผู้ใหญ่บ้านต้าฝางจวงทอดถอนใจ ใบหน้าที่ผ่านชีวิตมาอย่างโชกโชนได้แสดงความกลัดกลุ้มออกมา “ข้าเองก็หมดหนทางแล้วจริง ๆ จึงมาขอร้องหลินกู่เหนียงถึงที่ ! ”
“ท่านปู่ ท่านอย่าเพิ่งร้อนใจไปเลย ท่านมีเรื่องใด หากช่วยได้ ข้าก็จะช่วย” หลินเว่ยเว่ยรินน้ำหวานถ้วยหนึ่งให้ชายชรา ไม่ใช่เพราะนางตระหนี่ถี่เหนียวใบชาชั้นดีหรอก แต่นางคิดว่าชายชราผู้นี้ต้องการปริมานน้ำตาลให้ร่างกายมากกว่า
ผู้ใหญ่บ้านต้าฝางจวงมองพิจารณารูปร่างของนาง…นางคงจะอดทนและพยายามอย่างไม่ลดละจึงลดน้ำหนักได้สำเร็จเช่นนี้ นางมักจะทำกิจกรรมบนภูเขาอยู่บ่อยครั้ง แขนขาทั้งสี่จึงเรียวเล็กลงมาก ร่างกายสมส่วนดี กอปรกับรูปร่างสูงโปร่งที่สามารถมองข้ามศีรษะหญิงสาวทุกคนในหมู่บ้านได้ เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็ล้วนขับให้เห็นสัดส่วนทรวดทรงอย่างชัดเจน
ผู้ใหญ่บ้านต้าฝางจวงมองไปทางกู่เหนียงตรงหน้า เขาจะกล้าดึงนางมาเกี่ยวข้องกับเรื่องฆ่าหมูป่าได้อย่างไร ความต้องการที่สุมอยู่ในอกจึงไม่รู้ว่าจะเอ่ยปากขอร้องออกมาอย่างไรดี
สุดท้ายแล้วผู้ใหญ่วังจึงพูดแทนน้องชาย “หมู่บ้านต้าฝางจวงประสบปัญหาหมูป่ารุกราน หมูป่าลงจากเขามาทำลายหมู่บ้านอยู่บ่อยครั้งจนทำให้มีคนบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก กำแพงหมู่บ้านก็พังทลาย ตกกลางคืนก็ไม่กล้าเข้านอนเพราะกลัวว่าหมูป่าจะเข้ามากัดคนในบ้าน…น้องชายของข้าได้ยินว่าเจ้าสามารถฆ่าหมูป่าได้ด้วยมือเปล่าจึงอยากให้เจ้าไปช่วยไล่หมูป่า… ”
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ เขาก็เอ่ยต่อด้วยความเกรงใจ หมูป่าร้ายกาจมาก หมาป่าตัวเดียวก็ยังเอาชนะมันไม่ได้ แล้วนับประสาอันใดกับกู่เหนียงคนหนึ่ง ต่อให้นางแข็งแกร่งมากเพียงใด เมื่อเผชิญหน้ากับหมูป่าจะเอาชีวิตรอดกลับมาได้สักกี่ครั้งกันเชียว ?
ทันทีที่หลินเว่ยเว่ยได้ยินเช่นนั้น หัวคิ้วก็เลิกสูงขึ้น…กำลังสัปหงกก็มีคนยื่นหมอนให้ กำลังกลุ้มใจก็มีคนเสนอโอกาสดีมาวางถึงที่ ! นางจึงรีบพูดว่า “ท่านปู่ หมูป่าที่มารุกรานหมู่บ้านของท่านมีจำนวนเท่าไหร่ ? ”
ผู้ใหญ่บ้านต้าฝางจวงทอดถอนใจและตอบว่า “หากมีแค่ตัวสองตัว เราสามารถระดมชายหนุ่มกำยำทั้งหมู่บ้านก็ยังพอรับมือได้ ชายหนุ่มที่ได้รับบาดเจ็บในหมู่บ้านบอกว่าหมูป่าจากภูเขาที่โตเต็มวัยมีจำนวนอย่างน้อยเจ็ดแปดตัว ! ”
ผู้ใหญ่บ้านต้าฝางจวงถอนหายใจออกมา คิดว่าตนมาผิดที่เสียแล้ว ! หมูป่าโตเต็มวัย 7-8 ตัว ขนาดระดมคนที่แข็งแกร่งทั้งหมดในหมู่บ้านต้าฝางจวงมาช่วยกันก็ยังขัดขวางไม่สำเร็จ แล้วนางจะทำอันใดได้ ? ไม่เป็นการส่งนางไปตายหรอกหรือ ?
“แต่แรกเริ่มเจ้าไม่ได้บอกว่ามีหมูป่ามากถึงเพียงนี้” ถ้าบอกก่อน เขาก็ไม่มีทางบากหน้าพาน้องชายมาขอความช่วยเหลือจากหลินเว่ยเว่ยเด็ดขาด !
ผู้ใหญ่บ้านต้าฝางจวงกล่าวด้วยสีหน้าตื่นตระหนก “ท่าน….ท่านไม่ได้ถามข้านี่ ! ”
หมูป่า 7-8 ตัว ! นัยน์ตาของหลินเว่ยเว่ยเปล่งประกายทันใด จากนั้นก็เอ่ยถามว่า “มีเวลาที่หมูป่าบุกเข้ามาในหมู่บ้านแบบแน่นอนหรือไม่ ? ”
ผู้ใหญ่บ้านต้าฝางจวงเห็นกู่เหนียงตรงหน้าไม่ได้แสดงท่าทีขุ่นเคืองจึงพยักหน้ารับ “โดยทั่วไปพวกมันจะเข้ามาช่วงพลบค่ำ หากในหมู่บ้านไม่มีอาหาร พวกมันก็ไม่ยอมเดินไปที่อื่น ตรงกันข้ามคือเดินเตร่อยู่ในหมู่บ้าน บางครั้งก็อยู่ทั้งคืนกระทั่งฟ้าสว่างจึงยอมกลับไป…”
“แล้วเส้นทางที่พวกมันใช้เข้ามาในหมู่บ้านอยู่ตรงไหน ? ” หลินเว่ยเว่ยเอ่ยถามเพิ่มเติม
ผู้ใหญ่บ้านต้าฝางจวงครุ่นคิด จากนั้นก็ส่ายหน้าและกล่าวว่า “เรื่องนี้ข้าไม่รู้จริง ๆ เพราะตอนที่หมูป่ามาถึง ทุกคนก็เอาแต่ซ่อนตัวไม่กล้าออกไป จึงไม่มีใครรู้ว่ามันมาจากทางไหนและกลับไปทางใด”
หลินเว่ยเว่ยครุ่นคิดแล้วกล่าวว่า “พรุ่งนี้ข้าจะไปดูที่หมู่บ้านต้าฝางจวงกับท่าน ! ท่านวางใจเถิด ท่านปู่ ถ้าช่วยได้ข้าต้องช่วยแน่นอน ! ”
1 แมวสามขา หมายถึง รู้แบบงู ๆ ปลา ๆ ไม่ได้ชำนาญมากนัก