บทที่ 323 ข้าไม่เคยรักเจ้า
บทที่ 323 ข้าไม่เคยรักเจ้า
ไม่ใช่เพราะเขาอยู่ไกลเกินเอื้อม
แต่เป็นเพราะมือที่เอื้อมไปสัมผัสได้เพียงอากาศ ทะลุผ่านร่างเขาไปต่างหาก
ร่างนางแข็งค้าง ยืนนิ่งไม่ขยับอยู่นาน สงสัยตาราวกับไม่อยากเชื่อภาพตรงหน้า
“เหลียนซือ ในที่สุดท่านก็กลับมา…..”
หมิงเยว่จ้องมองชายหนุ่มด้วยสายตาสะเทือนอารมณ์ น้ำเสียงที่ออกมาราวกับคนเพ้อ
“แต่ทำไมข้าถึงสัมผัสหรือจับท่านไม่ได้เลยเล่า?” พูดถึงจุดนี้ นางก็มุ่นคิ้วน้อย ๆ ก่อนจะหัวเราะเสียงเบาออกมา เหมือนกับหัวเราะตนเอง “เป็นอย่างที่คาดคิด ก็แค่ฝันเห็นภาพหลอนไปเองงั้นสินะ?”
“ท่านตายไปตั้งนานแล้ว….. แต่….. ท่านตายไปเช่นนั้นได้อย่างไร? ไม่มีท่านแล้ว ข้าก็ไม่เหลืออะไรอีก…..”
“ท่านโหดร้ายนัก จากไปด้วยการเหลือไว้เพียงคำพูดเดียวคือคำว่าท่านรักข้า”
เห็นหญิงสาวพึมพำกับตนเองราวกับถูกสิง นัยน์ตาเหลียนซือก็สะท้อนแววเจ็บปวด แต่ไม่นาน เขาก็เอ่ยเสียงเบาขึ้น “เจ้ากับข้าได้พบกันก็นับเป็นความผิดพลาดตั้งแต่ต้นแล้ว”
“หากมันเป็นความผิดพลาด แล้วท่านบอกรักข้าไปทำไมกัน…..” สีหน้าหมิงเยว่ทะมึน น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเศร้า
เหลียนซือชุดขาวใบหน้าแข็งค้างไปเล็กน้อย ก่อนหลุบตาลง “นั่นก็เพื่อ….. ทำฝันเจ้าให้เป็นจริง”
“ทำฝันข้าให้เป็นจริง?” หมิงเยว่ชะงักไปในพลัน จากนั้นหัวเราะเสียงต่ำออกมา “เช่นนั้น….. ที่ท่านทำไปก็เพราะสงสารงั้นหรือ?”
เป็นเพราะเขาเห็นนางไล่ตามตนอย่างดื้อรั้นไม่หยุดหย่อน สุดท้ายจึงรู้สึกสงสารขึ้นมาเสี้ยวหนึ่งอย่างนั้นหรือ?
นางไม่เชื่อหรอก
หากเป็นเช่นนั้นจริง แล้วเขาจะยอมสละตนเองช่วยเหลือนางเอาไว้โดยไม่นึกถึงผลที่ตามมาหรือ? เขาไม่จำเป็นต้องเสี่ยงเลยด้วยซ้ำ
เหตุใดเขาจึงไม่เต็มใจยอมรับ….. คำพูดที่ออกจากปากเขาเหล่านั้นกัน
เขากลับมาอีกครั้ง เพียงเพื่อมาบอกนางว่า การที่นางยังคงรออย่างเด็ดเดี่ยวมาตลอดล้านปีเป็นแค่เรื่องตลกงั้นหรือ?
ไม่จริงหรอก….. ก่อนเขาจะหายไป นางยังจดจำสายตาโหยหาและเสียใจของเขาได้ มันเป็นสายตาของชายที่เกลียดชังคำลวงอีกต่างหาก…..
เขาเองก็รักนางอย่างเห็นได้ชัด
หมิงเยว่หลับตาแน่น จากนั้นลืมตาขึ้นอีกครั้งเพื่อจ้องหน้าอีกฝ่าย ก่อนเอ่ยเน้นชัดทุกคำว่า “ท่านโกหก”
เหลียนซือชุดขาวสีหน้าไม่เปลี่ยน มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย “เจ้าก็รู้ดีว่าข้าเกลียดชังเผ่าเทพมากเพียงไหน….. ใช่ไหมเล่า? ข้าจะไม่ และไม่มีวันรักเจ้าได้แน่นอน…..”
“เหลียนซือ!”
ราวกับไม่อาจยอมรับคำพูดของเขาได้ หมิงเยว่จึงกรีดเสียงขึ้นขัดคำ นัยน์ตาสีเงินแต้มความเจ็บปวดจาง ๆ
นางกัดริมฝีปากจนมันซีดขาวไปเล็กน้อย เอ่ยเสียงอ่อนเจือแววอ่อนแอออกมา “ขอท่าน….. อย่าทำเช่นนี้กับข้าได้หรือไม่? ท่านไม่รู้หรือว่าข้ารอท่านมานานเพียงไหน….. ข้ายอมทิ้งทุกสิ่งอย่าง…..”
“เจ้าเลือกทางนี้เอง ไม่มีใครบังคับเจ้า” เหลียนซือชุดขาวไม่ยินดียินร้าย ทั้งเย็นชาไร้อารมณ์เป็นพิเศษ ไม่สนใจสีหน้าสิ้นหวังของหญิงสาวที่ดูราวกับกำลังจะแตกสลายสักนิด
มองคนทั้งคู่จากด้านข้าง ทุกคนไม่ได้รู้เรื่องราวตั้งแต่ต้น เป็นตอนนั้นเองที่พวกเขาเริ่มจะเข้าใจ ว่าคนทั้งสอง….. ดูท่าจะเป็นคู่….. ที่มีชะตาอาภัพนัก
แต่พวกเขามาที่นี่เพื่ออะไรกันแน่? เพื่อมาดูคนทั้งสองถกเถียงกันด้วยปัญหาส่วนตัวงั้นหรือไร?
ส่วนเหลียนซือชุดดำที่ยืนนิ่งไม่เอ่ยคำราวกับล่องหนมาโดยตลอด ในตอนนั้นอดขมวดคิ้วมุ่นไม่ได้ยามได้ยินคำของเหลียนซือชุดขาว เหมือนกับไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายจึงทำเช่นนั้น
เขาก็กลับมาและยืนอยู่ตรงหน้าแล้วไม่ใช่หรือ?
แม้ชายหนุ่มจะสามารถหลอกคนอื่นได้ แต่ก็หลอกเขาไม่ได้ เจ้านั่นรักหมิงเยว่จริง ๆ ไม่น้อยหน้าไปกว่าความรู้สึกที่เขามีให้นาง ไม่เช่นนั้น ชายหนุ่มก็คงไม่ถูกสังหาร วิญญาณแตกซ่านไป เพียงเพื่อช่วยนางหรอก
ชายหนุ่มเพียงต้องเอาหัวใจในร่างเขากลับคืน เช่นนั้นก็จะสามารถอยู่กับหมิงเยว่ได้ตลอดไปไม่ใช่หรือ?
แล้วทำไม….. เขาถึงพูดเช่นนั้น?
ทำทีเป็นไร้หัวใจ ทำเป็นเล่นกับความรู้สึกนางครั้งใหญ่
คนคนนั้นจะกลายเป็นคนเช่นนี้ได้อย่างไร?
อีกฝ่ายใส่ใจหมิงเยว่มากแท้ ๆ หากไม่เกิดเรื่องเกินคาดขึ้นตอนนั้น คนทั้งคู่ก็คงได้อยู่ด้วยกันไปนานแล้ว ไม่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้
เหลียนซือชุดดำสีหน้าทะมึน จากนั้นหันไปทางชิงอวี่ที่ยืนอยู่ไม่ไกลแล้วถามขึ้น “เจ้ารู้เรื่องหรือไม่?”
ชิงอวี่ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนเลิกคิ้วขึ้น “เหตุใดจึงกล่าวเช่นนั้น?”
“ตอนเจอ พวกเจ้าทั้งสองคนก็อยู่ด้วยกันแล้ว ดูท่าทางเขาเชื่อใจเจ้าอยู่ไม่น้อย เขาได้พูดอะไรกับเจ้าบ้างหรือไม่?” ดวงตาสีม่วงของชายหนุ่มหรี่ลงด้วยความสงสัย พลางถามคำถามกับเด็กสาว
ชิงอวี่ยกมุมปากขึ้น “ท่านอยากรู้อะไรเล่า?”
“ทำไมเขาจึงพูดเช่นนั้น? ข้าไม่เชื่อว่าล้านปีที่ผ่านมาจะสามารถเปลี่ยนแปลงลบล้างความรู้สึกของเขาและความเชื่อได้ไปจนหมดสิ้นหรอก”
เหลียนซือชุดดำพูดแล้ว สายตาก็ค่อย ๆ หันไปมองร่างแข็งค้างของหญิงสาวที่ใบหน้ากลายเป็นสีซีด ดูไม่อยากเชื่อ ดูโดดเดี่ยวและเศร้าใจนัก จนทำให้เขากำหมัดขึ้นไม่ทันรู้ตัว
เขามีสิทธิ์อะไรจึงปฏิบัติกับนางเช่นนี้ได้
รู้บ้างหรือไม่ว่านางใช้ชีวิตที่ผ่านมาราวกับศพเดินได้ ความเชื่อเพียงหนึ่งเดียวที่ยังทำให้นางมีชีวิตอยู่ได้ คือการฟื้นคืนชีพเขา
เวลาผ่านไปปีแล้วปีเล่า นางก็ไม่เคยยอมแพ้
เขารู้จักกับนางมานาน จนตัวเขาเองยังไม่รู้เป็นเวลานานเท่าไหร่ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นนางตั้งใจมุ่งมั่นเช่นนี้
แม้จะเป็นสิ่งที่ขัดต่อหนทางแห่งสวรรค์ แม้จะต้องเจ็บปวดทรมานกับความยากลำบากที่ไร้มนุษย์คนใดจะจินตนาการได้
แล้วนาง….. ทำเช่นนั้นไปเพื่ออะไรกัน?
แค่เพื่อให้….. เขามาชิงเอาความหวังเสี้ยวสุดท้ายที่นางเกาะเกี่ยวไว้อย่างสิ้นหวังไปงั้นหรือ?
ในใจเขามีแต่ความโกรธเกรี้ยวไร้ทางระบาย ค่อย ๆ กัดกินสตินึกคิดเขาไปทีละนิด นัยน์ตาสีม่วงยิ่งเข้มขึ้น สีหน้ายิ่งทะมึนและเคร่งขรึม
จนกระทั่งน้ำเสียงแผ่วเบาดังเข้าหูมา ส่งผลให้เขาลืมความโกรธ ได้แต่ยืนอึ้งไป คิดอะไรไม่ออกมาชั่วครู่
“เขาเหลือเวลาไม่มากแล้ว” ชิงอวี่บอกชายหนุ่มเสียงเบา
หมายความว่าอย่างไรที่ว่าเหลือเวลาไม่มากแล้ว?
แต่ยังไม่ทันจะได้ถาม น้ำเสียงแผ่วเบาของชิงอวี่ก็ว่าต่อ “ข้าพบเขาที่ก้นทะเลสาบ เผลอปลุกเขาให้ตื่นจากห้วงหลับลึก ที่ก้นทะเลสาบนั่นมีพลังลึกลับบางอย่างอยู่ ทำให้เขายังคงร่างวิญญาณไว้ได้ชั่วคราว แต่ตอนนี้เขาออกมาจากก้นทะเลสาบแล้ว…..”
ชิงอวี่ไม่พูดจนจบประโยค
แต่เท่านั้นก็เข้าใจความหมายได้ชัดเจนแล้ว
ชายหนุ่มเหลือเพียงร่างวิญญาณที่ใช้ได้เพียงชั่วคราว ไม่มีกายไม่มีเนื้อหนัง ต้องพึ่งพาพลังแปลกประหลาดที่ก้นทะเลสาบเพื่อให้วิญญาณอันเปราะบางสามารถคงอยู่ได้ และจากที่นางเห็น เขาก็ออกมาจากก้นทะเลสาบได้นานมากแล้ว
เหลียนซือชุดดำส่งสายตาไปมองชายหนุ่ม จากนั้นสายตาก็พลันเฉียบคมขึ้นมา
นางพูดถูก
ร่างของชายหนุ่ม….. จางลงเรื่อย ๆ เมื่อเทียบกับเมื่อตอนแรก
“เจ้าหมายความว่าเขาจะค่อย ๆ จางลงและหายไปงั้นหรือ?”
ในครั้งนี้ เกรงว่าชายหนุ่มจะหายไปตลอดกาลเข้าจริง ๆ
“อืม”
ชิงอวี่หลุบตาลง พึมพำเห็นด้วย ไม่รู้ทำไม ในใจถึงได้รู้สึกหดหู่อย่างบอกไม่ถูก ทั้งยังมีความรู้สึกผิดแฝงอยู่ด้วย
ตอนแรกนางก็ยังไม่รู้ นางเพียงอยากให้ชายหนุ่มช่วยมาหยุดเรื่องเลวร้ายก่อนที่มันจะเกิด แม้จะอยู่ในสภาวะเร่งด่วน แต่นางก็ยังทันเห็นสีหน้าของชายหนุ่มในตอนนั้น มีอยู่พริบตาหนึ่งที่เขาเหมือนกับต่อสู้อยู่ภายในใจ ราวกับลังเลกับอะไรบางอย่าง แต่นางไม่คิดเลยว่าเรื่องจะเป็นเช่นนี้
ผลลัพธ์ของการให้ชายหนุ่มออกมาจากก้นทะเลสาบ นั่นคือเขาจะหายไปตลอดกาล
“ถึงข้าคืนหัวใจให้เขาก็ไม่ช่วยหรือ?” เหลียนซือชุดดำถามเสียงขรึม
แม้การกลับมาของชายหนุ่มจะไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ แต่หากชายหนุ่มจะต้องหายไปตลอดกาลจริง ๆ หมิงเยว่….. คงได้เสียสติไปอย่างสมบูรณ์แน่
ถ้าเขาก็ไม่อยากเห็นเรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้น
ปล่อยให้เขาแบกรับทุกอย่างเอาไว้ยังดีเสียกว่า อย่างไรเขาเองก็ใช้ชีวิตที่ยืมมาได้นานหลายปีแล้ว ได้เคียงข้างนางมายาวนาน เท่านี้ก็พอแล้ว
หากแต่ชิงอวี่กลับยุ่งขมวดคิ้วแล้วส่ายหน้า “ไร้ประโยชน์ จำได้หรือไม่ว่าท่านเคยบอกว่าเขาไม่ได้มาจากเผ่าปีศาจโดยสมบูรณ์ แต่เลือดครึ่งหนึ่งในร่างมาจากเผ่าเทพ?”
“เกี่ยวอะไรกัน?”
“ร่างวิญญาณในปัจจุบันของเขาสร้างขึ้นจากสายเลือดครึ่งหนึ่งของเผ่าเทพ พลังทั้งหมดจากเผ่าปีศาจถูกกักเก็บเอาไว้ในดวงใจที่เขามอบให้ท่าน แม้ท่านจะมอบมันคืนให้เขาก็ไม่ช่วยอะไร ร่างวิญญาณที่เหลืออาจถูกพลังจากสายเลือดปีศาจกลืนกินไปเลยก็เป็นได้”
“ไม่มีวิธีเปลี่ยนเลยงั้นหรือ?” เหลียนซือชุดดำสีหน้าเคร่งเครียด ไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
ชิงอวี่เงียบไปครู่หนึ่ง กำลังจะเอ่ยคำว่านางไร้หนทางอื่นเช่นกัน โหลวจวินเหยาที่ยืนอยู่ด้านหลังกลับเอ่ยเสียงเรียบขึ้นมา “เว้นเสียแต่ว่าจะหาร่างกายที่สามารถผสานกับเขาได้อย่างลงตัวมาได้ โดยใช้เลือดเผ่าปีศาจเป็นตัวกระตุ้น เขาก็อาจมีทางรอด ไม่เช่นนั้น ก็รอร่างสลายหายไปกับสายลมได้เลย”
สีหน้าชิงอวี่ตกใจอยู่บ้าง มองโหลวจวินเหยาด้วยความประหลาดใจ เหมือนกับอยากรู้ว่าเป็นความจริงหรือไม่
โหลวจวินเหยาเลิกคิ้วอธิบายต่อ “ก็อาจเป็นไปได้ แต่ต้องใช้ของสำคัญสองอย่าง จะขาดสิ่งใดไปไม่ได้ โอกาสสำเร็จก็น้อย เป็นวิธีที่เสี่ยงมาก”
“ร่างข้าเป็นอย่างไร?” เหลียนซือชุดดำพี่กำลังจดจ้องไปยังชายหนุ่มพลันโพล่งขึ้นอย่างรวดเร็ว
มุมปากโหลวจวินเหยายกขึ้นน้อย ๆ ส่งสายตาประเมินมองชายหนุ่ม มองตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนเอ่ยเสียงเบา “แม้ร่างกายท่าน เดิมทีจะเป็นมนุษย์ แต่ดวงใจปีศาจที่เขามอบให้ก็เปลี่ยนให้ท่านกลายเป็นสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ กลายร่างเป็นปีศาจ ดังนั้น ร่างกายของท่านจึงไม่เหมาะกับเขาที่ไม่เหลือกลิ่นอายปีศาจในดวงวิญญาณอีกต่อไป”
เหลียนซือชุดดำหลุบตาลงช้า ๆ จากนั้นถามต่อ “หมายความว่า….. สิ่งที่เขาต้องการในตอนนี้คือร่างอมตะของเผ่าเทพหรือ?”
“ใช่แล้ว จะว่าอย่างนั้นก็ได้” โหลวจวินเหยาพยักหน้าต่อ
“ชิ เช่นนั้นก็เป็นไปไม่ได้” เหลียนซือชุดดำส่งเสียงเยาะ สีหน้าจนใจมองตรงไปทางโหลวจวินเหยา
“ทั่วทั้งยอดเขาใจสงบ นอกจากหมิงเยว่แล้ว ก็ไม่มีใครมีร่างจากเผ่าเทพอีก สงครามในอดีตกวาดล้างทุกคนจะทั้งเผ่าเทพและเผ่าปีศาจไปจนสิ้นแล้ว! ยังจะหาใครที่มีร่างจากเผ่าเทพได้อีก? ทั้งยังต้องเป็นร่างที่ผสานเข้ากับวิญญาณเขาได้ดีอีก….. มันเป็นไปไม่ได้!”
เห็นชายหนุ่มดูขุ่นเคืองเล็กน้อยแล้ว โหลวจวินเหยาก็ยกยิ้ม “ทำไมจะเป็นไปไม่ได้เล่า? ข้าไม่ใช่ตัวอย่างที่ยืนให้เห็นอยู่หรือไร เป็นเผ่ามารทมิฬที่เหลือรอดมาอย่างไรเล่า…..”