“ข้าไม่ได้ทิ้งเจ้า ! ข้าอายุยี่สิบสี่แล้ว นั่นไม่ใช่ว่าอายุเยอะแล้วหรือไง !” โจวต้าไห่รีบหาเหตุผลของตัวเอง

หลิวเซียงแววตาเกิดประกาย “งั้นเจ้าเลือกข้า ! วันนี้ข้าจะเข้าไปอยู่บ้านเจ้า ข้าเป็นคนของเจ้าแล้ว !”

“หะ ?” โจวต้าไห่งงเป็นไก่ตาแตก

โจวกุ้ยหลานที่อยู่ไม่ไกลเห็นฉากนี้เข้า ก็รู้สึกได้ทันทีว่าหลิวเซียงและพี่ชายของนางดูจะเข้ากันได้ดีทีเดียว……

“งั้นเอาตามนี้แล้วกัน ตอนนี้ข้าเป็นเมียของเจ้าแล้ว !” หลิวเซียงพูด จากนั้นกระโจนเข้าไปในอ้อมแขนของโจวต้าไห่

โจวต้าไห่งุนงง จนกระทั่งได้สติกลับมา เขารีบดันตัวหลิวเซียงออกไป และพูดขึ้นว่า “ไม่ได้ ! อย่างนี้เป็นไปไม่ได้ เจ้าอย่าเพิ่งรีบร้อน ให้ข้าขอคิด….ดูก่อน…..”

ขณะที่พูด โจวต้าไห่ก็รีบปลีกตัวออกจากหลิวเซียง เข้ามาหาโจวกุ้ยหลาน

เมื่อมาอยู่ข้าง ๆ โจวกุ้ยกลิน เขาก็รีบดึงแขนของโจวกุ้ยหลานไว้ และรีบเดินออกไปข้าง ๆ

สวีฉางหลินที่อยู่ข้าง ๆ ขมวดคิ้ว ในใจไม่ได้ยินดีด้วย

นั่นภรรยาของเขานะ เขายังไม่ทันได้กอดเลย ก็ถูกโจวต้าไห่จับแขนซะแล้ว !

ต่อให้เป็นท่านพี่ก็ไม่ได้ !

คิดได้ดังนั้น เขาก็ยกขาก้าวตามไป

โจวต้าไห่ดึงโจวกุ้ยหลานเดินออกมาได้สักพัก ค่อยปล่อยมือออก น้ำเสียงเต็มไปด้วยความร้อนรน “เจ้าพานางมาได้ยังไงน่ะ ?”

“นางมาที่บ้านของพวกเรา บอกว่าเป็นภรรยาของเจ้าในอนาคต ข้าจะปล่อยให้นางเสียเวลามาเปล่า ๆ ได้ยังไง” โจวกุ้ยหลานพูดเหมือนนางไม่มีความผิด

แม้จะบอกว่านังนั่นทันทีที่เจอก็เรียกนางว่าพี่ใหญ่ทำนางรู้สึกไม่พอใจก็ตาม แต่ว่านางก็ไม่ใช่คนไม่ยอมฟังขนาดนั้น…..

“นี่จะทำยังไงดี เจ้ารีบคิดหาวิธี ขอให้นางกลับไปที” โจวต้าไห่พูดอย่างร้อนรน

โจวกุ้ยหลานกะพริบตา “เจ้าไม่ชอบนางงั้นหรือ ?”

“ไม่ใช่เรื่องที่ชอบหรือไม่ชอบ โอย ข้าจะพูดยังไงกับเจ้าดี เรื่องนี้ไม่ดีต่อนาง เจ้าเข้าใจไหม ? ต่อไปก็อาจจะไม่มีบ้านไหนมาสู่ขอแล้ว! อีกอย่าง พ่อแม่ของนางหานางไม่เจอต้องรีบร้อนแน่ !”

โจวต้าไห่ยิ่งพูดยิ่งร้อนรน

“เจ้าคิดว่านางหาบ้านเราเจอได้ยังไงกัน ? คงต้องถามทางมาหรอก ? เกรว่างหมู่บ้านเรารู้ไปหมดแล้ว ตอนนี้ต่อให้เจ้าส่งนางกลับไปก็ไม่มีประโยชน์” โจวกุ้นหลานกะพริบตาดวงโตของตัวเองอีกครั้ง เตือนโจวต้าไห่

หลิวเซียงคนนี้มีฝีมือนี่นา ไม่คาดคิดว่าจะควานหาหมู่บ้านของเราเจอได้ด้วยตัวเอง ทั้งสองหมู่บ้านน่าจะอยู่ห่างกันยี่สิบสามสิบลี้ได้เลย !

เมื่อได้ยินโจวกุ้ยหลานพูดอย่างนี้ โจต้าไห่ก็เงียบไป

เมื่อสักครู่เขามัวแต่เป็นกังวล ไม่ทันได้คิดถึงเรื่องนี้อยู่……

จู่ ๆ โจวกุ้ยหลานก็รู้สึกว่าไหล่ของตนเองมีอีกมือหนึ่งเพิ่มขึ้นมา นางหันกลับไป ก็เห็นอีกมือหนึ่งของสวีฉางหลินกำลังอุ้มเจ้าก้อนน้อยเอาไว้ มีตะกร้าแขวนอยู่ที่แขน อีกมือหนึ่งโอบนางเอาไว้ ท่าทางนั้นดูน่าขัดใจ

“เจ้าจะทำอะไร ?”

“กอดภรรยาของตัวเองไง” สวีฉางหลินตอบตามจริง

เขาเสียความรู้สึกจริง ๆ ที่กอดเมียของตัวเองยังยากขนาดนี้ สิ่งที่ยิ่งยากก็คือ เขายังไม่ได้เข้าหอกับพรรยาของตนเองไม่ได้ คืนนี้เขาต้องนอนกับภรรยาคนนี้ให้ได้ ไม่อย่างนั้นถ้านางหนีไปกับคนอื่นจะทำยังไง ?

เมื่อคิดได้ดังนี้ สวีฉางหลินในใจก็เกิดตกตะลึง ในหัวเริ่มคิดวิเคราะห์ว่าช่วงนี้ผู้ชายที่ภรรยาของเขาได้เจอมา

อือ ไม่มีใครเทียบเขาได้หรอก

เมื่อคิดอย่างนี้ ในใจของเขาก็สงบลงไม่น้อย อย่างน้อยที่สุดจนกระทั่งตอนนี้ยังไม่มีใครลักพาพรรยาของเขาไปได้

ลองคิดดูอีกครั้ง ใครก็รับรองไม่ได้ว่าต่อจากนี้จะมีชายที่ดีกว่าเขาปรากฏตัวขึ้นในอนาคต และพาตัวภรรยาของเขาไป !

เขาจะต้องรีบนอนกับภรรยาคนนี้ ให้คนพวกนั้นทุกข์ระทม ไม่คิดถึงภรรยาของเขา !

แน่นอนว่าโจวกุ้ยหลานไม่คิดว่าสวีฉางหลินในใจจะคิดอะไรไปได้ขนาดนี้

นางหันกลับมาอีกครั้ง มองไปยังโจวต้าไห่ และถามไปว่า “พี่ชาย ท่านคิดยังไง ?”

ไม่ว่าจะแก้ปัญหายังไงก็ควรดูท่าทีของโจวต้าไห่ ไม่อย่างนั้นต่างฝ่ายต่างต้องเสียใจด้วยกันทั้งนั้น

โจวต้าไห่ขมวดคิ้ว “ข้าก็ไม่รู้ ไม่ว่าจะทำอย่างไรนางล้วนเสียใจ”

“เจ้าต้องคิดถึงตัวเองสิ ! พ่อคนดี !” โจวกุ้ยหลานอดไม่ได้ด่าโจวต้าไห่ไปหนึ่งที ตอนนั้นนางไม่คิดจะพูดอะไรกับเขามากไปกว่านี้แล้ว ดึงเสื้อของสวีฉางหลินและพูดว่า“พวกเราไปกินข้าวกันเถอะ !”

โจวกุ้ยหลานโมโหขึ้นมาจริง ๆ แล้ว เรื่องของไป๋เย่จื่อฝั่งนั้นยังไม่ทันจบ ฝั่งนี้ก็มีหลิวเซียงอีก พี่ชายนางต้องคิดหาวิธีไม่ทำร้ายพวกนางแน่

บางครั้ง ความเมตตาก็เป็นบาป ! เมื่อถึงเวลาคนที่ถูกทำร้ายจะไม่ได้มีแค่สองคนแล้ว !

สวีฉางหลินไม่ได้รู้สึกอะไรกับเรื่องของโจวต้าไห่ ภรรยาเรียกไปกินข้าว นั่นก็เพราะนางหิวแล้ว เขาไปกินข้าวเป็นเพื่อนนางก็พอแล้ว

สามพ่อแม่ลูกเดินไปทางหลิวเซียง ทางด้านหลิวเซียงก็มองมาทางนี้ เมื่อเห็นว่าพวกเขากลับมา นางก็ได้แค่คิด ยังคงยืนอยู่ที่เดิม

โจวกุ้ยหลานเดินมา ให้สวีฉางหลินวางเจ้าก้อนน้อยลง และวางตะกร้าลงบนหินก้อนใหญ่ โจวกุ้ยหลานนำอาหารเหล่านั้นหยิบขึ้นมาวางไว้ด้านบน

หลิวเซียงที่อยู่ไม่ไกลได้กลิ่นหอมของทางด้านนี้เข้า ก็แอบกลืนน้ำลาย สายตาอดไม่ได้เหลือบมองมาทางฝั่งนี้ ท้องส่งเสียงร้อง “โครกคราก”

เสียงดังจนทุกคนได้ยิน

โจวกุ้ยหลานเงยหน้าขึ้น มองมาที่นาง และถามไปว่า “จะมากินด้วยกันหรือเปล่า ?”

“ขอบคุณ” หลิวเซียงไม่เสแสร้ง ตอบรับและนั่งลงไป

โจวกุ้ยหลานกลับรู้สึกดีมากสำหรับนิสัยของนาง รู้สึกถูกใจนางอย่างมาก

โจวกุ้ยหลานตักข้าวสวยให้นางชามใหญ่ หยิบตะเกียบส่งให้กับนาง

หลิวเซียงมองด้วยความตกใจ นี่มันข้าวสวยนี่นา ! นางไม่เคยได้กินมานานหลายปีแล้ว !

โจวกุ้ยหลานเหมือนว่ามองไม่ออกถึงท่าทีของนางที่แปลกไป หลังจากที่ส่งให้นางรับ ก็ตักข้าวอีกหนึ่งชามส่งให้สวีฉางหลิน จากนั้นตักข้าวให้โจวต้าไห่และเจ้าก้อนน้อย ค่อยตะโกนเรียกโจวต้าไห่ที่กำลังเดินมาทางนี้ “ท่านพี่ กินข้าวได้แล้ว !”

“มาแล้ว !”
โจวต้าไห่ขานตอบ รีบก้าวเท้าเดินเข้ามา นั่งลงข้าง ๆ หลิวเซียง รับเอาชามและตะเกียบที่โจวกุ้ยหลานยื่นให้ เริ่มทำการรีบตักข้าวเข้าปาก

โจวกุ้ยหลานยื่นขาวสวยไปให้เจ้าก้อนน้อย นำชามที่วางปิดกับข้าวเอาไว้ออก

เหลือบเห็นกับข้าวที่อยู่ด้านใน หลิวเซียงยิ่งตกตะลึง

ด้านในนี้มีเนื้ออยู่ด้วย ! แล้วก็ไข่ตุ๋น ! นี่อะไรน่ะ ? หน้าตาดูแปลก ๆ แต่เมื่อดมกลิ่นกลับหอมเหลือเกิน !

โจวกุ้ยหลานก่อนหน้านี้ไม่คิดว่าหลิวเซียงจะมาที่นี่ จึงนำชุดชามกับตะเกียบมาแค่สี่ชุด ตอนนี้ชามน่ะมี แต่ว่าตะเกียบไม่มี

นางครุ่นคิด หรือว่าจะกลับไปกินดี

คิดไปคิดมา นางก็นั่งลงข้าง ๆ พิงต้นไม้มองท้องฟ้า

ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าคราม เพียงแค่มองในใจก็มีความสุข รู้สึกได้ว่าช่วงเวลาสั้น ๆ นี้ช่างมีความสุขเหลือเกิน !

โจวกุ้ยหลานถอนหายใจ จู่ ๆ ด้านหน้าก็มีชามข้าวยื่นเข้ามาพร้อมกับตะเกียบอีกหนึ่งคู่

เมื่อมองไป ก็เห็นสวีฉางหลินมองไปที่นาง

“เจ้ากินก่อนเถอะ ข้าค่อยกลับไปกินก็ได้” โจวกุ้ยหลานรู้ว่าเขาหมายถึงอะไร ตอบรับกลับไป

สวีฉางหลินนั้นไม่ยอมถอยแน่ๆ จับมือของนาง ยื่นชามข้าวใส่ไว้ในมือพร้อมกับยัดตะเกียบให้ไป “กินเถิด”