ตอนที่ 217 ช่วยข้า

อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว

ตอนที่ 217 ช่วยข้า
ตอนที่ 217 ช่วยข้า

อวี้ชิงลั่วอยากจะยกหนานหนานออกจากตัวนางในทันที ตัวหนักขนาดนี้มากดทับอยู่บนร่างกายของนาง เจ้าเด็กคนนี้อยู่แล้วเกือบจะทำให้นางขาดอากาศหายใจตายอยู่แล้ว

เย่ซิวตู๋ถึงกับก่ายหน้าผากเงียบ ๆ เมื่อเห็นอวี้ชิงลั่วกำลังเจอกับความยากลำบากจริง ๆ จึงรีบดึงหนานหนานหนานกลับมานั่งบนตักตนเอง “หนานหนาน เจ้าอย่าไปเบียดแม่ของเจ้าเลย มานั่งกับพ่อทางนี้…”

“จอดรถ ท่านลุงโม่ รีบจอดรถ”

เย่ซิวตู๋ยังพูดไม่ทันจบประโยค หนานหนานก็ตะโกนเสียงดังออกไปด้านนอก

โม่เสียนกระตุกบังเหียนม้าตามสัญชาตญาณ

เย่ซิวตู๋และอวี้ชิงลั่วหันสบตากัน ก่อนจะหันไปมองเด็กน้อยที่อยู่ข้าง ๆ พร้อมกัน “ทำไมรึ?”

“เมื่อครู่ ดูเหมือนข้าจะเห็นเสี่ยวเฉิงเฉิงด้วย” หนานหนานขมวดคิ้ว พยายามปีนขึ้นหน้าต่างข้าง ๆ อวี้ชิงลั่วอีกครั้ง ส่ายหน้าซ้ายขวาออกแรงชะโงกออกไป “แปลกจัง ทั้ง ๆ ที่เสี่ยวเฉิงเฉิงอยู่บนชั้นสองของโรงเตี๊ยมเยว่หมิง ท่านอ๋องแปดก็บอกให้เขารออยู่ในห้องนั้น เหตุใดเขาถึงวิ่งออกมาเพียงลำพังล่ะ? เอ๋ ตรงนั้น เห็นแล้ว ท่านแม่ ข้าจะไปหาเสี่ยวเฉิงเฉิง”

หนานหนานปล่อยม่านหน้าต่าง ร่างเล็ก ๆ ของเขากลิ้งไปด้านหลัง ก่อนจะรีบแหวกม่านรถอย่างรีบร้อนอีกครั้ง แล้วกระโดดลงจากรถด้วยความคล่องแคล่ว เหลือทิ้งไว้เพียงคนสองคนที่นั่งมองหน้ากันอยู่บนรถ

หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เย่ซิวตู๋จึงกล่าวเสียงเบาว่า “โม่เสียน เปลี่ยนทิศทาง ตามหนานหนานไป”

“พ่ะย่ะค่ะ” โม่เสียนขานตอบพลางกระตุกบังเหียนม้า ม้าจึงเปลี่ยนทิศทางอย่างเชื่อฟัง รถจึงวิ่งไปตามถนนเกิดเสียงดังกรับ ๆ

เพียงไม่นานรถก็ไล่ตามหนานหนานที่เดินด้วยเท้าทัน จึงค่อย ๆ หยุดลง

อวี้ชิงลั่วกระโดดลงจากรถม้า ก็พบว่าหนานหนานกำลังเดินหมุนรอบตัวเย่หลานเฉิง เดี๋ยวจับผมเดี๋ยวจับหูท่าทางราวกับลิงอ้วนตัวหนึ่ง

นางจึงดึงตัวของเขาไว้ พลางเอ่ยถาม “เกิดอะไรขึ้น?”

“ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน เสี่ยวเฉิงเฉิงตาแดงหมดแล้ว เหมือนจะร้องไห้เลย ข้าถามอะไรเขาก็ไม่ยอมตอบ โถ่เอ๊ย นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่ข้าเห็นเสี่ยวเฉิงเฉิงเป็นเช่นนี้ ท่านแม่ ท่านรีบถามเขาแทนข้าหน่อยสิ” หนานหนานร้อนใจแทบแย่แล้ว เขาใช้มือจับเสื้อของอวี้ชิงลั่ว ดวงตากะพริบถี่ราวกับกำลังจะร้องไห้

อวี้ชิงลั่วลูบศีรษะของเขาก่อนจะหันไปมองเย่หลานเฉิง

“ท่านป้าชิง” ตอนที่เย่หลานเฉิงได้ยินเสียงของนางก็หันกลับมา ดวงตาที่เงยหน้ามองแดงก่ำจริง ๆ แม้แต่ปลายจมูกก็เป็นสีชมพูอ่อนด้วย น้ำเสียงที่เปล่งออกมาแหบพร่า คล้ายกับคนที่เพิ่งร้องไห้มาหมาด ๆ จริง ๆ

เพียงแต่ตอนที่เย่หลานเฉิงเห็นหนานหนานและอวี้ชิงลั่ว เขากลับพยายามยิ้มอย่างสุดชีวิต กล่าวด้วยท่าทางนิ่งสงบว่า “ข้าไม่เป็นอะไรจริง ๆ พวกท่านไม่ต้องเป็นกังวลหรอก”

อวี้ชิงลั่วขมวดคิ้ว ท่าทางเช่นนี้ของเขา คล้ายกับคนที่ไม่เป็นอะไรที่ไหนกัน

“แม่นางอวี้ นายท่านบอกให้พวกท่านขึ้นรถก่อน” โม่เสียนเดินมาข้าง ๆ พวกเขาทั้งสามคนพร้อมกับกระซิบบอก แม้ว่าที่นี่จะไม่ใช่ถนนที่มีผู้คนพลุกพล่าน แต่ก็ยังมีคนเดินผ่านไปผ่านมา รถม้าของพวกเขาคันใหญ่ขนาดนี้มันดูสะดุดตาเกินไป

อวี้ชิงลั่วพยักหน้า ก่อนจะใช้มือจูงเด็กทั้งสองคนเดินกลับมาที่รถ จากนั้นโม่เสียนจึงอุ้มพวกเขาขึ้นรถ

ตอนที่ม่านรถแหวกออกและเห็นคนที่นั่งอยู่ด้านในรถ เย่หลานเฉิงถึงกับชะงักและพูดด้วยความประหลาดใจ “ท่านอาห้า เหตุใดถึงมาอยู่ที่นี่พ่ะย่ะค่ะ?”

ตอนที่อยู่ต่อหน้าคนอื่น เย่ซิวตู๋จะแสดงสีหน้าเย็นชาเหมือนกับทุกครั้ง เขาเพียงแต่พยักหน้าให้เบา ๆ พูดเพียงสั้น ๆ ราวกับกลัวดอกพิกุลจะร่วงออกมาจากปาก “เข้ามานั่งด้านใน”

“พ่ะย่ะค่ะ” เย่หลานเฉิงจึงเข้ามานั่งด้านในสุดของรถอย่างระมัดระวัง

ตอนที่หนานหนานและอวี้ชิงลั่วเข้ามาด้านในรถม้า บรรยากาศภายในรถจึงค่อย ๆ ผ่อนคลายลง

ทว่าหนานหนานยังคงถามเขาอย่างไม่ลดละ “เสี่ยวเฉิงเฉิง ใครรังแกเจ้ากันแน่ เจ้าบอกข้ามา ข้าจะไปอัดหน้ามันให้เจ้าเอง”

“ไม่…ไม่มี…ไม่มีใครรังแกข้า” เย่หลานเฉิงก้มหน้าลง แม้จะดูเหมือนไม่ได้มีเรื่องใหญ่อะไร แต่น้ำเสียงกลับแฝงด้วยความหดหู่และแรงกดดันเล็ก ๆ

หนานหนานแอบรู้สึกขุ่นเคือง สะบัดมือของเย่หลานเฉิงอย่างดุเดือด ใช้น้ำเสียงที่ดังขึ้นเล็กน้อย “ไม่มีใครรังแกเจ้า เหตุใดถึงได้ร้องไห้? ไม่มีใครรังแกเจ้า เหตุใดถึงต้องวิ่งออกมาจากโรงเตี๊ยม ทั้งยังวิ่งเตร่ไปมาอยู่บนถนนเส้นนี้คนเดียว? เจ้าอย่ามาหลอกข้า ข้าไม่ใช่เด็กสามขวบสักหน่อย”

ปีนี้เขาอายุห้าขวบแล้ว ห้าขวบเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ มามากมายแล้วด้วย

เย่หลานเฉิงฝืนยิ้ม ราวกับไม่คิดที่จะบอก “หนานหนาน ข้าไม่เป็นอะไรจริง ๆ ข้าเพียงแค่…ข้าเพียงแค่รู้สึกอึดอัดตอนที่อยู่ในโรงเตี๊ยม ก็เลยออกมาเดินเล่นก็เท่านั้น”

“เย่หลานเฉิง ข้าไม่เป็นเพื่อนกับเจ้าแล้ว” หนานหนานโกรธจะตายแล้ว เสี่ยวเฉิงเฉิงมีข้อเสียตรงจุดนี้ ไม่ว่าจะได้รับความอยุติธรรมอะไรมาก็ไม่เคยปริปากพูด และไม่ให้ใครช่วยเหลือ

อีกอย่าง…อีกอย่างนะ…ตอนนี้ท่านพ่อและท่านแม่ก็อยู่ข้าง ๆ ด้วย อย่างน้อย ๆ เย่หลานเฉิงก็น่าจะไว้หน้าเขาและยอมพูดสักหน่อยสิ เหตุใดถึงปากแข็งไม่ยอมพูดอะไรเลยล่ะ?

หนานหนานหมดแรง ทึ้งเส้นผมเริ่มคิดหาวิธี จะทำอย่างไรให้เจ้าคนนี้ยอมเปิดปาก

อวี้ชิงลั่วเหลือบมองเย่ซิวตู๋ปราดหนึ่ง เมื่อเห็นอีกฝ่ายแสดงท่าทีไม่แยแส คิ้วของนางพลันกระตุกวูบ นางย้ายมานั่งข้าง ๆ เย่หลานเฉิง “ไหนเจ้าลองบอกป้าชิงมาซิว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หรือมีอะไรที่ป้าชิงคนนี้สามารถช่วยเหลือเจ้าได้หรือไม่”

เย่ซิวตู๋เหลือบมองนางปราดหนึ่ง มุมปากกระตุกขึ้นเล็กน้อย เขาพอจะเข้าใจแล้ว จุดอ่อนของสตรีผู้นี้ก็คือเด็ก…ก่อนหน้านี้ตอนที่ช่วยเหลือเด็กที่ชื่อหงเอ๋อร์อย่างสุดชีวิตขนาดนั้น ตอนนี้ยังปฏิบัติกับเย่หลานเฉิงอย่างเป็นมิตรแตกต่างจากคนอื่น ๆ เอ่อ อย่างน้อย ๆ อวี้ชิงลั่วก็ปฏิบัติกับเย่หลานเฉิงดีกว่าเขามาก สิ่งนี้ทำให้เย่ซิวตู๋รู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก

ตอนที่เสียงของอวี้ชิงลั่วดูอ่อนลงเช่นนี้ แม้แต่หนานหนานก็เงยหน้ามองนางด้วยความตกตะลึงเช่นกัน “ท่านแม่ นี่ท่านแอบสมรู้ร่วมคิดกับใครใช่หรือไม่? หรือว่าเป็นไข้ตัวร้อน? โถ่เอ๊ย ถ้าท่านแม่ไม่สบายก็รีบกินยาสิ บนตัวของท่านแม่มียาเยอะแยะขนาดนั้น ให้หนานหนานช่วยหยิบให้หรือไม่?”

อวี้ชิงลั่วดีดเผียะเข้าที่ศีรษะของหนานหนานทันที เจ้าเด็กบ้าคนนี้มีไว้เพื่อโค่นล้มนางโดยเฉพาะเลย “แม่ของเจ้าเป็นหมอ ยังต้องให้เจ้ามาตัดสินอีกรึว่าแม่ป่วยหรือไม่?”

เย่หลานเฉิงชะงัก จู่ ๆ ก็ดูเหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ เขารีบจับมืออวี้ชิงลั่ว เอ่ยถามด้วยความกังวล “ท่านป้าชิง ท่าน…ท่านคือหมอปีศาจใช่หรือไม่? ทักษะทางการแพทย์ของท่านยอดเยี่ยมมากใช่หรือไม่? ใช่แล้ว ท่านเก่งกาจมาก เมื่อครู่ตอนที่ข้าอยู่ชั้นสองก็เห็นแล้ว ข้าเห็นท่านป้าชิงช่วยเหลือเด็กนั้น คนที่แม้แต่ท่านหมอเริ่นก็ยังช่วยไม่ได้ แต่ท่านป้าชิงกลับช่วยชีวิตเขาไว้ได้ ดังนั้นต้องเก่งกาจมากแน่ ๆ”

อวี้ชิงลั่วหันมองเย่ซิวตู๋ด้วยความฉงนใจ เหตุใดจู่ ๆ เย่หลานเฉิงถึงได้พูดจาสะเปะสะปะขึ้นมา?

เย่ซิวตู๋กลับขมวดคิ้ว สายตาจ้องมองไปยังมือของเย่หลานเฉิงที่กำลังจับมือของอวี้ชิงลั่ว นัยน์ตาแอบแฝงด้วยความไม่เป็นมิตร จากนั้นจึงดึงเย่หลานเฉิงมาข้าง ๆ โดยไม่หยุดคิด แยกมือของพวกเขาออกจากกันและกล่าวว่า “นางคือหมอปีศาจ ในเมื่อเมื่อครู่เจ้าเองก็อยู่ในโรงเตี๊ยมแห่งนั้น ก็น่าจะเห็นอย่างชัดเจนแล้ว”

“เช่นนั้น…เช่นนั้นท่านป้าชิง ช่วยใครคนหนึ่งให้ข้าได้หรือไม่?” เย่หลานเฉิงถึงกับตกใจเพราะการกระทำแบบปุบปับของเย่ซิวตู๋ แม้ว่าจะแอบตกใจ ทว่าสายตากลับมองอวี้ชิงลั่วอย่างเป็นประกาย

……………………

สารจากผู้แปล

น้องเฉิงอยากให้ชิงลั่วช่วยใครกันนะ ร้องไห้น่าสงสารมากเลย

ไหหม่า(海馬)