บทที่ 269 จิ่นเหยา เจ้าขาดความรักจากบิดางั้นหรือ

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี

บทที่ 269 จิ่นเหยา เจ้าขาดความรักจากบิดางั้นหรือ?
บทที่ 269 จิ่นเหยา เจ้าขาดความรักจากบิดางั้นหรือ?

ไป๋ชิวหรานใช้เวลาสามถึงสี่วันในการทำความสะอาดเผ่ามารที่อยู่โดยรอบ

อสูรผู้ทรงเกียรติทั้งสามที่เขาสังหารไปไม่ใช่เพียงเผ่ามารที่อยู่ในสำนักกระบี่ชิงหมิง แต่เป็นอสูรผู้ทรงเกียรติทั่วทั้งเมืองกู่โจว

ทันทีที่ทั้งสามตายตกไป เผ่ามารที่อยู่ในเมืองกู่โจวทั้งหมดก็ไม่สามารถควบคุมตนเองได้ พวกมันเริ่มต่อสู้กันอย่างบ้าคลั่ง ไป๋ชิวหรานจึงต้องขยายขอบเขตการกวาดล้างไปทั่วรัฐซ่างเสวียน ทั้งหมดนี้เพราะไม่ต้องการให้พลเมืองทั่วไปต้องทุกข์ทรมานกับอสูรเหล่านี้

เป็นโชคดีที่อสูรเหล่านี้รวมตัวกันอยู่ใกล้กับรัฐซ่างเสวียน เมื่อไป๋ชิวหรานกวาดล้างเผ่ามารในบริเวณใกล้เคียงจนหมดสิ้น เป็นผลให้ในเมืองกู่โจวไร้ซึ่งเผ่ามารอีกต่อไป

เขามุ่งหน้าไปตรวจสอบที่รัฐซ่างเสวียน เช่นเดียวกับที่หวงฝู่เฟิงกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ เพื่อควบคุมเผ่าพันธุ์มนุษย์ เผ่ามารสังหารราชวงศ์ที่ปกครองเดิมตายตกหมดสิ้นแล้ว จากนั้นจึงสร้างหุ่นเชิดที่ยอดเยี่ยมกว่าขึ้นมาแทนที่

ครอบครัวของถังรั่วเวยก็ไม่มีข้อยกเว้นเช่นกัน เมื่อไป๋ชิวหรานมาถึง เขาได้ยินว่าทั้งน้องชาย น้องสาว และญาติคนอื่น ๆ ของนางถูกเผ่ามารสังหารตายตก และอสูรที่สังหารพวกเขาเหล่านี้คือหุ่นเชิดที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ของรัฐซ่างเสวียน!

ไม่มีทางที่จะชุบชีวิตคนที่ตายตกไปแล้วได้ แม้ไป๋ชิวหรานจะเป็นจักรพรรดิภูตผี แต่เขาก็ไม่สามารถแหกกฎที่ตนเองตั้งขึ้นมาได้

เป็นเพราะว่าเขาคือจักรพรรดิภูตผี และจะต้องทำตัวเป็นแบบอย่างให้กับผู้อื่น

ดังนั้น ไป๋ชิวหรานจึงทำได้เพียงตัดศีรษะอสูรตนนี้ จากนั้นเขาจึงออกค้นหาทั่วรัฐซ่างเสวียนโดยหวังว่าจะได้พบกับบุตรหลานของเหล่าราชวงศ์รัฐซ่างเสวียน

แคว้นหวงเทียนสูญเสียอย่างยิ่งใหญ่ ในที่สุดไป๋ชิวหรานก็ได้พบกับทายาทของราชวงศ์ ทหารองครักษ์นำตัวพวกเขาหลบหนีและหลบซ่อนอยู่ในหุบเขาอันเงียบสงบตรงแนวเขตแดนของรัฐซ่างเสวียน

เขาสอนสั่งในการก้าวเข้าสู่ขั้นกลั่นลมปราณที่ดีที่สุดให้กับเด็กสาวผู้นี้ จากนั้นนางจึงถูกนำตัวไปยังเมืองหลวงของรัฐซ่างเสวียน และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นจักรพรรดินี

เด็กสาวผู้นี้เป็นคนมีเหตุผล และฉลาดหลักแหลม เมื่อรัฐของนางตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก นางก็ไม่ร้องไห้หรือสร้างปัญหาใด แต่ยังพยายามอย่างเต็มที่เพื่อเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ จากไป๋ชิวหรานเพื่อปรับปรุงตนให้ดียิ่งขึ้น

เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้คน นางก็ไม่เคยเปิดเผยตัวตน แต่ยังสามารถเข้าถึงได้ง่าย นางจึงได้รับยศศักดิ์ และความไว้วางใจจากพลเรือนในระยะเวลาอันสั้น

ข้อบกพร่องเพียงอย่างเดียวของนางคือ ‘โรคที่รักษาไม่หาย’ ซึ่งเป็นกรรมพันธุ์สืบเนื่องของราชวงศ์ซ่างเสวียน ตอนนี้นางอยู่ในวัยเจริญพันธ์ ทว่าหน้าอกยังคงแบนเรียบ กล่าวได้ว่านี่คือข้อด้อยของราชวงศ์ซ่างเสวียน เหล่าสตรีทั้งหมดของราชวงศ์จะต้องมีลานบินส่วนตัวกันเสียทุกคน

ทว่าเมื่อเทียบกับป้าทวดของถังรั่วเวยแล้ว อาการของเด็กสาวผู้นี้ค่อนข้างรุนแรงกว่ามาก แม้ไป๋ชิวหรานจะช่วยสั่งสอนและดูแลนางในเบื้องต้น สุดท้ายก็ตระหนักได้ว่า ในอนาคตสตรีผู้นี้จะเก่งกาจที่สุด ส่วนหน้าอกคงจะไม่ยิ่งใหญ่เกินไปกว่านี้… แต่อย่างไรแล้วมันก็ดีกว่าไม่มีอะไรเลย

ไป๋ชิวหรานใช้เวลาอยู่นานสำหรับการเก็บกวาดงานบ้านเหล่านี้ ท้ายที่สุดไป๋ชิวหรานก็ได้พบกับผู้ที่มีความสามารถในหมู่พลเรือน เขาคัดเลือกคนเพื่อมาเป็นผู้ช่วยให้กับจักรพรรดินี แล้วจึงออกจากรัฐซ่างเสวียน

ทั้งหมดนี้ เขาใช้เวลาประมาณสองถึงสามเดือน

หลังจากจัดการเสร็จสิ้น ไป๋ชิวหรานก็กลับไปที่สำนักอสูรสวรรค์ในเป่ยหมิง เขาคิดว่าตนจะได้เผชิญหน้ากับสำนักอสูรสวรรค์ที่พังพินาศ เพราะถูกจู่โจมอย่างหนัก แต่เมื่อมาถึงสำนักอสูรสวรรค์แล้ว กลับพบว่าพวกเขาถึงกับปิดการทำงานของค่ายกลป้องกัน

หากไม่มีเหล่าผู้ฝึกตนจากสำนักต่าง ๆ ที่กำลังยุ่งอยู่กับงานของตนเองบนภูเขาด้วยความผ่อนคลายล่ะก็ ไป๋ชิวหรานคงจะคิดว่าสำนักอสูรสวรรค์นี้ได้ล่มสลายไปเสียแล้ว…

ชายหนุ่มร่อนลงหยุดยืนบนยอดเขา ก่อนจะหันหลังกลับเดินไปตามถนน เขาพบจิ่นเหยาอยู่ตรงหน้าผา

หญิงสาวผู้นี้กำลังสั่งสอนเคล็ดวิชากระบี่ให้กับศิษย์ที่รอดตายบางคน แต่ว่าเมื่อไป๋ชิวหรานสังเกตดู เขากลับพบว่ามีบางอย่างแปลกประหลาดไป

ในบรรดาศิษย์เหล่านี้มีคนที่อยู่ในขั้นกลั่นลมปราณเช่นเดียวกับเขา คราวก่อนที่มาที่นี่ เขาไม่เห็นศิษย์คนใดจะสามารถเข้าสู่ขั้นกลั่นลมปราณได้

สิ่งที่เป็นไปได้เพียงอย่างเดียวคือสำนักอสูรสวรรค์ได้คัดเลือกศิษย์เหล่านี้ใหม่อีกครั้ง

หลีจิ่นเหยาใจลอยอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่นางหันหลังกลับมา แววตากลมโตเหม่อลอยไปไกล มิฉะนั้นนางคงรับรู้ได้ถึงการปรากฏตัวของไป๋ชิวหรานตั้งนานแล้ว

หลังจากเห็นชายผมขาวยืนอยู่ด้านหลัง หญิงสาวก็ลืมความรับผิดชอบในฐานะผู้อาวุโสของสำนักอสูรสวรรค์ทันที นางวิ่งเข้ามาหาพร้อมกับโบกมืออย่างยินดี

“ท่านบรรพชน กลับมาแล้วหรือ?”

“อืม”

ชายหนุ่มพยักหน้า จากนั้นมองกลุ่มศิษย์ที่กำลังฝึกฝนก่อนจะกล่าวถาม

“แม่นางหลี เจ้าทำสิ่งใดอยู่? การฟื้นฟูหลังจากประสบภัยพิบัติเริ่มแล้วหรือไร?”

“ข้าบอกหลายคราวแล้ว อย่าเรียกหาข้าว่าแม่นางหลี!”

หลีจิ่นเหยาขมวดคิ้วก่อนจะถามว่า

“เรียกข้าว่าจิ่นเหยามันยากนักหรือ?”

ไป๋ชิวหรานคิดอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อพิจารณาอายุของเขากับหลีจิ่นเหยาแล้ว ดูเหมือนว่าจะไม่มีปัญหาหากจะเรียกอีกฝ่ายว่าจิ่นเหยา มันเป็นความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้องเหมือนกับเวลาที่เขาพูดคุยกับถังรั่วเวย

แต่หลีจิ่นเหยากลับหมกมุ่นอยู่กับสิ่งที่เกิดเมื่อเร็ว ๆ นี้ มันเป็นเพราะความเสียใจที่ฝังลึกในวัยเด็กของนางหรือไม่?

หากมีคำถามใด ๆ ควรจะต้องถามมันออกไป นี่คือสิ่งที่ไป๋ชิวหรานยึดมั่นในใจเสมอ ดังนั้นเขาจึงถามว่า

“แม่นางหลี… ไม่ จิ่นเหยา แน่นอนว่าข้าสามารถเรียกขานเจ้าเช่นนี้ได้ แต่ว่า… เจ้าขาดความรักจากบิดาหรือไม่?”

ดวงตาของหลีจิ่นเหยาเบิกกว้างเมื่อได้ยินเช่นนั้น นางอ้าปากค้างพร้อมกับถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้

“ข้าทราบแล้วว่าเหตุใดศิษย์พี่เซียงเสวี่ยที่อยู่ในสำนักอสูรถึงมีจิตใจสูงส่งเช่นนี้…”

นางโบกมือก่อนจะกล่าวต่อ

“ข้าไม่ได้ขาดความรักจากบิดา ท่านบรรพชน ข้าเพียงแค่ต้องการให้ท่านเรียกข้าเช่นนั้น”

“โอ้”

ไป๋ชิวหรานลูบศีรษะ

“แล้วมันเพราะเหตุใด?”

“ข้ามีเหตุผลของข้า!”

หลีจิ่นเหยาขึ้นเสียง ก่อนจะกล่าวต่อ

“เอาล่ะ อย่าพูดเรื่องนี้อีกเลย เมื่อครู่ท่านกล่าวถามข้าว่าอะไรนะ?”

“ข้าถามว่าศิษย์เหล่านี้ที่อยู่ในขั้นกลั่นลมปราณถูกคัดเลือกมาใหม่ใช่หรือไม่?”

ไป๋ชิวหรานชี้ไปยังเหล่าศิษย์ที่กำลังฝึกวิชากระบี่เบื้องต้นของสำนักอสูรสวรรค์ ก่อนจะถามต่อ

“ยามนี้สำนักอสูรสวรรค์สามารถรับสมัครศิษย์ใหม่ได้แล้วงั้นหรือ?”

“โอ้ เรื่องนั้นแน่นอน ย่อมทำได้อยู่แล้ว”

หลีจิ่นเหยาพยักหน้าพร้อมกล่าวต่อ

“ท่านบรรพชน ท่านคงยังไม่ทราบ มีผู้คนจากแดนเซียนเบื้องบนมาช่วยเหลือ พวกเขากำลังกวาดล้างเผ่ามารที่อยู่ในเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดินอยู่”

“หืม?”

ไป๋ชิวหรานรีบถาม

“แล้วพวกเขาบอกว่าตนเองเป็นเซียนงั้นหรือ?”

“อ่า… ข้าจำได้ว่าชายคนนั้นกล่าวออกมา… แค่ก แค่ก”

หลีจิ่นเหยาไอเล็กน้อย ก่อนจะลดเสียงลงพร้อมเผยสีหน้าเคร่งขรึม

‘ข้าคือจักรพรรดิเซียนตะวันออก เซียนหยางภายใต้บัลลังก์ของจักรพรรดิชิง จากนี้เรื่องราวของเผ่ามารทั้งหมดจะถูกจัดการโดยจักรพรรดิเซียนตะวันออกของข้า และกองทัพจักรพรรดิเซียนของแดนเซียน…’

“แล้วก็บอกว่าอย่าเข้าไปยุ่งงั้นหรือ?”

“แน่นอน ช่างเย่อหยิ่งไม่น้อย โชคดีที่ตาเฒ่าน้อยที่ท่านให้เขาอยู่ที่นี่พูดคุยได้ อีกฝ่ายจึงยอมตกลงให้เราติดตามกองทัพจักรพรรดิเซียนเพื่อเก็บซากศพกลับมาตรวจสอบ”

หลีจิ่นเหยาลอบขุ่นเคือง

“ข้าเดาว่าพวกเขาไม่ได้คิดที่จะดูแลชีวิตของเหล่าพลเรือนทั่วไป”

“เอาล่ะ ข้าเข้าใจแล้ว”

ไป๋ชิวหรานถามอีกครั้ง

“แล้วเซียงเสวี่ยล่ะ?”

“ศิษย์พี่เซียงเสวี่ยไปกับคนจากสำนักเหอฮวน กงปานเจวี่ยเจ้าของหอหยกแห่งเซียนตูก็อยู่ที่นั่นด้วยเช่นกัน ดูเหมือนว่าเซียนอาวุโสหยางกำลังเตรียมที่จะโจมตีเมืองอวิ๋นโจว พวกเขาคิดไปทวงดินแดนที่สูญไปของสำนักกลับคืน”

หลีจิ่นเหยาตอบกลับ