หยวนชิงหลิงหันกลับไปมองเซียวเหยากง “หัวใจของไท่ซ่างหวงเดิมทีก็ไม่ดีอยู่แล้ว วันนี้ยังดื่มเหล้าไปเยอะขนาดนั้น ความดันย่อมสูงขึ้นแน่นอน ”

เซียวเหยากงมองไปที่กล่องยาของนาง จากนั้นก็มองไปที่เครื่องฟังหัวใจที่แขวนอยู่กับหู ยังมีเครื่องวัดความดันอีก สายตาเขามีแววประหลาดใจวาบผ่าน

แต่ว่า เขาก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่เดินไปนั่งลง พูดกับไท่ซ่างหวงว่า “เช่นหลังวันหน้าก็ไม่ต้องดื่มแล้ว คำพูดหมอต้องเชื่อฟัง ”

ไท่ซ่างหวงไม่พอใจ “ขี้คร้านจะสนใจพวกเจ้า ข้าจะไปนอน ”หยวนชิงหลิงรู้ว่าดีกรีเหล้าไปถึงหัวแล้ว รีบเอายาให้ฉางกงกง “ดูแลให้ไท่ซ่างหวงเสวยแล้วค่อยนอน ”

ฉางกงกงรับไป “เข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ไท่ซ่างหวงเดินโซเซเข้าไป เหลือไว้เพียงเซียวเหยากงกับหยวนชิงหลิงในตำหนัก

หยวนชิงหลิงได้สติกลับมาจากความโมโห จึงนึกถึงเรื่องที่จะถามเซียวเหยากงขึ้นมาได้ จากนั้นก็ขยับกล่องยาเข้ามาอีกนิด “ท่านผู้เฒ่า ท่านเคยเห็นของในกล่องยานี้หรือไม่ ”

เซียวเหยากงมองอยู่ชั่วครู่ ค่อยๆส่ายหัวและพูดว่า “ไม่เคย”

หยวนชิงหลิงรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง “ไม่เคยเห็นจริงหรือ”

สีหน้าของเซียวเหยากงนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ แต่ก็ส่ายหน้าพูดว่า “ไม่เคยเห็นจริงๆ”

หยวนชิงหลิงคิดว่าตัวเองน่าจะเดาผิดไป ถ้าหากเซียวเหยากงมาจากที่เดียวกับนาง เขาสมควรจะดีใจที่เห็นคนบ้านเดียวกัน อย่างน้อย ก็คงมีอารมณ์เดียวกับตนเอง เป็นไปไม่ได้ที่จะปฏิเสธ

ช่างเถอะ ไหนเลยจะมีคนทะลุมิติได้มากมายนัก

นางเก็บข้าวของเรียบร้อยแล้ว แล้วก็ให้ยาลดความดันของอีกหลายวันเอาไว้ เอาเข้าไปมอบให้กับฉางกงกง ตอนที่ออกมา เซียวเหยากงก็ออกไปแล้ว

หยวนชิงหลิงจึงได้แต่ออกจากวัง ในวังก็เป็นที่ที่ไม่น่าอยู่นัก ไม่ควรจะอยู่นาน

หลายวันถัดมาหยู่เหวินเห้าก็ยุ่งมาก ออกบ้านแต่เช้ากลับบ้านก็ดึกมากแล้ว ปกติกลับมาก็แค่นอนหลับพักผ่อนแล้วก็ออกไป

ที่สุด วันนี้เขาก็กลับบ้านเร็วกว่าปกติ เข้าประตูมาก็ดูดีใจมาก

“ทำไมจึงได้ดีใจขนาดนั้น ”หยวนชิงหลิงถาม

เขาหัวเราะ “วันนี้ได้รับทำคดีหนึ่ง”

หยวนชิงหลิงเอ่ยยิ้มๆว่า “รับทำคดีทำไมจึงได้ดีใจเช่นนี้ กรมการพระนครของท่านวันไหนบ้างที่ไม่ต้องทำคดี ”

หยู่เหวินเห้าแววตาลึกล้ำ “คดีนี้มาได้จังหวะพอดี ”

“เอ๋”หยวนชิงหลิงป้อนเขากินขนมแป้งพุทราคำหนึ่ง

“วันนี้ ปัญญาชนสิบกว่าคนจากเมืองถิงเจียงเดินทางมาร้องทุกข์ ร้องว่าเจ้าเมืองถิงเจียงโม่เหวินได้กระทำการเรียกเก็บเงินในการปราบปรามโจรกบฏจากประชาชน ทุกบ้านทุกครัวเรือนต้องจ่ายเป็นเงินหนึ่งร้อยอีแปะ ”

“นี่มันขุนนางที่ฉ้อฉลไร้คุณธรรมสิ้นดี”

หยวนชิงหลิงไม่สนใจเรื่องของคดี และไม่ได้ถามต่อ ทั้งสองกินข้าวด้วยกัน แล้วก็ไปเดินเล่นที่สวนรอบหนึ่ง สวีอีก็เข้ามาบอกว่าใต้เท้าทังมาแล้ว

หยู่เหวินเห้าไปที่ห้องหนังสือทันที ทังหยางรออยู่ที่ห้องหนังสือนานแล้ว พอเห็นหยู่เหวินเห้าเข้ามา ก็รีบยกมือขึ้นคำนับ “ท่านอ๋อง เรื่องที่ให้ทำให้จัดการเรียบร้อยแล้ว หลักฐานต่างๆก็ตรวจสอบชัดเจนแล้ว รอเพียงแค่ท่านเปิดศาลสอบสวน ”

หยู่เหวินเห้าตบโต๊ะ เอ่ยอย่างดีใจว่า “ดี เรื่องนี้เจ้าทำได้ดีมาก มีรางวัลให้

“เงินหรือ”ทังหยางถามยิ้มๆ

“ใช่ตกรางวัลเป็นเงิน แต่ติดไว้ก่อน ”หยู่เหวินเห้ายกพู่กันขึ้น เขียนหนังสือรับรองการเป็นหนี้ให้กับทังหยางแผ่นหนึ่ง ทังหยางค่อยๆเก็บอย่างดี “ใบที่สิบห้าแล้ว”

หยู่เหวินเห้าไม่มีความเขินอายแม้แต่น้อย “เจ้าแบกภาระไปชั่วคราวก่อน พระชายาตั้งครรภ์ ภายหน้าในจวนยังต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอีกมาก”

ทังหยางยิ้ม เอ่ยอย่างฉลาดว่า “โชคดี ที่ใบเป็นหนี้นี้ยังพอใช้ได้”

หยู่เหวินเห้าหรี่ตาลง “เรื่องนี้ ถ้าถอดเขี้ยวเล็บของอ๋องจี้ไม่ได้ ข้าจะไม่หยุดเด็ดขาด”

เรื่องที่เหล่าปัญญาชนของเมืองถิงเจียงเข้าเมืองมาร้องทุกข์ เช้าวันรุ่งขึ้นในราชสำนัก ฮ่องเต้หมิงหยวนก็ได้รับทราบแล้ว เขาโมโหเป็นอย่างมาก สั่งให้หยู่เหวินเห้าทำการตรวจสอบอย่างเคร่งครัด เมื่อมีหลักฐานชัดเจน ขุนนางน้อยใหญ่ในเมืองถิงเจียงที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเท่าไหร่ ต้องถอดตำแหน่งให้หมด จากนั้นค่อยลงโทษตามความผิดไป

อ๋องจี้เองก็อยู่ในราชสำนัก สีหน้าขาวซีด

ตอนที่เลิกประชุมราชสำนัก เขาวิ่งถามหยู่เหวินเห้าไป

“น้องห้า ช้าก่อน”

หยู่เหวินเห้าหยุดลง หันกลับไปมองเขา “พี่ใหญ่ มีเรื่องอะไรหรือ”

อ๋องจี้เอามือพาดที่ไหล่ของเขาพร้อมรอยยิ้ม “ไม่มีอะไร เพียงแต่พวกเราพี่น้องไม่ได้ร่วมดื่มกันมานานแล้ว ไม่สู้คืนนี้พี่เอาเหล้าชั้นดีไหหนึ่งไปดื่มที่จวนของเจ้า นั่งดื่มกินกันดีๆสักครั้งเป็นอย่างไร ”

หยู่เหวินเห้าถอยออกไปอย่างไร้เยื่อใย พูดว่า “ไว้วันหลังเถอะ ช่วงนี้ข้ายุ่งเรื่องราชการอยู่”

อ๋องจี้โบกมือ พูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “เรื่องของเมืองถิงเจียง เห็นได้ชัดว่าเจ้าปัญญาชนพวกนั้นกินอื่นเกินไป ไม่มีเรื่องอะไรทำเลยเป็นบ้า ถ้าให้ข้าพูด ตีพวกเขาให้หลาบจำสักครั้ง ไล่ให้กลับบ้านเกิดไป ให้ที่ว่าการสอดสองพวกเขาไว้ก็พอแล้ว”

หยู่เหวินเห้ามองเขาเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม“พี่ใหญ่ เรื่องนี้ยังไม่ทันได้ตรวจสอบ ท่านก็รู้แล้วว่าพวกปัญญาชนไร้สาะระเป็นบ้าแล้วหรือ ”

“ข้าไปปราบโจรกบฏที่เมืองถิงเจียง โม่เหวินไม่เคยเรียกเก็บค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการปราบโจรกบฏเลย เรื่องนี้ข้ารู้ดี ”อ๋องจี้พูด

“จะเก็บหรือไม่ ตรวจสอบแล้วก็รู้เอง”หยู่เหวินเห้าพูดจบ ก็ยกมือขึ้นคำนับ “ข้ายังมีเรื่องต้องทำ ต้องขอตัวก่อน ”

อ๋องจี้เอ่ยอย่างอึมครึมว่า “เจ้าห้า เจ้านี่เหล้าอวยพรไม่ดื่มอยากดื่มเหล้าลงโทษหรืออย่างไร ”

หยู่เหวินเห้ามองเขา แววตาเย็นชา “ข้าไม่ดื่มทั้งเหล้าอวยพรและเหล้าลงโทษ ”

อ๋องจี้สีหน้าขรึมลง “พวกเราเหล่าชินอ๋อง ใครเล่าจะไม่มีเรื่องในด้านมืดบ้าง เจ้าแทงผู้อื่นหนึ่งแผล แน่นอนผู้อื่นก็ต้องแทงเจ้าหนึ่งแผล ทางที่ดีข้าว่าเจ้าควรคิดให้ดีก่อน ”

“แล้วแต่ท่านจะคิด”หยู่เหวินเห้าเดินจากไป

อ๋องจี้โมโหจนนิ่งอึ้ง นี่เจ้าห้ามุ่งมั่นที่จะเป็นปรปักษ์กับเขาหรือ

เขากลับจวนไปด้วยความโมโห แล้วก็ได้ยินคนมารายงานว่าพระชายาจี้ต้องการพบเขา

เขารู้สึกรำคาญขึ้นมา แต่ก็ไป

พระชายาจี้นอนซมเพราะโรคอยู่บนเตียง เห็นเข้าเดินเข้ามา ก็ลุกขึ้นนั่งตัวตรง “ท่านอ๋องกลับมาแล้ว เรื่องเป็นอย่างไรบ้าง เสด็จพ่อว่าอย่างไร ”

“เจ้ารักษาตัวให้ดี จะไปห่วงเรื่องพวกนั้นทำไมกัน ”อ๋องจี้นั่งลง มองใบหน้าซีดเหลืองของเขา เอ่ยเสียงเรียบ

พระชายาจี้เอ่ยด้วยเสียงแค้นใจ “จะไม่ให้เป็นห่วงได้อย่างไร ขุนนางทั้งบนล่างของเมืองถิงเจียง ล้วนเป็นคนที่ข้ากับน้องชายรวบรวมไว้ได้ หากเกิดเรื่องขึ้นมาจริงๆ นอกจากขาดเงินทองที่พวกเขาคอยส่งให้ ยังจะสาวมาถึงตัวท่านด้วย”

อ๋องจี้เอ่ยเสียงเย็นชาว่า “สาวไม่ถึงข้าหรอก ข้าไม่เคยได้เห็นเงินที่พวกเขาให้มาก ”

พระชายาจี้อึ้ง “นี่ท่านอ๋องหมายความว่าอย่างไร ”

อ๋องจี้มองนาง เอ่ยอย่างไร้ความรู้สึกว่า “คนข้างกายของข้าล้วนเป็นพยานได้ ว่าข้าไม่เคยได้สัมผัสเงินพวกนี้มาก่อน ”

สีหน้าของพระชายาจี้เปลี่ยนไปเล็กน้อย สองไหล่ค่อยๆห่อลง เอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ไม่ผิด ท่านอ๋องไม่เคยแตะต้องเงินพวกนั้นมาก่อน ล้วนเป็นข้าที่เก็บเอาไว้ และเป็นข้าและน้องชายที่ร่วมมือกัน อาศัยอำนาจของท่านอ๋อง เพียงแต่ถ้าเรื่องนี้ถูกพูดออกไป เสด็จพ่อจะเชื่อหรือ แล้วเหล่าขุนนางบุ๋นบู๊ทั้งหลายจะเชื่อหรือไม่ ”

“ทำไมจะไม่เชื่อ ตระกูลมารดาของพระชายา หลายปีมานี้กวาดซื้อที่ดิน ร้านข้า บ้านเรือน ไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ ขอเพียงมีการตรวจสอบ ย่อมต้องน้ำลดตอผุดแน่”อ๋องจี้เอ่ยอย่างเคร่งขรึม

พระชายาจี้ถอนหายใจเย็นๆหนึ่งเฮือก สายตามีแววโศกเศร้ามาก “เรื่องยังมาไม่ถึงจุดที่เลวร้ายที่สุด ท่านอ๋องก็คิดจะส่งข้าออกไปตายแล้ว ยังจะให้เกี่ยวพันไปถึงตระกูลข้าอีก เงินของตระกูลมารดาข้า ล้วนเป็นเงินที่ได้มาจากการทำการค้าของพี่รองทั้งสิ้น”

“ทำการค้า ใช่ พี่ใหญ่เจ้าอยู่ในกรมคลังมาหลายปี คงทำการค้าไปไม่น้อย

เพียงแต่ จะปกปิดการตรวจสอบได้หรือ จะเป็นเงินจากการปล่อยให้กู้หรือเงินจากการทำการค้า พี่ใหญ่เจ้ายืมชื่อเสียงในการทำการค้าของพี่รองเจ้าเท่านั้น หากตรวจสอบขึ้นมา คิดหรือว่าเสด็จพ่อจะไม่รู้”อ๋องจี้หัวเราะเสียงเย็น