บทที่ 321 คิดถึง

บทที่ 321 คิดถึง

ได้สัมผัสอกกว้างของชายหนุ่มที่คุ้นเคยยิ่งแล้ว ชิงอวี่ก็รู้สึกราวกับว่ามันผ่านไปนานมาก

พวกนางไม่ได้พบหน้ากันนานแล้วจริง ๆ!

ตั้งแต่วันที่นางถูกพามายังยอดเขาใจสงบ เรื่องทั้งหมดก็ผ่านมาเกือบสองสัปดาห์แล้ว

ให้ความรู้สึกว่าเวลาที่ได้ใช้ร่วมกันมันสั้นยิ่งนัก

ชิงอวี่เอื้อมมือออกไปโอบเอวแกร่งช้า ๆ เผยสีหน้าโอนอ่อนยอมตามอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน แนบแก้มกับอกกว้างราวกับสัตว์ตัวน้อยตัวหนึ่ง เผยน้ำเสียงอ่อนโยนเป็นยิ่งนัก

“ข้าเองก็คิดถึงท่านมากเช่นกัน”

แต่เมื่อนางพูดจบ ร่างของโหลวจวินเหยาก็แข็งค้างไป เขาค่อย ๆ คลายอ้อมแขน แล้วก้มมองเด็กสาว มองดวงหน้างดงามด้วยความแคลงใจ ก่อนจะยกนิ้วขึ้นเคลียแก้มนาง “เจ้าบอกว่าคิดถึงข้างั้นหรือ?”

ชิงอวี่กะพริบตาสับสนกับคำถาม แต่ก็ยังพยักหน้าตอบ

พริบตาต่อมา นัยน์ตาเขาก็เปลี่ยนไป นิ้วมือที่คลอเคลียแก้มเคลื่อนไปที่คาง จากนั้นก็เชยมันขึ้นแล้วโน้มใบหน้าหล่อเหลาเข้ามา

“อื้อ..”

ชิงอวี่เบิกตากว้างไม่ทันระวังตน

จุมพิตดุดันรุนแรงโถมเข้ามาโดยไร้คำเตือน ยังไม่ทันได้ตอบโต้ก็สับสนงุนงง โดนอีกฝ่ายโอบล้อมไว้ทั้งหมด ได้แต่ยอมโอนอ่อนผ่อนตาม

เจ้าอสูรน้อยในอ้อมแขนของนางถูกอ้อมกอดแน่นของชายหนุ่มทำให้อึดอัด พยายามดิ้นร่างไปมา ส่งผลให้ชิงอวี่ดึงสติกลับมาได้

จนเมื่อตั้งสติได้แล้วนางจึงรู้ว่าตนอยู่ที่ไหน

และหากจำไม่ผิด เหลียนซือชุดขาวก็ยืนอยู่ข้าง ๆ นาง หากแต่เจ้าหมอนี่ก็ไม่คิดอ่านสถานการณ์ พุ่งเข้ามาคว้าตัวแล้วจูบนางทันใด!

คิดแล้วชิงอวี่ก็ทั้งโกรธทั้งอาย หากแต่ชายหนุ่มกลับไม่มีความคิดจะหยุดยั้ง นางโกรธมากจนปิดปากสนิทแล้วกัดริมฝีปากเขา เมื่อรู้สึกเจ็บบ้างเขาถึงได้ปล่อยนางสักที

แม้จะยังโกรธ แต่ชิงอวี่ย่อมไม่กล้ากัดแรง ไม่อาจหักใจทำเขาบาดเจ็บ เพียงแต่ให้เขารู้สึกเจ็บเท่านั้น

เห็นนัยน์ตาสับสนเจือแววโศกเศร้าของเขาแล้ว ชิงอวี่ก็ตวัดสายตาโกรธมองเจ้าตัว เอ่ยขึ้นเสียงต่ำ “ท่านไม่เห็นหรือว่ามีคนอยู่ตั้งเท่าไหร่? ไม่รู้จักยับยั้งตนเองบ้างหรือ?”

โหลวจวินเหยายิ่งมีสีหน้าเศร้าโศก “ก็เจ้าบอกว่าคิดถึงกัน”

“แล้วคิดถึงมันเกี่ยวอะไรกับจูบเล่า?”

“ย่อมมีความเชื่อมโยงกัน เจ้าไม่รู้สึกถึงความคิดถึงของข้ายามจุมพิตกันเมื่อครู่งั้นหรือ?”

ชิงอวี่ “…..” นี่มันเรื่องไร้สาระอะไรกัน

เห็นสีหน้าพูดไม่ออกบอกไม่ถูกของนางแล้ว โหลวจวินเหยาก็หัวเราะเสียงเบาออกมา ก่อนจะเอื้อมแขนออกไปรั้งร่างนางมากอดแน่นแล้วเอ่ยเสียงอ่อนโยน “เอาล่ะ ๆ ไม่แกล้งเจ้าแล้ว ข้าเพียงอยากจูบเจ้าก็เท่านั้น จึงทำตามที่ใจสั่งมา”

“อย่างไรก็ต้องดูสถานการณ์ก่อนไม่ใช่หรือ?” ชิงอวี่งึมงำเสียงเบา

“ใช่แล้ว ครั้งหน้าข้าจะหาที่ลับตาคนก่อนค่อยจูบเจ้าก็แล้วกัน เจ้าจะได้หาข้ออ้างไม่ได้อีก” โหลวจวินเหยาเอ่ยเย้า

พลันมีเสียงหัวเราะดังขึ้น

เป็นตอนนั้นเองที่โหลวจวินเหยาสังเกตเห็นชายหนุ่มข้างกายนาง เขาส่งสายตามองประเมินไปยังอีกฝ่าย พลันรู้ถึงบางอย่าง นัยน์ตาคมเฉียบ เอ่ยปากขึ้นว่า “ท่าน…..”

ทำไมถึงได้มีกลิ่นอายคุ้นเคยเช่นนี้?

ทั้งยังมีนัยน์ตาสีม่วงเหมือนกันอีก เขาย่อมรู้ดีว่ามันหมายความว่าอย่างไร

แต่ก็ไม่คิดว่าจะได้มาเจอกันในสถานที่เช่นนี้ได้

เหลียนซือชุดขาวยกยิ้มขึ้น “ได้เจอคนเผ่าเดียวกันตอนที่ยังมีชีวิตอยู่อย่างนี้ ทำให้ข้าดีใจนัก”

โหลวจวินเหยาได้ยินแล้วสีหน้าก็ทะมึนลงเล็กน้อย ก่อนมองพิจารณาชายหนุ่มตรงหน้า

คนตรงหน้าเขาผู้นี้ ไม่เคยพบมาก่อนแน่นอน แล้วทำไมถึงได้รู้สึกคุ้นเคยนัก? ถึงขนาดที่รู้สึกว่าราวกับจะมีสายเลือดเดียวกันด้วยซ้ำ…..

ชิงอวี่เห็นโหลวจวินเหยาดูสงสัยแล้วจึงเอ่ยปากขึ้นว่า “ไม่เคยได้ยินเรื่องทายาทเผ่าปีศาจที่ทรงพลังและลึกลับ ผู้ที่ถือกำเนิดขึ้นเมื่อล้านปีก่อนหรือ?”

โหลวจวินเหยาชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้า “ทำไมหรือ?” เขาเคยได้ยินตำนานเรื่องชายหนุ่มมาก่อน

“นั่นล่ะคือเขา” ชิงอวี่ใช้คางชี้ไปยังเหลียนซือชุดขาว

โหลวจวินเหยาเบิกตากว้างเล็กน้อยอย่างไม่อยากเชื่อ ก่อนจะหันไปมองชายหนุ่มที่มีรอยยิ้มน้อย ๆ แล้วเอ่ยปากถามขึ้นช้า ๆ “ท่านคือเหลียนซือหรือ?”

ชายหนุ่มยิ้มแล้วพยักหน้า “ใช่แล้ว”

“ท่านมีชื่อเสียงไม่น้อยเลย” ชิงอวี่เอ่ยขึ้นด้วยเสียงประหลาดใจ

นางพูดไปแค่ไม่กี่คำ แต่โหลวจวินเหยากลับบอกชื่ออีกฝ่ายได้แล้ว ดูท่าในอดีตจะเป็นคนมีชื่อเสียงไม่น้อย!

โหลวจวินเหยาตกใจเล็กน้อยก่อนจะมุ่นคิ้ว “ไม่สิ นอกจากดวงตาแล้ว ท่านก็ไม่มีกลิ่นอายเผ่ามารทมิฬแม้แต่นิดเดียว หรือท่านจะเป็น….. เศษวิญญาณที่หลงเหลืออยู่หรือ?”

“เห็นได้ชัดเจนขนาดนั้นเลย?” เหลียนซือชุดขาวส่ายหน้าจนใจ “ใช่แล้ว ทายาทเผ่าปีศาจในตอนนี้ ควรจะเป็นคนตรงนั้นมากกว่า”

ว่าแล้ว เหลียนซือชุดขาวก็ชี้นิ้วไปด้านข้าง ชี้ไปทางชายหนุ่มที่กำลังต่อสู้อยู่กับเหยี่ยนพั่ว

โหลวจวินเหยาจึงขยับไปมอง เห็นใบหน้าที่ดูเหมือนกับชายหนุ่มตรงหน้าไม่มีผิด

เหลียนซือชุดขาวไม่ตอบคำถามโหลวจวินเหยา หันไปมองชิงอวี่แล้วพูดขึ้นยิ้ม ๆ “เจ้าตัวเล็ก ข้าเหลือเวลาไม่มากแล้ว เราต้องใช้เวลาที่เหลืออยู่ทั้งหมดทำคำขอที่เจ้าขอข้าไว้ให้เป็นจริง”

ชิงอวี่พยักหน้าตอบคำ “อย่างไรก็ตามแต่ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องแยกทั้งสองคนออกจากกันก่อน เพราะมีเพียงพวกเขาที่รู้ว่าตอนนี้หมิงเยว่อยู่ที่ไหน”

ราวกับว่าเหลียนซือชุดดำถูกปีศาจเข้าสิง ทุกการโจมตียิ่งดุร้ายขึ้นเรื่อย ๆ เหยี่ยนพั่วเริ่มป้องกันแรงโจมตีไม่ไหว ได้รับบาดเจ็บหนักหลายที่ แทบจะเหลือเพียงลมหายใจเฮือกสุดท้าย หากเป็นเช่นนี้ต่อไปและยังไม่มีใครมาหยุดยั้งเขาไว้ นางก็คงถูกเหลียนซือชุดดำสังหารเป็นแน่

แม้เขาไม่เข้าใจว่าทั้งสองคนพูดอะไรกัน อย่างน้อยเขาก็เข้าใจว่าจะปล่อยให้สตรีที่กำลังต่อสู้อยู่ตายไปตอนนี้ไม่ได้

จึงส่งสายตาไปยังทิศทางหนึ่ง แสงสีขาวพลันพุ่งออกมาด้วยความเร็วแสง พริบตาต่อมา ปีศาจน้อยก็อุ้มร่างสตรีใกล้ตายไว้ ก่อนจะโยนร่างนางทิ้งบนพื้นอย่างไม่ใส่ใจ

เหยี่ยนพั่วในตอนนี้อ่อนแอเป็นยิ่งนัก ดวงตาราวกับเห็นภาพหลอน แต่ก็สัมผัสได้ว่าตนเองปลอดภัยแล้ว สองมือจึงขยับไปมา คล้ายกับจะใช้วิชาลับบางอย่างเพื่อหลบหนี

หากแต่สองมือกลับถูกชิงอวี่จองจำไว้ วิชาที่หมายจะใช้พลันล้มเหลว

เหยี่ยนพั่วกัดฟันแน่น ตวัดสายตามองเด็กสาวด้วยความโกรธ “เจ้าคิดจะทำอะไร?”

“ท่านอย่าห่วง ข้าไม่สังหารท่านหรอก เพียงแต่อยากให้ท่านนำทางไปหาหมิงเยว่ ท่านต้องรู้แน่ว่านางอยู่ที่ไหน!” ชิงอวี่พูดพลางก้มหน้าลงมองอีกฝ่าย

เหยี่ยนพั่วก้มหน้าลงถุยน้ำลายลงพื้น “ฝันไปเถอะ ข้าไม่มีทางทรยศเจ้าเหนือหัว!”

“ข้ารู้ว่าท่านภักดีไม่กลัวความตาย แต่ท่านน่าจะรู้ดีว่าในโลกนี้ ความตายเป็นเรื่องง่ายดายนัก แต่การใช้ชีวิตที่ตายเสียดีกว่าอยู่ถึงจะเป็นเรื่องน่ากลัวที่แท้จริง”

ชิงอวี่ยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มไร้แววขัน “ท่านแม่ของข้าเป็นนักปรุงยา สามารถรักษาอาการป่วยช่วยชีวิตคนได้ ข้าย่อมมีความสามารถเช่นเดียวกันกับนาง แต่แทนที่จะเป็นการรักษาชีวิต ข้ากลับเก่งกาจในเรื่องการเอาชีวิตมากกว่า เชี่ยวชาญหลากหลายวิธีในการทำให้คนรู้สึกว่าตายเสียยังดีกว่ามีชีวิตอยู่”

“จะว่าไปแล้ว ข้าอยากรู้จริงว่าพวกท่านเอาท่านแม่ขังไว้ที่ใด”

เหยี่ยนพั่วหัวเราะเยาะหยัน “เจ้าเลิกหวังไปได้เลย เจ้าไม่มีวันได้เจอท่านแม่ของเจ้าอีกแน่”

“หมายความว่ายังไง?” ชิงอวี่ขมวดคิ้วแน่น

“นางหนีออกไปได้ หลงเข้าไปในพื้นที่ต้องห้ามของยอดเขาใจสงบ ผ่านไปสามวันสามคืนแล้ว แม้แต่ศพก็คงหาไม่พบหรอก” เหยี่ยนพั่วพูดด้วยน้ำเสียงชั่วร้าย

ใบหน้าชิงอวี่พลันเผยแววเยียบเย็น นางสะบัดมือบีบคอคนตรงหน้า “หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับท่านแม่ อย่าคิดเลยว่าจะรอด!”

เหยี่ยนพั่วถูกบีบคอไว้จนหายใจไม่ออก สีหน้าแดงฉาน เห็นเช่นนั้นแล้ว โหลวจวินเหยาจึงรีบดึงมือนางไว้ “อย่าห่วงเลย อาหลานต้องไม่เป็นไรแน่ พ่อของเจ้าเองก็เดินทางมาด้วย เขาล่วงหน้ามาก่อน ตอนนี้คงพบกับอาหลานแล้ว”

“งั้นหรือ?” ชิงอวี่เงยหน้าขึ้นมองด้วยสายตาที่ยังระบายไปด้วยความกังวล

โหลวจวินเหยาจึงเอ่ยปลอบเสียงเบา “เจ้าเชื่อข้าเถอะ”

ชิงอวี่เงยหน้ามองเขาแล้ว ก็ดูวางใจขึ้นเล็กน้อย

และคนกลุ่มเล็กที่ตอนแรกอยู่ไกล ๆ ก็ค่อย ๆ เดินเข้ามา

เป็นตอนนั้นที่ชิงอวี่สังเกตเห็นกลุ่มคน จากนั้นก็เห็นคนผิวขาวในชุดสีดำ อดเอ่ยเสียงประหลาดใจขึ้นมาไม่ได้ “เสี่ยวเยี่ย….. เจ้ามาทำอะไรที่นี่!?”

ครั้งล่าสุดที่เจอกัน ก็เป็นเมื่อตอนอยู่ที่อารามจันทร์กระจ่าง จู่ ๆ เขาก็มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า เอ่ยคำพูดแปลก ๆ แล้วก็จากไป

ได้มาเกิดอีกครั้งหนึ่งแล้ว อาจเพราะพวกนางได้มีตัวตนที่แตกต่างจากเดิม มีฐานะที่แตกต่างกัน เขาจึงไม่ใช่องครักษ์คุ้มครองนางผู้เงียบงันที่คอยอยู่ข้างกายนางอีกต่อไป นางเองก็ได้พบคนรู้ใจ และทำความรู้จักกับเพื่อน ๆ อีกหลายคน ทำให้รู้สึกว่ามีบางอย่างได้เปลี่ยนไปอย่างเงียบ ๆ

แม้ว่าในอดีตนางกับเขาจะไร้ความลับต่อกัน เป็นคนที่สามารถหันหลังให้ได้อย่างไร้กังวล แต่ได้เห็นเขาในตอนนี้ นางกลับรู้สึกว่าเขาดูไม่คุ้นเคยมากขึ้นเรื่อย ๆ

นางมาที่นี่เพียงเพราะท่านแม่ถูกจับตัวไว้ ดังนั้นจึงไร้ทางเลือก จำต้องเดินทางมา

แต่ชิงเยี่ยหลี ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้?

จากแดนมุกหยกในตอนแรก และมายังยอดเขาใจสงบในตอนนี้ ดูเหมือนเขาจะล้ำลึกขึ้นกว่าแต่ก่อน แต่จู่ ๆ กลับโผล่ขึ้นมาข้างกายนางเสียอย่างนั้น

หรือจะเป็นเพราะพลังในตํานานที่สามารถทำให้คนเราแข็งแกร่งขึ้นได้……

เวลาเปลี่ยน ทุกอย่างก็ต้องเปลี่ยน

ทว่านางไม่อยากให้เขาเปลี่ยนไป

มันเป็นความเปลี่ยนแปลงที่บังเกิดจากความตายของนาง เขาข้ามโลกมาตามหาทางอย่างไม่ลดละ หากกระทั่งเขายังเปลี่ยนแปลงไป นางก็ไม่รู้ว่าจะมีสิ่งใดที่จะยังคงอยู่โดยไร้ความเปลี่ยนแปลงไปตลอดแล้ว

“เสี่ยวอวี่ ดีใจจริงที่เจ้าปลอดภัย”

ชิงเยี่ยหลีสังเกตเห็นอารมณ์ซับซ้อนในดวงตาของนาง แต่ทำเพียงยิ้มบาง แล้วแสร้งทำเป็นไม่เห็นมัน

แท้จริงแล้ว ก่อนหน้านี้เขาปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับโหลวจวินเหยา ทว่าสายตานางกับเห็นเพียงโหลวจวินเหยาเท่านั้น

แม้จะอยู่ห่างกันไม่ไกล แต่นางกลับไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลย