ตอนที่ 276

My Disciples Are All Villains

ลู่โจวไม่ได้เจตนาที่จะกล่าวหาหลี่หยุนเฉาแต่อย่างใด ตัวเขาก็แค่พยายามตาหาเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ที่เหลืออยู่ก็เท่านั้น

เคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ที่ได้มาเป็นส่วนกลาง นั่นหมายความว่ายังมีเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ชิ้นอื่นเหลืออยู่อีก ‘จีเทียนเด๋าเป็นคนมอบชิ้นส่วนเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ให้กับทางพระราชสำนักเองอย่างงั้นหรอ? แล้วเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์นอกเหนือจากนี้จะไปอยู่ไหนได้? ‘

น่าเสียดายที่ลู่โจวไม่ได้พกภาพวาดเก่าแก่มากับตัว ถ้าหากทำแบบนั้นตัวเขาก็จะสามารถเทียบภาพวาดกับสถานที่จริงเพื่อหาเบาะแสได้ แต่ในตอนนี้ไม่มีประโยชน์ที่จะอยู่ที่นี่อีกต่อไป ลู่โจวคิดเอาไว้ว่าจะกลับมาที่เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ใหม่อีกครั้ง ตัวเขาได้หันไปพูดกับหลี่หยุนเฉา “ข้าไม่ได้มีธุระอะไรกับเจ้าแล้ว”

หลี่หยุนเฉาที่ได้ฟังแบบนั้นตกตะลึงเล็กน้อย แต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็ไม่กล้าที่จะถามอะไรออกมา ตัวเขาได้ทำความเคารพก่อนที่จะหลีกทางไปยังข้างๆ

ลู่โจวได้แตกไปที่ชิ้นส่วนเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ที่ได้มา ชิ้นส่วนเคล็ดวิชาได้เชื่อมต่อเข้าไปในตัวของลู่โจว ในตอนนี้ถ้าหากตัวเขาได้ฝึกฝนตามเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ไปตัวเขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นได้แน่

หลี่หยุนเฉาได้ถามออกมาอย่างไม่แน่ใจ “แล้วเรื่องสัญญาของพวกเราก่อนหน้านี้ล่ะท่านผู้อาวุโส? ” ขันทีหลี่ยังรู้สึกกังวล ท้ายที่สุดแล้วถ้าหากปรมาจารย์มหาวายร้ายคนนี้จะกลับคำ ตัวเขาก็คงไม่ได้แปลกใจอะไร

ลู่โจวได้เหลือบมองก่อนที่จะตอบกลับมา “ข้าน่ะรักษาสัญญาเสมอ เจ้าน่ะเป็นอิสระแล้ว…”

หลี่หยุนเฉาโล่งใจ ตัวเขาได้คารวะลู่โจวก่อนที่จะพูดขึ้น “ข้ายังมีอีกคำขอหนึ่งท่านผู้อาวุโส”

“อะไรกัน? “

“ในตอนที่ข้าออกจากพระราชวังมา ข้าได้บอกอัครมเหสีไปว่าข้าได้นำคัมภีร์เล่มหนึ่งติดตัวมาด้วย…พระอัครมเหสีทรงถามข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าเกี่ยวกับคัมภีร์เล่มนั้น ข้าที่จนตรอกจึงทำได้เพียงบอกความจริงเรื่องขององค์หญิงจ้าวยู่ไป ตอนนี้อัครมเหสี…ทรงอยากพบหน้าจ้าวยู่” หลี่หยุนเฉาได้พูดออกมา

ลู่โจวมองไปที่ขันทีหลี่

เมื่อหลี่หยุนเฉาเห็นแบบนั้นตัวเขาก็รีบอธิบายออกมาในทันที “มีเพียงพระอัครมเหสีกับข้าเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้…ข้าหลี่หยุนเฉาแห่งพระราชวังขอรับรองได้เลยว่าเรื่องในครั้งนี้จะต้องถูกเก็บเป็นความลับอย่างแน่นอน”

ลู่โจวมีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธความต้องการของหลี่หยุนเฉาในเรื่องของจ้าวยู่ แต่เมื่อตัวเขามองย้อนกลับไปที่จ้าวยู่ ลู่โจวก็สังเกตเห็นว่าลึกๆ จ้าวยู่ยังคงมีอะไรค้างคาใจในเรื่องชาติกำเนิด

หลังจากนั้นตัวเขาก็ได้พูดออกมา “จ้าวยู่”

“คะ? ท่านอาจารย์”

“เนื่องจากเจ้าเป็นผู้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรง เพราะแบบนั้นแล้วเจ้าจงตัดสินใจซะ…”

ในตอนที่จ้าวยู่ออกจากพระราชวังไป นางก็ได้เข้าร่วมกับศาลาปีศาจลอยฟ้า ในตอนที่อยู่ที่นั่น ในฐานะที่เป็นศิษย์สาวกนางไม่เคยมีสิทธิ์ตัดสินใจอะไรด้วยตัวเองแม้แต่ครั้งเดียว นางไม่เคยคาดหวังมาก่อนเลยว่าผู้เป็นอาจารย์จะยอมให้นางตัดสินใจในเรื่องสำคัญแบบนี้ จ้าวยู่รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก แต่ถึงแบบนั้นนางก็ไม่กล้าที่จะตัดสินใจในทันที ท้ายที่สุดแล้วจ้าวยู่ก็ใช้เวลาไตร่ตรองอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะตอบกลับมา “ท่านอาจารย์ ข้าอยากลองไปดู”

“งั้นเจ้าก็ไปซะ”

เมื่อจ้าวยู่ได้ยินแบบนั้นนางก็เดินไปหาลู่โจวก่อนที่จะคารวะผู้เป็นอาจารย์ด้วยความเคารพ

เมื่อลู่โจวมองไปที่จ้าวยู่ ตัวเขาก็เห็นค่าความจงรักภักดีของนางเพิ่มขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ตัวเขาได้โบกมือให้เพื่อเป็นการตอบกลับ

หลี่หยุนเฉาที่เห็นแบบนั้นก็ได้พูดขึ้น “ข้าจะรับรองความปลอดภัยขององค์หญิงด้วยชีวิตของข้า”

“ท่านอาจารย์ ข้าขอตัวก่อน”

หลังจากที่ได้กล่าวลาหลี่หยุนเฉาก็ได้พาจ้าวยู่เดินไปที่หน้าประตู ในไม่ช้าทั้งสองคนก็ได้หายไปจากคฤหาสน์องค์ชายแห่งพลัง

ฉินจานได้พูดขึ้น “ข้าไม่คิดมาก่อนเลยว่าลูกขององค์หญิงหยุนจ้าวที่ต้องเป็นเด็กกำพร้าต้องมาเป็นศิษย์ของท่านแบบนี้…สวรรค์ช่างเล่นตลกกับพวกเราจริงๆ “

“ข้าไม่สนใจหรอกว่านางจะเป็นเด็กกำพร้าหรือไม่” ลู่โจวพูดขึ้น

“ท่านพูดถูกแล้วผู้อาวุโส”

ลู่โจวที่เสร็จธุระแล้วกำลังกลับไปยังห้องเดิม ตัวเขาต้องการที่จะทำความเข้าใจเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ที่เพิ่งจะได้มานั่นเอง แต่ในตอนนั้นก็มีคนใช้เดินมาหาตัวเขาซะก่อน “นายท่าน มีจดหมายเขียนถึงท่าน”

ฉินจานขมวดคิ้ว “จดหมายของข้าอย่างงั้นหรอ? ” ในเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้มีขนาดใหญ่โต ถ้าหากไม่มีธุระสำคัญจริงๆ คงจะไม่มีใครใช้วิธีแบบนี้ติดต่อตัวเขามาแน่

ฉินจานได้คลี่จดหมายก่อนที่จะอ่านมัน เมื่ออ่านได้เพียงครู่เดียวตัวเขาก็โค้งคำนับก่อนที่จะพูดกับลู่โจวอย่างเร่งรีบ “ท่านผู้อาวุโส จดหมายเขียนถึงท่าน”

“ส่งมาให้ข้า” หยวนเอ๋อรีบกระโจนไปด้านหน้า นางได้คลี่จดหมายออกก่อนที่จะอ่านออกเสียงมันขึ้นมา “ท่านผู้อาวุโส ในตอนนี้ข้าอยู่ที่สุสานแห่งดาบ บางทีที่นี่อาจจะมีของบางอย่างที่ท่านกำลังมองหา ศิษย์ของท่านช่างเป็นพวกหัวรั้นซะจริง ฮาฮาฮ่า…” หยวนเอ๋อรู้ได้ทันทีว่าจดหมายนี้ถูกส่งมาจากใคร

ลู่โจวขมวดคิ้ว “สุสานแห่งดาบอย่างงั้นหริอ? “

ฉินจานที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้พูดออกมา “สุสานแห่งดาบเป็นสถานที่ที่อยู่ใกล้กับห้องฝังศพองค์จักรพรรดิ…ว่ากันว่าสถานที่แห่งนั้นมันอัดแน่นไปด้วยพลังหยางที่รุนแรง นอกจากนี้มันยังมีดาบมากมายหลายเล่มถูกฝังเอาไว้ เดิมทีสุสานแห่งดาบเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยพลังหยินอยู่ก่อนแล้ว และด้วยสมดุลของหยินและหยางทำให้สถานที่อย่างสุสานแห่งดาบเหมาะสมที่จะเก็บรักษาดาบ ในทุกๆ 10 ปีมักจะมีผู้ฝึกยุทธที่โชคดีหลุดเข้าไปที่แห่งนั้นได้”

ด้วยคำอธิบายที่ได้กล่าวมาในจดหมายเจียงอาเฉียน ในตอนนี้เขากำลังตามหาดาบชั้นดีอยู่แน่ การไปที่สุสานแห่งดาบคงจะเป็นสิ่งที่เจียงอาเฉียนหมายตามาน สำหรับผู้ที่รักดาบยิ่งกว่ากระดูกอย่างเจียงอาเฉียนเขาจะต้องไม่พลาดแน่

ลู่โจวนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง หลังจากนั้นตัวเขาก็ลุกขึ้นก่อนที่จะเดินจากห้องโถงไป

“ท่านอาจารย์พักผ่อนให้สบายเถอะ”

“ท่านผู้อาวุโสเชิญพักผ่อนให้สบาย”

ในระหว่างทางกลับ ลู่โจวก็ได้เปิดกล่องผ้าที่ได้รับมาอีกครั้ง ทันทีที่ตัวเขาสัมผัสมันอย่างตั้งใจ เคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ที่มีอยู่ในนั้นก็กลายเป็นแสงสว่างก่อนที่จะจางหายไปในตัวของเขา

ลู่โจวได้ตรวจสอบพลังเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ที่มีอยู่ในระบบ ตัวเขาไม่ได้มีพลังอะไรเพิ่มขึ้นมา ลู่โจวที่เดินมาถึงห้องได้นั่งลงก่อนที่จะพูดพึมพำ “ดูเหมือนว่าฉันจะต้องรอจนกว่าจะพบกับชิ้นส่วนเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ชิ้นสุดท้ายอย่างงั้นสินะ”

ลู่โจวที่พูดพึมพำเสร็จก็เข้าสู่ห้วงสมาธิ ตัวเขากำลังทำความเข้าใจเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ต่อนั่นเอง

ตกกลางคืน

เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ในถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบสงบ

ในตอนนี้ชายชุดเขียวผู้ใช้ดาบกำลังยืนอยู่ไม่ไกลกับคฤหาสน์เจ้าชายแห่งพลัง เขาคนนี้เห็นรถม้าคันหนึ่งกำลังมุ่งหน้าไปยังเมืองจักรวรรดิอย่างรวดเร็วผ่านถนนบนเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์

หลี่หยุนเฉาได้จ้องมองข้างทาง ตัวเขาในตอนนี้พยายามเร่งความเร็วรถม้าให้เร็วที่สุด

ยู่ฉางตงได้ยิ้มออกมาจางๆ ก่อนที่จะส่ายหัว “…ยินดีด้วยศิษย์น้องหญิง” ตัวเขาได้เหลือบมองไปยังทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองแห่งนี้ ยู่ฉางตงกำลังเหลือบมองไปที่ดวงจันทร์ที่ส่องแสงสุกสกาว “เจ้าช่างโชคดีกว่าข้าจริงๆ “

ยู่ฉางตงได้ระเบิดพลังก่อนที่จะปลดปล่อยดาบออกมาจากทางด้านหลัง พลังของเขาได้พุ่งตรงไปสู่ท้องฟ้าจากในระยะไกล มีคนกว่าหลายพันคนกำลังเผชิญหน้ากับพลังอันมหาศาลนี้ พลังที่เพิ่งจะพุ่งออกไปได้กลายเป็นคลื่นของคมดาบ คลื่นคมดาบนี้เองลอยเคว้งอยู่บนท้องฟ้า “คมเขี้ยวดาบปีศาจแห่งโชคชะตา!”

พลังคมดาบสีดำจำนวนมากได้ตกลงมาก่อนที่จะพุ่งเข้าใส่ผู้ฝึกยุทธชุดดำที่กำลังรออยู่โดยรอบ พลังคมดาบได้พุ่งตรงหาเป้าหมายราวกับมันมีดวงตาเป็นของตัวเอง

ฟรึ๊บ! ฟรึ๊บ! ฟรึ๊บ!

“นั่นมัน…ดาบ…ต้องใช่แน่ๆ นั่นมันดาบปีศาจ! “

“นั่นมันยู่ฉางตง! “

“พวกเราหนีไม่ทันแล้ว! “

ฝนแห่งคมดาบได้ตกลงมาจากท้องฟ้า คมดาบได้ตกลงก่อนที่จะทะลวงกลางเข้ากลางอกของเหล่าผู้ฝึกยุทธอย่างแม่นยำ ผู้ฝึกยุทธทั้งหลายไม่อาจต้านทานการโจมตีนี้ได้เลย

เมื่อฝนแห่งคมดาบได้หยุดลง ผู้ฝึกยุทธชุดดำทั้งหลายก็เหลือแต่ร่างอันไร้วิญญาณ ร่างของพวกเขาถูกทิ้งให้ตายเกลื่อนอยู่บนท้องถนน

ชิ๊ง!

ดาบยืนยาวได้กลับสู่ฝักอีกครั้ง

ยู่ฉางตงยังคงยิ้มจางๆ เช่นเคย ตัวเขาทำตัวราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น ยู่ฉางตงได้มองลงไปที่พื้นเบื้องล่าง ตัวเขาไม่แม้แต่จะเหลือบมองซากศพทั้งหลาย ในสายตาของยู่ฉางตงตอนนี้กำลังจับจ้องไปที่คฤหาสน์แห่งพลัง ตัวเขาได้ถอนหายใจก่อนที่จะพูดออกมาอย่างผิดหวัง “ท่านอาจารย์ เจ้าชายแห่งพลังเป็นคนของศิษย์พี่ใหญ่ ทำไมท่านถึงไม่ระวังตัวแบบนี้เลย? “

ยู่ฉางตงได้หยุดใช้พลังของเขาเอาไว้เพียงเท่านี้ ตัวเขากำลังจ้องมองคฤหาสน์แห่งพลังจากทางด้านบน ถ้าหากไม่ได้อยู่ใกล้มากพอก็คงจะไม่มีใครสังเกตเห็นยู่ฉางตงที่กำลังลอยอยู่สูงแบบนี้ได้เลย ตัวเขากอดอกในระหว่างที่จ้องมองไปยังคฤหาสน์หลังเดิม “หืม? ” ยู่ฉางตงสังเกตเห็นแสงสีฟ้า พลังแสงสีฟ้าได้แผ่ออกมาจากคฤหาสน์ราวกับแสงจากหิ่งห้อย ในท่ามกลางค่ำคืนที่มืดมิดแบบนี้ แสงที่ได้พบเห็นเป็นเหมือนกับแสงแห่งภาพลวงตา

ในขณะที่ลอยอยู่บนท้องฟ้ายู่ฉางตงก็เฝ้าสังเกตพลังแสงสีฟ้าต่อ ท้ายที่สุดแล้วแสงสีฟ้าที่เป็นเหมือนกับแสงของดวงดาวก็ได้อัดแน่นก่อนที่จะรวมตัวกันเป็นกลุ่มควัน