เล่ม 1 ตอนที่ 98-2 แบไพ่ ตัวตนในอดีต

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 98-2 แบไพ่ ตัวตนในอดีต
บนรถม้าของสวี่ซื่อเจี๋ยที่จอดอยู่ในตรอกแห่งหนึ่ง สวี่ซื่อเจี๋ยกับยิ่นอ๋องกำลังเฝ้าคอยอย่างเงียบสงบ รอมาได้ราวหนึ่งชั่วยามก็เห็นอีกฝ่ายออกมาจากหรงจี้ สวี่ซื่อเจี๋ยตกใจจนหดร่างเข้าไปในตัวรถ ยิ่นอ๋องมองเขาอย่างดูแคลน แล้วแง้มม่านด้านข้างตัวรถเป็นรอยแยกเส้นหนึ่ง สิ่งที่ทำให้เขาตกตะลึงก็คือ เขาดันเห็นจีหมิงซิว!

จีหมิงซิวมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร

รับประทานอาหารหรือ

เขาไม่ใช่บุรุษที่จะตระเวนไปทั่วเพื่อความปรารถนาของกระเพาะ ครั้งก่อนหากมิใช่เพราะเจ้าเด็กเหลวไหลหลี่อวี้ เขาเชื่อว่าจีหมิงซิวไม่มีทางปรากฏตัว

หรือว่า…จีหมิงซิวจะมาลอบพบผู้ใด

แต่วินาทีต่อมา เขาก็ปฏิเสธการคาดเดาของตนเอง

เขาเห็นเฉียวเวยไล่ตามออกมา ในมือหิ้วตะกร้าใบน้อย ตะกร้าใบนี้เขาเห็นที่บ้านตระกูลหลัวมาก่อน เป็นตะกร้าที่เฉียวเวยเอาไว้ใส่ปลาเล็กปลาน้อยทอดกรอบโดยเฉพาะ

เหตุใดนางจึงมอบปลาทอดให้จีหมิงซิว

จีหมิงซิวไม่มีทางรับ เขาไม่คุ้นเคยกับการกินอาหารที่เอาขึ้นโต๊ะหรูหราไม่ได้พรรค์นี้

แต่สิ่งที่เหนือความคาดหมายก็คือ จีหมิงซิวกลับรับไว้แล้วเผยรอยยิ้มล้อเลียนน้อยๆ จากนั้นก้มลงไปชิดริมหูเฉียวเวย ไม่ทราบว่าพูดสิ่งใด แต่จู่ๆ สีหน้าของเฉียวเวยก็แข็งทื่อ ดวงตาเขาปรากฏแววตากระหยิ่มยิ้มย่องจางๆ แวบหนึ่งแล้วขึ้นรถม้าไป ทิ้งไว้เพียงเฉียวเวยผู้กระทืบเท้า ท่าทางโกรธเกรี้ยวเหมือนกำลังบอกว่าเหตุไฉนเมื่อครู่ข้าจึงไม่ฉีกเขาเป็นชิ้นๆ

จีหมิงซิวที่เป็นเช่นนี้กับเฉียวเวยที่เป็นเช่นนี้ ล้วนทำให้ยิ่นอ๋องรู้สึกไม่คุ้นเคย

“บุรุษที่เจ้าเห็นวันนั้นคงมิใช่เขาหรอกกระมัง” ยิ่นอ๋องถามสวี่ซื่อเจี๋ย

สวี่ซื่อเจี๋ยยื่นคอออกไปอยางระมัดระวังแล้วเหลือบมองผ่านรอยแยก จากนั้นผงกศีรษะดั่งตำกระเทียม “ใช่เขาๆ…เขานี่แหละ!” ข้าจำหน้ากากอันนั้นได้ ดูดีนักเชียว ข้าก็อยากซื้อสักอัน ใส่ไว้คงดูเด่น..”

ยิ่นอ๋องกวาดสายตาเย็นยะเยือกมา เขาพลันหุบปาก

ยิ่นอ๋องนั่งอยู่บนรถม้าที่แล่นกลับจวน แววตาดำทะมึน “นางอาจความจำเสื่อมจริงๆ”

ขันทีหลิวกำลังสัปหงก จู่ๆ ได้ยินคำพูดของนายท่านก็สะดุ้งจนลุกพรวด ศีรษะชนกับเพดานรถ พริบตาเดียวปูดออกมาลูกโต เขาเจ็บจี๊ด เอ่ยขึ้นว่า “ท่าน ท่านพูดอันใด ผู้ใดความจำเสื่อม”

ยิ่นอ๋องเอ่ยอย่างใจเย็น “คุณหนูใหญ่ตระกูลเฉียว”

“เหตุใดจึงกล่าวเช่นนี้” ขันทีหลิวถามอย่างไม่เข้าใจ

ยิ่นอ๋องตอบว่า “นางกับจีหมิงซิวคบหากันอยู่”

ขันทีหลิวตกตะลึงยิ่งนัก “อะไรนะ พวกเขาสองคน นี่เป็นไปได้อย่างไร พวกเขาสองคนเป็นคู่แค้นกันชัดๆ!” ในอดีตเพื่อไม่ต้องแต่งงานกับจีหมิงซิว คุณหนูใหญ่ตระกูลเฉียวมาขอร้องท่านอ๋อง ให้ท่านอ๋องพานางหนีไปด้วยกัน ตั้งแต่จีหมิงซิวทราบว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลเฉียวกับท่านอ๋องร่วมราตรีกันก็แค้นคุณหนูใหญ่เฉียวเข้ากระดูกดำ สองคนนี้อยู่ด้วยกัน บอกว่าดวงตะวันขึ้นจากทางทิศตะวันตกยังจะเข้าเค้ากว่า!

ยิ่นอ๋องลูบแหวนหยกบนมือซ้าย “ดังนั้นข้าจึงบอกว่า นางความจำเสื่อม”

นางมิได้จงใจทำตัวห่างเหินกับเขา แต่นางจำเขาไม่ได้ ประหลาดนักเมื่อทราบเช่นนี้กลับทำให้ในใจเขายอมรับได้ขึ้นมาบ้าง

ขันทีหลิวเอ่ยอีกว่า “ถ้าเช่นนั้นฝ่ายอัครมหาเสนาบดี…”

ยิ่นอ๋องครุ่นคิดครู่หนึ่ง “เขาน่าจะไม่ทราบตัวตนของนาง นางก็น่าจะไม่รู้จักเขา”

ขันทีหลิวตาโตอ้าปากต้าง “สองคนนี้…ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ใดก็ยังกล้าคบกันเช่นนี้ นี่ใจกล้ามากเพียงใดกัน…” ไม่แปลกที่ขันทีหลิวจะตกตะลึงเช่นนี้ ความจริงในยุคโบราณ การแต่งงานไม่เคยเป็นเรื่องของคนสองคน แต่เป็นเรื่องของสองครอบครัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งจีหมิงซิวผู้เป็นหลานชายคนโตสายตรงของครอบครัวอันทรงเกียรติอายุนับร้อยปีเช่นนี้ การแต่งงานยิ่งมิอาจทำอย่างลวกๆ ได้ จะแต่งสตรีที่ตัวตนไม่ทราบชัดคนหนึ่งเข้าตระกูล ผู้ใหญ่กับผู้อาวุโสทั้งหลายในตระกูลจีต้องไม่ยินยอมอย่างแน่นอน

นี่เป็นเรื่องหนึ่งที่ยิ่นอ๋องริษยาจีหมิงซิว เขาเหมือนไม่เคยใส่ใจความเห็นของผู้อื่น ครั้งนั้นหลังจากคุณหนูใหญ่ตระกูลเฉียวถูกขับไล่ออกจากตระกูล จวนแม่ทัพตัวหลัวเคยแสดงเจตนาว่าหมายจะแต่งงานสานสัมพันธ์กับจีหมิงซิว แต่จีหมิงซิวกลับปฏิเสธอย่างอ้อมๆ

หากจีหมิงซิวไม่ได้ปฏิเสธในตอนนั้น ก็คงไม่มีเรื่องดีตกมาถึงตนในวันนี้

“ท่านอ๋อง ท่านคิดว่า ตระกูลเฉียวทราบตัวตนของนางหรือไม่ ครั้งก่อนคุณหนูเล็กตระกูลเฉียวยังถูกคุณหนูใหญ่ตระกูลเฉียวจับเข้าคุกอยู่เลย” ขันทีหลิวถามเหมือนขบคิดบางอย่าง

ยิ่นอ๋องเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “ตระกูลเฉียวทราบหรือไม่ ไม่เกี่ยวอันใดสักนิดกับข้า”

ตระกูลเฉียวก็เพียงถือครองทรัพย์สมบัติของบ้านใหญ่นิดหน่อยเท่านั้น บางทีอาจยังมีสินเดิมของเสิ่นซื่ออีกเล็กน้อย แต่เสิ่นซื่อเป็นสตรีจากยุทธภพ สินเดิมของนางจะมีของดีอันใดได้ ก็คงมีเพียงเงินไม่กี่หีบ ยิ่นอ๋องไม่เข้าไปยุ่งกับการต่อสู้ภายในตระกูลระหว่างคุณหนูใหญ่เฉียวกับตระกูลเฉียวเพียงเพื่อเงินไม่กี่หีบหรอก

อีกประการหนึ่งยิ่งตระกูลเฉียวบีบคุณหนูใหญ่ตระกูลเฉียวมากเท่าใด คุณหนูใหญ่เฉียวก็ยิ่งจนตรอกมากเท่านั้น ยิ่งจนตรอกไร้หนทางก็ยิ่งตามเขากลับจวนอ๋องง่าย

แน่นอนว่าเงื่อนไขก่อนหน้าก็คือต้องแย่งนางมาจากมือของจีหมิงซิวให้ได้ก่อน

เขาเชื่อว่าวันนั้นจะมาถึงในอีกไม่ช้าแล้ว

รถม้าแล่นถึงเรือนสี่ประสาน จีหมิงซิวลงจากรถม้า เพิ่งจะเดินไปได้ไม่กี่ก้าว แววตาก็ชะงักวูบหนึ่ง “ผู้ใด”

“อาสี่ช่างหูดีเสียจริง ขนาดนี้แล้วยังถูกท่านจับได้อีก” ยิ่นอ๋องเดินเอื่อยเฉื่อยออกมาจากในตรอก

จีหมิงซิวมองเขาอย่างเย็นชา “มาเยือนดึกดื่นมืดค่ำ มีธุระอันใด”

ยิ่นอ๋องยิ้มเหมือนมิใช่รอยยิ้ม “หลานเพียงมาบอกข่าวแก่อาสี่”

“ข่าวที่เจ้านำมาให้ ข้าไม่สนใจ” จีหมิงซิวก้าวข้ามธรณีประตูโดยไม่แม้แต่จะหันศีรษะกลับมามอง

ยิ่นอ๋องเอ่ยต่อ “หลานหาตัวคุณหนูใหญ่เฉียวกับลูกพบแล้ว”

ก้าวเท้าของจีหมิงซิวไม่หยุดแม้แต่น้อย ราวกับว่าไม่ได้ยินถ้อยคำที่เขาเอ่ยสักนิด

ยิ่นอ๋องกำหมัด เอ่ยกับแผ่นหลังของเขา “เรื่องเมื่อตอนนั้น กล่าวไปแล้วหลานเองก็ถูกเหตุการณ์บีบบังคับ อาสะใภ้สี่อยากปีนขึ้นเตียงหลานให้ได้ เพื่อการนี้ยังวางยาหลาน หลานอับจนหนทางจริงๆ หลังจากนั้นหลานก็นึกเสียใจยิ่งนัก แน่นอนสิ่งที่เสียใจที่สุดก็คือเรื่องที่แทงอาสะใภ้สี่ไปหนึ่งกระบี่ หากทราบมาก่อนว่าอาสี่ไม่ถือสาที่นางเคยทำผิดอันใดต่ออาสี่ หลานคงพานางมาส่งถึงจวนอาสี่ด้วยตนเองแล้ว แต่วันนี้คิดว่าโชคยังดีที่ไม่ได้พามาส่ง มิเช่นนั้นไยมิใช่ปล่อยให้อาสี่กลายเป็นพ่อกำมะลอของลูกคนอื่น

อาสี่ไม่อยากรู้หรือว่าลูกของหลานคือผู้ใด เขาก็คือเฉียวจิ่งอวิ๋นผู้สอบได้อันดับสามในการสอบเสินถงนั่นอย่างไรเล่า อาสี่น่าจะคุ้นเคยกับชื่อนี้สินะ หลานได้ยินมาว่าอาสี่ชื่นชมจิ่งอวิ๋นยิ่งนัก ให้รางวัลพิเศษแก่จิ่งอวิ๋นห้าสิบตำลึงเงิน แล้วยังมอบลูกคิดทองคำหนึ่งรางให้วั่งซูอีก อาสี่ดูแลเลือดเนื้อเชื้อไขของหลานเช่นนี้ หลานขอบคุณอาสี่ไว้ ณ ที่นี้ วันหน้าหลานพาพวกเขาแม่ลูกกลับจวนต้องจัดเตรียมงานเลี้ยงขอบพระคุณอาสี่ที่ดูแลแน่นอน”

จีหมิงซิวหมุนตัวกลับมา ฝ่ามือดุดันข้างหนึ่งตบเข้าใส่ กระแสลมระเบิดอย่างฉับพลันดุจดั่งอสนีบาตฟาดกลางอากาศ พละกำลังมหาศาลซัดยิ่นอ๋องจนล้มหงาย ร่างปลิวกระแทกกำแพงด้านหลัง กำแพงถูกชนจนแหลกละเอียด ยิ่นอ๋องทรุดลงบนพื้น อิฐนับไม่ถ้วนบนกำแพงถล่มลงมากระแทกศีรษะยิ่นอ๋องจนเลือดไหล

ยิ่นอ๋องคิดไม่ถึงว่าจีหมิงซิวผู้สูญเสียวรยุทธ์ทั้งหมดไปแล้วจะยังลงมือกับตนได้ ทำให้คนคิดไม่ถึงเกินไปแล้ว

แต่นี่ย่อมบ่งบอกว่าจีหมิงซิวใส่ใจมิใช่หรือ

ห้าปีก่อนยามได้ยินเรื่องคุณหนูใหญ่ตระกูลเฉียวกับเขา จีหมิงซิวไม่แม้แต่จะกะพริบตา ในสายตาคนภายนอกจีหมิงซิวเคียดแค้นเขาล้ำลึกเพราะเขาหลับนอนกับคู่หมั้นของจีหมิงซิว ทว่ามีเพียงเขากับจีหมิงซิวที่ทราบว่าความสัมพันธ์อันไร้ทางแก้ของพวกเขาถูกกำหนดมาตั้งแต่เริ่มแรก เพียงต้องการเหตุผลอันเหมาะสมสักอันนำทุกสิ่งขึ้นมาไว้เบื้องหน้าก็เท่านั้น เรื่องคุณหนูใหญ่เฉียวกับเขาบังเอิญกลายเป็นเหตุผลประการนั้นพอดี

เรื่องในวันนี้เดิมทีเขาต้องการหยั่งเชิงสักครั้ง ความจริงแล้วเขาไม่แน่ใจในท่าทีของจีหมิงซิวนัก คิดไม่ถึงว่าจีหมิงซิวจะมีวันที่โทสะแล่นขึ้นศีรษะเพราะหญิงงามกับคนอื่นเขาด้วย

จีหมิงซิว เจ้ามีจุดตายแล้ว

สวี่ซื่อเจี๋ยมาตอกบัตรที่บ้านตระกูลหลัวเช่นทุกวัน เขาเดินต้อยๆ ตามเฉียวเวยไปทั่ว ฝ่ายยิ่นอ๋องไม่ได้มาหลายวันแล้ว เขาไม่มา เฉียวเวยย่อมสุขสันต์สบายอุรา แต่สวี่ซื่อเจี๋ยกลับคิดถึงวันที่มี ‘สหายร่วมรบ’ ร่วมรุกร่วมถอยอยู่บ้าง

เฉียวเวยพาลูกๆ ไปจับปลาที่ลำธารสายน้อย จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูถอดกางเกงขายาว สวมกางเกงชั้นในเดินลงน้ำ

ลำธารใสกระจ่าง หมู่มวลมัจฉาแหวกว่ายไปมา วั่งซูเล่นอย่างสนุกสนาน

พี่ชายจับตัวหนึ่งใส่ข้อง นางก็แอบจับตัวหนึ่งปล่อยกลับลงน้ำ จิ่งอวิ๋นจับอยู่นานกลับพบว่าข้องยังเบาอยู่

เฉียวเวยประจำเดือนมาจึงไม่ลงน้ำ นั่งอยูบนก้อนหินแทะเมล็ดแตงอยู่อย่างนั้น

สวี่ซื่อเจี๋ยเดิมก็จะนั่งบนก้อนหินด้วย แต่ถูกเฉียวเวยเบียดจนร่วงตกพื้น เขาลุกขึ้นแล้วกลับมาทำท่าหยิ่งยโส ลูบจมูกเอ่ยว่า “คุณชายหลี่ไม่ได้มาหลายวันแล้ว เจ้าว่าเขาคงมิได้ยอมแพ้แล้วหรอกกระมัง”

เฉียวเวยโยนเปลือกเมล็ดแตงทิ้ง “ยอมแพ้แล้วไม่สมใจท่านหรือ คุณชายสวี่”

แม้กล่าวเช่นนี้ แต่เจ้าก็ยังวิ่งไปหรงจี้ทุกวัน พบหนุ่มน้อยคนรักของเจ้าอยู่ทุกวัน ก่อนหน้านี้มีคุณชายหลี่เกาะติดเจ้าอยู่ด้วยกัน เจ้ายังไปน้อยหน่อย ตอนนี้คุณชายหลี่ไม่อยู่แล้ว ข้าบุกเดี่ยวตัวคนเดียว ไหนเลยจะขัดขวางความเปล่าเปลี่ยวของเจ้าได้

วั่งซูขโมยปลาตัวน้อยจากพี่ชายอีกหน ทันใดนั้นมือน้อยข้างหนึ่งก็เอื้อมมาจับนางได้คาหนังคาเคา

ขบวนคนกลับบ้านพร้อมปลามากมาย เฉียวเวยไปห้องครัวทำปลาทอดกรอบตระกร้าหนึ่งแล้วขนเข้ามาในตัวเมือง

วันนี้เป็นวันส่งมอบของที่นัดกับจีหมิงซิวไว้ มีลิ้นจี่แล้วก็มีโถที่ปิดแน่นลมไม่ผ่านด้วย เพื่อแสดงความขอบคุณ เฉียวเวยจึงตั้งใจไปห้องครัวห้องน้อยทำอาหารอร่อยไว้เต็มโต๊ะ แต่นางยังไม่ทันได้พบจีหมิงซิว ก็พบยิ่นอ๋องผู้เพิ่งฟื้นจากอาการบาดเจ็บเสียก่อน

ระยะนี้ยิ่นอ๋องโชคร้ายยิ่งนัก เริ่มแรกกินอาหารที่บ้านเฉียวเวยจนท้องเสีย หวิดจะถ่ายท้องจนชีวิตน้อยๆ ของตนปลิดปลิว ลำบากนักกว่าจะฟื้นพละกำลังกลับมาได้เล็กน้อย ก็ถูกจีหมิงซิวซัดหนึ่งฝ่ามือจนบาดเจ็บหนัก นอนอยู่บนเตียงสามวันเต็มๆ จึงลุกจากเตียงมาได้ เดิมสมควรพักรักษาตัวในจวนต่อ แต่เมื่อคิดถึงข่าวที่เขาสืบมาได้พักนี้ จึงรู้สึกว่าตนเองสมควรเดินทางมาที่นี่สักเที่ยวหนึ่งอย่างยิ่ง

“อาหารมากมายเช่นนี้ ต้อนรับแขกหรือไร” ยิ่นอ๋องนั่งลงโดยไม่ได้รับเชิญ แล้วรินชาถ้วยหนึ่งให้ตนเอง “น่าเสียดายเจ้าคงรอเสียเที่ยว”

เฉียวเวยคร้านจะสนใจเขา นางจัดชามตะเกียบจนเรียบร้อย แล้วจงใจข้ามตรงหน้าเขา ไปวางอีกตำแหน่งหนึ่ง

ยิ่นอ๋องเอ่ยอย่างเย็นชา “ไม่ต้องเสียแรงเปล่าแล้ว คนที่เจ้ารอไม่มาหรอก”

เฉียวเวยเอ่ยอย่างนึกขัน “ข้ารอผู้ใดแล้วเกี่ยวอันใดกับท่าน ผู้อื่นจะมาไม่มาแล้วเกี่ยวอันใดกับท่าน ท่านเป็นถึงท่านอ๋องคนหนึ่งของแว่นแคว้น ทั้งวันเอาแต่มาอยู่ที่นี่ หากเล่าลือออกไปไม่กลัวคนหัวเราะเยาะหรือ”

ยิ่นอ๋องทำเหมือนไม่ได้ยินคำถามของนาง “เขาลงใต้ไปเจียงหนานจัดการปัญหาเรื่องน้ำแล้ว สามเดือนห้าเดือนไม่มีทางกลับมา”

มือที่จัดตะเกียบของเฉียวเวยชะงัก

ยิ่นอ๋องเห็นการเคลื่อนไหวของนางทั้งหมดจึงยิ้มหยันเอ่ยว่า “ดูท่าเขาคงไม่ได้บอกเจ้าล่ะสิ ไม่ได้บอกเจ้าว่าเขาเป็นขุนนางของราชสำนัก หรือไม่ได้บอกเจ้าว่าเขาลงไปจัดการปัญหาเรื่องน้ำที่เจียงหนานเล่า”

เฉียวเวยวางตะเกียบจนเรียบร้อยโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าสักนิด จากนั้นหยิบผ้าสะอาดมาเช็ดโต๊ะแผ่วเบา “ท่านอ๋อง ทั้งวันเอาแต่มาสอดส่องข้า ท่านว่างใช่หรือไม่”

ยิ่นอ๋องท่าทางเฉยเมย “ความจริงก็ว่างเล็กน้อย หากเจ้าพาลูกตามข้ากลับจวน ข้าน่าจะไม่ว่างขนาดนี้แล้ว”

เฉียวเวยโยนผ้าทิ้งลงบนโต๊ะ “ท่านฝันไปเถิด ข้าไม่มีทางพาลูกกลับไปจวนอ๋องอะไรนั่นหรอก!”

ยิ่นอ๋องจ้องนางนิ่ง “เจ้าไม่เชื่อว่าข้าเป็นบิดาตัวจริงของเด็กๆ หรือเชื่อแต่ไม่ยอมให้เด็กๆ ยอมรับบิดาคนนี้เล่า”

เฉียวเวยยิ้มหยัน “สำคัญตรงไหนเล่าท่านอ๋อง สรุปก็คือข้าขัดตาท่านยิ่งนัก ไม่มีวันมอบเด็กๆ ไปอยู่ในมือท่านแน่”

จีหมิงซิวทอดทิ้งนางลงไปเจียงหนาน ยิ่นอ๋องอารมณ์ดีย่อมไม่คิดเล็กคิดน้อยกับถ้อยคำและท่าทางไม่สมควรของนาง เขาเอ่ยต่อ “ไม่มอบให้ข้า จะมอบให้เขาคนนั้นหรือ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดเขาลงไปเจียงหนาน มิใช่เพราะรับบัญชาจากเสด็จพ่อของข้า แต่เขาอาสาเดินทางไปเอง เจ้าว่า เหตุใดเขาจึงทำเช่นนั้น เขารีบร้อนออกจากเมืองหลวงเช่นนี้ กำลังหลบผู้ใดอยู่หรือไม่”

กล่าวถึงตรงนี้ แววตามีเลศนัยของเขาก็มองมาหาเฉียวเวย

แววตาของเฉียวเวยวูบไหว “ท่านมองข้าทำอะไร ท่านอยากรู้คำตอบก็รอเขากลับมาแล้วไปถามเขาเอง”

ยิ่นอ๋องจึงเอ่ยว่า “ข้าบอกแล้ว ไม่มีสามเดือนห้าเดือนเขาไม่กลับมา เจ้าไม่เชื่อ ก็รอดูแล้วกัน”

เฉียวเวยไม่เชื่อคำพูดเหลวไหลของยิ่นอ๋อง นางไล่ยิ่นอ๋องออกไป

แต่วันนี้เป็นวันนัดส่งสินค้า เขากลับผิดนัดจริงๆ

ปลายเดือนห้า หรงจี้มีลูกค้าประหลาดมาเยือนคนหนึ่ง เขาแต่งตัวเยี่ยงพ่อค้าวาณิช อายุราวสี่สิบปี ท่วงท่าสุขุม สงวนวาจาและรอยยิ้ม เขานั่งอยู่ในหอชิงอวี้ที่แพงที่สุดในหรงจี้ สั่งอาหารจานเด็ดของหรงจี้ทั้งหลายมาจนครบ เพียงกุ้งก้ามแดงอย่างเดียวก็ทำมาเจ็ดแปดรส แล้วยังมีไข่เยี่ยวม้า เต้าหู้เหม็น ขนมหวาน…วางจนเต็มโต๊ะตัวหนึ่ง

เขาชิมอาหารแต่ละอย่างหนึ่งคำ เมื่อชิมเสร็จก็พยักหน้าหรือส่ายหน้า

เมื่อเขาส่ายหน้า บ่าวรับใช้คนหนึ่งก็เรียกเสี่ยวเอ้อร์มายกอาหารจานนั้นออกไป เมื่อพยักหน้า บ่าวรับใช้ก็หยิบพู่กันกับกระดาษออกมาจดบันทึก

พฤติกรรมประหลาดพิกลนี่ ทำให้คนของหรงจี้ทั้งหมดมาเกาะประตูหน้าต่างดู

เสี่ยวลิ่วถามเสียงเบา “เถ้าแก่หรง ท่านว่าเขาจะใช่สหายร่วมอาชีพที่มาแอบขโมยวิชาของพวกเราหรือไม่”

เถ้าแก่หรงดูแล้วไม่เหมือน “เจ้าเคยเห็นพ่อครัวคนใดแต่งตัวภูมิฐาน ท่วงท่ากิริยาดีเช่นนี้หรือ”

เสี่ยวลิ่วส่ายหน้า คนที่ทำอาชีพเดียวกับพวกเขา เขาเห็นมามากแล้ว ทั้งคนที่มั่งคั่งจริงและคนที่แสร้งมั่งคั่ง มอบปราดเดียวก็มองออก บุรุษวัยกลางคนที่อยู่ด้านใน แม้หน้าตาธรรมดา แต่ท่วงท่ายามขยับมือขยับเท้านั่น แม้แต่นายท่านธรรมดาก็เทียบไม่ได้ “ถ้าเช่นนั้นเขาทำอะไร”

เถ้าแก่หรงถลึงตาใส่เขา “เจ้าถามข้าแล้วข้าจะถามผู้ใด!”

บุรุษวัยกลางคนชิมอาหารอย่างสุดท้ายเสร็จก็เอ่ยกับบ่าวรับใช้ “เรียกเถ้าแก่มา”

ไม่รอให้บ่าวรับใช้มาเชิญ เถ้าแก่หรงก็ยิ้มแย้มเดินเข้าไปหาแล้ว “ข้าคือเถ้าแก่ ขอถามท่านขุนนางเรียกหาข้ามีเรื่องใดหรือ หรือว่าอาหารของพวกเรามิถูกปากท่าน”

บุรุษวัยกลางคนส่ายศีรษะเล็กน้อย “อาหารเป็นของดี แต่คนปรุงไม่ถูก”

เถ้าแก่หรงตะลึง

บุรุษวัยกลางคนเอ่ยขึ้นว่า “อาหารเหล่านี้มิใช่พวกเจ้าทำขึ้นมาเองสินะ”

เถ้าแก่หรงตะลึง “คนครัวของพวกเรา…”

“ผู้ใดสอนพวกเจ้ามา” บุรุษวัยกลางคนเอ่ยถาม

คนผู้นี้เหตุไฉนมาถึงก็ทราบว่าอาหารมีคนข้างนอกสั่งสอนมา

ดวงตาของเถ้าแก่หรงกลอกไปมา “คือว่า…”

บุรุษวัยกลางคนเอ่ยขัดเขาอีกครั้ง “ช่างเถิด เจ้าไปเรียกคนมา” กล่าวจบก็ล้วงทองคำก้อนละสิบตำลึงก้อนหนึ่งจากในแขนเสื้อกว้างออกมาวางไว้บนโต๊ะ