บทที่ 294 ฆ่านางก่อนได้เลย!

เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙]

บทที่ 294 ฆ่านางก่อนได้เลย!

ซูอันสาปแช่งอย่างโกรธแค้นในใจ ถ้ามันเป็นค่ายกลที่สำคัญ ทำไมเจ้าไม่ปกป้องมันให้ดีล่ะ? เจ้าไม่ควรปล่อยให้ข้าเข้าใกล้มันได้ง่าย ๆ แบบนี้!

แต่แล้ว…ชายหนุ่มก็มองไปทางกองทัพทหารดินเผานับพันที่ยืนอยู่เต็มไปหมดและเงียบลงไปโดยสิ้นเชิง

อา…

เห็นได้ชัดว่าทหารดินเผาเหล่านั้นอยู่ที่นี่เพื่อปกป้องดอกบัวเร้นลักษณ์ ซึ่งต่อให้เป็นฉู่จงเทียนก็คงไม่สามารถเข้าใกล้ดอกบัวเร้นลักษณ์ได้

ภายใต้การคุ้มครองของทหารดินเผาที่น่าจะมีความแข็งแกร่งอันร้ายกาจ ดอกบัวเร้นลักษณ์ควรจะปลอดภัย ทว่าใครจะไปคิดถึงว่าซูอันจะมีเครื่องมือที่สามารถปราบปรามทหารดินเผาเหล่านี้ได้ทั้งหมดแค่เพียงฉายแสงไปยังพวกมัน…

เป็นไปได้ไหมว่าสิ่งที่ถูกปิดผนึกไว้ที่ด้านล่างของทะเลสาบที่แม้แต่แม่ทัพผีดิบที่ทรงพลังตัวนี้ก็ยังกลัวมัน อาจจะเป็นผู้หญิงที่ชื่อ…หมี่ลี่?

เมื่อนึกย้อนกลับไป ไม่มีทางที่เสียงกระซิบจะหลอกล่อเขามาที่นี่โดยไม่มีเหตุผลใด ๆ เป็นไปได้มากว่านี่คือเป้าหมายของนาง

มันเป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการว่าเสียงที่ไพเราะของหญิงสาวผู้นั้น จะมาจากสัตว์ประหลาดที่น่าสะพรึงกลัว…

“เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่?” เฉียวเสวี่ยอิงถาม

ซูอันหันกลับมาพบเฉียวเสวี่ยอิง กำลังมองมาที่เขาด้วยดวงตากลมโต “เอ๊ะ นี่เจ้ายังไม่ตายเหรอ?”

เฉียวเสวี่ยอิงนิ่งงัน

ทำไมไอ้คน ๆ นี้ถึงเป็นแบบนี้ตลอดเลย! อ้าปากพูดออกมาทีไรข้ารู้สึกอยากชกเขาทุกครั้ง!

แต่นางพบว่าตัวเองไม่ได้โกรธซูอันเหมือนแต่ก่อนจนนางเองก็รู้สึกประหลาดใจ

“ทำไมเจ้าถึงมอบดอกบัวเร้นลักษณ์ให้กับคุณหนู?” เฉียวเสวี่ยอิงถาม

“นางเป็นภรรยาของข้า เจ้าคิดว่าข้าจะสามารถทนมองนางตายไปต่อหน้าต่อตาได้โดยไม่พยายามทำอะไรเลยงั้นหรือไง?” ซูอันถามกลับ

เฉียวเสวี่ยอิงตอบอย่างใจเย็นว่า “คนนอกอาจไม่รู้ แต่ข้ารู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับคุณหนูเป็นอย่างไร พวกเจ้ายังไม่เคยเข้าหอด้วยกันสักครั้ง”

“พูดจบรึยัง?” ซูอันถ่มน้ำลาย “ตอนนี้ข้าเองก็ชักจะเสียใจกับการตัดสินใจของข้าอยู่เหมือนกัน! เจ้าไม่จำเป็นต้องขยี้ให้ข้าช้ำมากกว่าเดิมก็ได้! เจ้านี่มันเลือดเย็นจริง ๆ สถานการณ์แบบนี้เจ้ายังมีอารมณ์เยาะเย้ยข้าอีก?”

รอยยิ้มจาง ๆ ก็ปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของเฉียวเสวี่ยอิง “แบบนี้ค่อยดูเป็นเจ้ามากกว่า”

ก่อนหน้านี้นางคิดว่าท่าทีที่ดูถูกเหยียดหยามของซูอันนั้นน่ารังเกียจ แต่ในสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป นางกลับรู้สึกว่าเขาดูจริงใจ ไม่มีความหน้าซื่อใจคดที่น่าขยะแขยง

ภาพของซือคุนผุดขึ้นในใจของนาง และใบหน้าของนางก็มืดลงอีกครั้ง

เมื่อถึงตอนที่ทั้งสองคนถูกพาตัวไปถึงแท่นบูชายัญ

“ที่รัก!”

“คุณหนู!”

เมื่อเห็นฉู่ชูเหยียนบนโต๊ะหิน ทั้งซูอันและเฉียวเสวี่ยอิงก็ตะโกนออกมาอย่างกังวล

“ข้า…ข้าสบายดี” ฉู่ชูเหยียนตอบอย่างอ่อนแรง

ในที่สุด ชายหนุ่มก็มีโอกาสมองไปรอบสถานที่แห่งนี้ และเขาสังเกตเห็นว่าตรงจุดที่เขายืนอยู่น่าจะเป็นแท่นบูชายัญขนาดใหญ่ มันถูกสร้างขึ้นเป็นรูปร่างวงกลมหากมองจากมุมสูง บริเวณโดยรอบมีอักขระลึกลับมากมายสลักเอาไว้และตรงกลางเป็นโต๊ะหินที่ฉู่ชูเหยียนนอนอยู่ รอบ ๆ ตัวนางมีไหและถังมากมายที่ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยสิ่งที่น่าสะพรึงกลัว

รอบ ๆ แท่นบูชายัญ มีเสาขนาดใหญ่เก้าต้นที่แกะสลักเป็นรูปมังกรขด แม้แต่เกล็ดของมังกรก็ดูสมจริงอย่างไม่น่าเชื่อ

ซูอันและเฉียวเสวี่ยอิงถูกมัดไว้กับเสาสองต้น

แม่ทัพผีดิบเดินเข้ามาพร้อมกับกระบี่ในมือแล้วพูดว่า “ข้าจะทำให้แท่นบูชายัญอุ่นขึ้นด้วยเลือดของพวกเจ้า ว่าแต่ข้าจะเริ่มจากพวกเจ้าคนไหนก่อนดี?”

ทันทีที่ซูอันได้ยินคำพูดเหล่านั้น เขาก็ชี้ไปที่เฉียวเสวี่ยอิงและร้องว่า “นาง! เจ้าเชือดนางก่อนได้เลย!”

เฉียวเสวี่ยอิงถึงกับอึ้ง

“เหอะ ๆ ข้าต้องขอบคุณสำหรับความเอื้ออาทรของเจ้าด้วยไหม?” เฉียวเสวี่ยอิงจ้องซูอันด้วยสายตาที่ทิ่มแทง

“เจ้าไม่ใช่ผู้หญิงของข้าด้วยซ้ำ ทำไมข้าต้องปกป้องเจ้าด้วย? แถมเรายังเป็นศัตรูกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เจ้าเคยได้ยินคำพูดที่ว่า ‘จงเตะซ้ำในขณะที่พวกเขากำลังหกล้ม’ รึเปล่าล่ะ?” ซูอัน พูดโดยไม่ได้อายแม้แต่น้อย

เฉียวเสวี่ยอิง ถอนหายใจอย่างแรงและพูดว่า “ฮ่า ๆ จริงสิ เจ้าไม่มีเหตุผลที่จะปกป้องข้านี่”

ซูอัน รู้สึกงุนงงเล็กน้อยที่เฉียวเสวี่ยอิงยอมรับคำพูดของเขาเอาง่าย ๆ “ข้าได้ยินอะไรผิดไปหรือเปล่า? เจ้าเห็นด้วยกับข้าจริง ๆ เหรอ?”

เฉียวเสวี่ยอิงกลอกตาและพูดว่า “เจ้าเป็นอะไรไป? ทำไมถึงตกใจขนาดนี้ แค่ข้าเห็นด้วยกับสิ่งที่เจ้าพูด? เจ้าชอบให้ข้าปฏิเสธงั้นเหรอ? อี๋…น่าขยะแขยง!”

ฉู่ชูเหยียนที่อยู่บนโต๊ะหินจู่ ๆ ก็หัวเราะออกมา สองคนนี้มักทะเลาะกันทุกครั้งที่พบกัน มันให้ความรู้สึกเหมือนเป็นความสัมพันธ์ที่ลงตัวระหว่างความรักและความเกลียดชัง

แม่ทัพผีดิบชำเลืองมองซูอันก่อนจะพูดว่า “อย่างน้อยเจ้าก็ตรงไปตรงมามากกว่าไอ้หนุ่มคนก่อนหน้านี้มาก ต่อให้เจ้าจะไร้ยางอายแต่เจ้าก็เป็นลูกผู้ชายดี!”

“เดี๋ยวก่อน ข้าเนี่ยนะไร้ยางอาย? เจ้าไม่เห็นเหรอว่าข้าทุ่มเทให้กับภรรยาของข้ามากแค่ไหน?” ชายหนุ่มอารมณ์เสียทันที “โอ้ เดี๋ยวก่อนนะ แบบนี้มันก็หมายความว่าซือคุนทิ้งนาง? เขาใช้นางเป็นโล่เพื่อซื้อเวลาหลบหนีใช่ไหม?”

เฉียวเสวี่ยอิงตกตะลึง “เจ้ารู้ได้ยังไง? นี่เจ้าแอบดูพวกข้ามาโดยตลอดงั้นเหรอ!”

“เฮอะ! ไม่เห็นจำเป็นต้องแอบดูพวกเจ้าเลย!” ซูอันยักไหล่ “ไม่ต้องเห็นก็รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น เรื่องราวแบบนี้หาดูได้ดาษดื่นตามซีรีส์ทั่วไป”

“ซีรีส์? คืออะไร?”

หญิงสาวทั้งสองไม่เคยได้ยินคำ ๆ นี้มาก่อน

“นั่นไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือเจ้าได้เห็นแล้วว่าไอ้ซือคุนเป็นคนแบบไหน มันเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับชีวิตของตัวเองเหนือคนอื่น ข้าคิดว่าในยามที่ตกอยู่ในอันตรายจวนตัวมันคงไม่ลังเลที่จะละทิ้งพ่อของมันเองด้วยซ้ำ!” ซูอันกล่าว “นั่นเป็นเหตุผลที่ข้าบอกว่าผู้หญิงอย่างเจ้าตื้นเขิน เจ้าคิดว่าผู้ชายหน้าตาดีจำเป็นต้องมีจิตใจที่ดีงั้นเหรอ? รู้ไว้เถอะ ผู้ชายที่ดูดีบางทีก็เป็นแค่ตัวประกอบฉาก!”

เสี้ยววินาทีต่อมา เขาก็เสริมอย่างรวดเร็วว่า “แต่ข้าเป็นข้อยกเว้น แน่นอน คนที่หล่อเหลา อ่อนโยน และใจดีอย่างข้านั้นไม่เหมือนใคร!”

“หยุดเถอะ ข้าจะอ้วก!” เฉียวเสวี่ยอิงกลอกตา “การที่ข้ากำลังจะตายที่นี่ก็ถือว่าแย่แล้ว เจ้าช่วยหยุดซ้ำเติมข้าได้มั้ย?”

“เฮ้ย ทำไมเจ้าหยาบคายแบบนี้!” ซูอันไม่พอใจ

ในที่สุดแม่ทัพผีดิบก็พูดแทรกขึ้นด้วยเสียงอันเยือกเย็น “พวกเจ้าสองคนจะทะเลาะกันไปอีกนานแค่ไหน? ไม่ต้องห่วง ในเมื่อพวกเจ้าเลือกกันเองไม่ได้งั้นข้าจะปลิดชีพพวกเจ้าทั้งคู่พร้อม ๆ กันไปเลย จากนั้นพวกเจ้าจะไปทะเลาะกันต่อในยมโลกก็แล้วแต่พวกเจ้า”

เมื่อพูดจบ แม่ทัพผีดิบยกมือขึ้นและนั่นส่งผลให้จู่ ๆ หมอกสีดำควบแน่นเป็นใบมีดขนาดยักษ์สองอันปรากฏขึ้นเหนือหัวพวกเขาทั้งสองเหมือนกิโยติน ดูเหมือนว่าพวกมันจะสับลงมาได้ทุกวินาที

“อาซู!” ฉู่ชูเหยียนร้องออกมาด้วยความตื่นตระหนก แต่นางไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เลย หรือต่อให้นางจะอยู่ในสภาพปกตินางก็คงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของแม่ทัพผีดิบอยู่ดี

เฉียวเสวี่ยอิงหลับตาลง ยอมรับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไป นับตั้งแต่ซือคุนผลักนางให้เป็นโล่แล้วตัวเองหลบหนี หัวใจของนางก็ด้านชาไปแล้ว บางทีความตายสำหรับคนที่ไม่มีความหมายจะมีชีวิตอยู่ต่อมันก็ไม่นับว่าเลวร้ายอะไรนัก

แต่แล้วทันใดนั้น ซูอันก็พูดขึ้นว่า “พี่ชายจางฮั่น มีคำถามที่ข้าต้องการถามท่าน”