ตอนที่ 118-1 ไล่ไปให้หมด

หากกล่าวถึงว่าสวีซื่อมีความผูกพันสักนิดต่อคุณหนูใหญ่เฉียวจริงหรือไม่ เมิ่งซื่อคิดว่ามี

เดิมทีสวีซื่อก็ตามใจคุณหนูใหญ่เฉียวยิ่งนัก เมิ่งซื่อเคยสงสัยว่าสวีซื่อต้องการเลี้ยงคุณหนูใหญ่เฉียวให้กลายเป็นคนไม่เอาถ่าน แต่วันนี้เมิ่งซื่อมีอคติกับสวีซื่อแล้ว จึงรู้สึกว่าบางทีสวีซื่ออาจรักใคร่เอ็นดูคุณหนูใหญ่เฉียวจริงและคิดเป็นอริกับแม่สามีเช่นนางจริงๆ

ประจวบเหมาะกับพักนี้สภาพการเงินของจวนเอินปั๋วไม่ค่อยดี ขณะที่คุณหนูใหญ่เฉียวบังเอิญสร้างบ้านใหม่ หากจะบอกว่าสวีซื่อไม่ได้นำเงินของพวกเขาไปจุนเจือคุณหนูใหญ่เฉียว เมิ่งซื่อไม่มีทางเชื่อ

“ข้ายังได้ยินมาอีกเรื่องหนึ่ง” ฮูหยินสามเล่าข่าวที่ตนใช้เงินมากมายสืบมากับเหล่าไท่อย่างไม่ปิดบังแม้แต่น้อย “ท่านยังจำที่ซีเอ๋อร์ซื้อไข่เยี่ยวม้าไปเอาใจจีเหล่าฮูหยินได้หรือไม่”

จำได้ แน่นอนย่อมจำได้สิ ตอนนั้นนางยังอิจฉาริษยาอยู่เลย ย่าแท้ๆ ยังไม่ได้กิน กลับนำไปมอบให้คนนอก แต่เมื่อคิดว่าทำเพื่ออนาคตของจวนเอินปั๋วทั้งหมด เมิ่งซื่อก็รู้สึกว่าไม่โกรธอะไรปานนั้นแล้ว

“เรื่องนั้นมีอันใด” นางถามเสียงขรึม

ฮูหยินสามแค่นเสียงเฮอะออกมาคำหนึ่ง “ไข่เยี่ยวม้าฟองละสองร้อยอีแปะ พวกนางกลับซื้อมาฟองละห้าตำลึง แล้วท่านทราบหรือไม่ว่าเงินนั้นไปเข้ากระเป๋าของผู้ใด”

“คุณหนูใหญ่เฉียวหรือ” เมิ่งซื้อลองถามดู

ฮูหยินสามตอบ “ถูกต้องแล้ว คุณหนูใหญ่เฉียว! คุณหนูใหญ่เฉียวเป็นผู้ที่ขายไข่เยี่ยวม้า พวกนางมอบเงินมากมายปานนั้นให้คุณหนูใหญ่เฉียวหมายความว่าอย่างไร นี่มิใช่เพื่อจุนเจือคุณหนูใหญ่เฉียวแล้วคือสิ่งใด”

เมิ่งซื่อโกรธจนตัวสั่น เจ้าพวกเห็นคนนอกดีกว่าคนในครอบครัว ตอนนั้นทำให้บุตรชายนางพบอันตรายก็แล้วไปเถิด แต่ยามนี้ยังจะเอาเงินของนางไปช่วยสาวน้อยคนนั้นอีก!

“ท่านแม่ พวกเราต้องทวงเงินกลับมานะเจ้าคะ” ฮูหยินสามเอ่ย “นางถูกขับไล่ออกจากตระกูลไปแล้ว ไม่มีสิทธิใช้เงินของพวกเราแล้ว พี่สะใภ้รองเอาเงินไปช่วยนางก็สมควรใช้เงินส่วนตัวของตนเอง มิใช่มาขนของพวกเราไป”

เมิ่งซื่อรู้สึกว่าฮูหยินสามกล่าวมีเหตุผลยิ่งนัก สวีซื่อจะทำสิ่งใดก็เป็นเรื่องของสวีซื่อ แต่คุณหนูใหญ่เฉียวที่ถูกขับออกจากตระกูลไปแล้วไม่มีสิทธิใช้เงินของพวกนาง

ฟ้าสางแสงสลัว เฉียวเวยถูกนาฬิกาชีวิตในตัวปลุกให้ตื่น นางคลำหาลูกที่อยู่ข้างกายโดยสัญชาตญาณ แต่คลำพบเพียงคนเดียว จึงลืมตาขึ้นอย่างห้ามไม่ได้

วั่งซูนอนหลับสบายอยู่บนพุงของน้องสาวตัวน้อยนามเสี่ยวชุน น้องสาวเสี่ยวอวี่ถูกดึงหัวหลุดเพราะไม่ทันระวังเมื่อคืนวาน แม้จะเย็บเรียบร้อยแล้วแต่ก็อาจจะยัง ‘เจ็บปวด’ อยู่เล็กน้อย วั่งซูจึงวางน้องสาวเสี่ยวอวี่ไว้บนชั้นวางของของนางอย่างใส่ใจเพื่อให้น้องสาวรักษาตัว

ลูกชายไม่อยู่

เฉียวเวยสวมรองเท้าแล้วเดินเข้าไปในห้องของจิ่งอวิ๋น นางเห็นร่างเล็กจ้อยผอมบางร่างหนึ่งนั่งอ่านตำราอยู่ริมหน้าต่างจริงอย่างที่คิด

แต่สิ่งที่อ่านอยู่ไม่ใช่บันทึกภูมิศาสตร์ที่หมิงซิวส่งมาให้ แต่เป็น “บันทึกราชวงศ์ต้าเหลียง” ที่ซิ่วไฉเฒ่าซื้อให้เขา

เฉียวเวยเดินเข้าไปลูบศีรษะของลูกชาย “เหตุใดวันนี้จึงตื่นเช้าเช่นนี้เล่า”

“เมื่อวานนอนเร็ว พอเช้าก็ตื่นแล้วขอรับ” จิ่งอวิ๋นเอ่ยเสียงเบา

ลุกขึ้นมาก็อ่านตำรา พากเพียรปานนี้ เจ้าจะให้พวกเด็กกากรู้สึกเช่นไรดีหืม

ทั้งๆ ที่พึ่งพรสวรรค์ก็พอ ไม่จำเป็นต้องอาศัยความพยายามแท้ๆ

เฉียวเวยหอมหน้าผากเล็กๆ ของเขา “หิวแล้วกระมัง แม่จะไปทำอาหารเช้า”

จิ่งอวิ่นพยักหน้า

เฉียวเวยไปห้องครัว

จิ่งอวิ๋นเลื่อนสายตามาจับบนบันทึกภูมิศาสตร์หลายเล่มนั้น จับจ้องนิ่งอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายก็ไม่เปิดอ่าน แต่เก็บเข้าลิ้นชักอย่างเงียบๆ

ยามเช้าตรู่ มีแขกไม่ได้รับเชิญคนหนึ่งมาเยือนคฤหาสน์

ตอนที่เห็นเงาทอดเข้ามาจากนอกประตู เฉียวเวยคิดว่าเป็นปี้เอ๋อร์ ยังพึมพำกับตนเองอยู่เลยว่าสาวน้อยคนนั้นเหตุไฉนจึงมาเช้าเช่นนี้ แต่เมื่อเฉียวเวยหันกลับมาก็เห็นว่าเป็นสตรีมีอายุสวมเสื้อคลุมสีชาด เส้นผมเกล้าเรียบตึงไม่มีหลุดลุ่ยสักเส้น

มองปราดเดียวก็ทราบว่าท่านป้าผู้นี้ไม่ใช่คนในหมู่บ้าน

นางยืนอยู่ที่ประตูบ้านของตน สายตาที่มองตนวาวโรจน์คล้ายรู้จักนาง

เฉียวเวยมองนางอย่างประหลาดใจ “ท่านป้าผู้นี้มาหาผู้ใดหรือ”

ท่านป้าหรือ

เซวียมามาถูกคำเรียกขานนี้ทำให้งงงัน ฝั่งคลังสินค้าด้านนั้น อากุ้ยกับกู้ชีเหนียงทยอยตื่นขึ้นมาอาบน้ำอาบท่า เซวียมามาเรียกสติกลับมา “มาสนทนากันสักหน่อยได้หรือไม่”

เฉียวเวยเห็นว่านางไม่เหมือนคนเป็นวรยุทธ์ ลังเลอยู่ครู่เดียวก็นำนางเข้ามาในห้องโถง “หากต้องการน้ำชา บนโต๊ะมีวางไว้อยู่ เชิญท่านรินเอง ขอเตือนด้วยความจริงใจนั่นเป็นน้ำชาค้างคืน มิทราบว่าพวกท่านคนในเมืองจะคุ้นเคยหรือไม่”

เซวียมามามองเสื้อผ้าเรียบง่ายบนร่างนาง ตรงรอยขาดที่แขนเสื้อใช้เข็มด้ายเย็บซ่อมไว้ แต่ฝีเข็มไม่ดีนักจึงมองเห็นร่องรอย

คุณหนูใหญ่ในความทรงจำของนางไม่เคยสวมใส่เสื้อผ้าซ่อมซ่อเช่นนี้มาก่อน

สิ่งที่แปลกประหลาดก็คือเซวียมามากลับไม่รู้สึกว่านางดูซอมซ่อ แต่รู้สึกว่าสูงสง่าและงามพิสุทธิ์ปราศจากเครื่องเติมแต่งทั้งหลาย

“ไม่พบหน้ากันหลายปี ท่านเปลี่ยนไปมากนัก” เซวียมามาถอนหายใจ

เฉียวเวยถามอย่างไม่ใคร่ใส่ใจ “ท่านรู้จักข้าหรือ”

เซวียมามามุ่นคิ้ว “คุณหนูใหญ่จำบ่าวมิได้แล้วหรือ”

อ้อ คนจากครอบครัวเจ้าของร่างคนเก่านี่เอง มีหญิงรับใช้แต่งตัวดูดีเช่นนี้ ครอบครัวเจ้าของร่างก็คงไม่กระจอกสินะ

นี่เป็นครั้งแรกที่เฉียวเวยได้พบคนจากครอบครัวของเจ้าของร่างคนเดิม ความรู้สึกเรียบเฉยยิ่งกว่าที่จินตนาการเอาไว้ เฉียวเวยคิดว่าเมื่อตนได้พบพวกเขา จะมากจะน้อยก็คงมีอารมณ์หวั่นไหวอยู่บ้าง ทว่ากลับไม่มีเลย หัวใจของนางสงบดุจน้ำนิ่ง

“คุณหนูใหญ่มองบ่าวอยู่ตลอด ยังนึกไม่ออกว่าบ่าวคือผู้ใดหรือเจ้าคะ” เซวียมามาถาม

เฉียวเวยคลี่ยิ้ม “ขออภัยด้วย คนสูงศักดิ์มักลืมง่าย ข้าจำเจ้ามิได้แล้ว”

เซวียมามาเพิ่งจิบชาไปได้คำหนึ่งเกือบสำลักตาย ผู้ใดยกยอตนเองเช่นนี้กันบ้าง ไม่พบหน้ากันไม่กี่ปี คุณหนูใหญ่เหตุไฉนจึงเหมือนจะหน้าหนาขึ้น

“จำมิได้ก็ไม่เป็นอันใด บ่าวแซ่เซวีย คุณหนูใหญ่เรียกบ่าวว่าเซวียมามาก็ได้” เซวียมามารู้สึกว่าคุณหนูใหญ่กำลังจงใจกลั่นแกล้งอยู่

เฉียวเวยดื่มน้ำชาคำหนึ่งแล้วถามว่า “เซวียมามา ถ้าเช่นนั้นเซวียมามามาหาข้าถึงบ้านมีธุระอันใดกันแน่เล่า”

“เหล่า…” เซวียมามาชะงัก แล้วเติมแซ่ไปข้างหน้า “เมิ่งเหล่าไท่ไท่ให้ข้ามา”

เฉียวเวยเลิกคิ้ว “อ้อ ถ้าเช่นนั้นเมิ่งเหล่าไท่ไท่มีธุระอันใดกับข้าเล่า”

เซวียมามาคิดถ้อยคำไว้เรียบร้อยระหว่างทางที่มาแล้ว แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดเมื่อมาถึงที่นี่กลับยากจะเอ่ยปากอยู่เล็กน้อย ขณะที่ลังเลว่าจะบอกจุดประสงค์ของตนกับคุณหนูใหญ่เช่นไร ก็ได้ยินเสียงดังมาจากในห้องนอนสองสามหน เฉียวเวยลุกขึ้น “ท่านนั่งรอก่อน”

กล่าวจบ เฉียวเวยก็เดินเข้าไปในห้องนอน

เซวียมามาลอบพรูลมหายใจ เมื่อครู่นางถูกคุณหนูใหญ่ถามจนอึ้ง มิทราบว่าจะเปิดปากเรื่องนี้เช่นไรดีจริงๆ

เหล่าไท่ไท่ต้องการเอาเงินที่ลูกสะใภ้มอบให้หลานสาวกลับมา ฟังอย่างไรก็รู้สึกว่าหน้าไม่อายเล็กน้อย

แต่เรื่องนี้จะโทษเมิ่งซื่อทั้งหมดก็มิได้

ตอนเฉียวเวยอยู่ในจวนเอินปั๋ว เมิ่งซื่อปฏิบัติต่อหลานสาวผู้นี้ไม่เลว

เมิ่งซื่อเพียงชังเฉียวเวยอยู่ในใจเท่านั้น อีกทั้งความชังนี้มากกว่าครึ่งเป็นเพราะเฉียวเวยทำตัวเอง เฉียวเวยเห็นนางครั้งใดก็ชอบทำหน้าบูดเบี้ยว จมูกไม่เหมือนจมูก ดวงตาไม่เหมือนดวงตา แล้วจะให้นางชอบได้อย่างไร

แต่เฉียวเวยดูแคลนเมิ่งซื่ออีกเท่าใด เมิ่งซื่อก็ไม่เคยคิดทำอะไรกับเฉียวเวย ด้านหนึ่งเพราะเฉียวเวยเป็นทายาทของเรือนใหญ่ เป็นทายาทสายตรงเพียงคนเดียวของจวนเอินปั๋ว ฐานะสูงกว่าผู้ใดทั้งสิ้น นางจึงไม่กล้าล่วงเกิน ถึงแม้บุตรชายของนางจะได้เป็นเจ้าตระกูลแล้ว แต่เมื่อสืบไล่ถึงต้นทางก็เป็นเพียงนายท่านที่เกิดจากอนุภรรยาคนหนึ่ง อีกด้านหนึ่งเพราะไม่ว่าอย่างไรเฉียวเวยก็เป็นลูกหลานคนหนึ่งของตระกูลเฉียว หากนางวิ่งโร่ไปจัดการเฉียวเวยเพียงเพราะความไม่พอใจเล็กน้อย หากเล่าลือออกไป นางจะกลายเป็นตัวอะไร

แต่วันนี้ไม่เหมือนวันวานแล้ว เฉียวเวยถูกขับไล่ออกจากตระกูลแล้ว เช่นนี้นางย่อมมิใช่คนตระกูลเฉียวอีก สิ่งที่เมิ่งซื่อเคยหวั่นเกรงในอดีต ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องสนใจอีกต่อไป

แน่นอนว่ายังมีเหตุผลสำคัญที่สุดอีกประการหนึ่ง นั่นก็คือจนกระทั่งวันนี้เมิ่งซื่อก็ไม่ทราบว่าหอหลิงจือเป็นสิ่งที่เสิ่นซื่อสร้างมาเองกับมือ ยังคิดว่าพี่น้องตระกูลเฉียวร่วมแรงกันเปิดขึ้นมาอยู่

ในเมื่อเป็นกิจการที่คนตระกูลเฉียวทำ ทรัพย์สินย่อมเป็นของตระกูลเฉียว เฉียวเวยเป็นคนนอกที่ไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลเฉียวอีกแล้ว มีสิทธิอันใดมาเสพสุขกับสมบัติของตระกูลเฉียวเล่า

เมิ่งซื่อมั่นใจเช่นนี้ จึงไม่แอบเล่นงานเหมือนสวีซื่อ แต่ส่งเซวียมามาบุกมาถึงบ้านตรงๆ

เซวียมามานั่งอยู่ในห้องโถงกว้างขวาง ปลายหางตาลอบสำรวจรอบด้านอย่างไม่ทิ้งร่องรอย นางพบว่าบ้านของคุณหนูใหญ่ความจริงแล้วไม่โออ่าปานนั้นดังเช่นที่ฮูหยินสามเล่า

เซวียมามาไม่ทราบว่าเป็นไม้หนานมู่เนื้อทองหรือไม่ แต่เครื่องเรือนทำอย่างประณีตยิ่งนัก ห้องโถงปูพื้นด้วยหิน ห้องนอนปูพื้นด้วยไม้ ขนาดพอฟัดพอเหวี่ยงกับบ้านของคหบดีทั่วไป แต่หากจะบอกว่าหรูหรากว่าจวนเอินปั๋ว ก็ไม่ถึงขนาดนั้น

อีกประการหนึ่งในความเห็นของเซวียมามา ข้าวของล้ำค่าหรือไม่มิได้ขึ้นอยู่กับราคา แต่ขึ้นอยู่กับที่มา ตัวอย่างเช่นพู่กันที่ฮ่องเต้ทรงเคยใช้ แท่นฝนหมึกที่องค์หญิงเคยฝน ต้นทุนราคาไม่กี่ตำลึงเงิน แต่หายากยิ่งกว่าสมบัติค่าครองเมืองหล่านั้น

แล้วก็เหมือนกับตัวอักษรลายมือของอัครมหาเสนาบดีคนปัจจุบัน พันตำลึงทองก็หาซื้อไม่ได้ พัด ภาพวาด ตำราที่เขาเขียนด้วยตนเอง หยิบออกมาสักชิ้นหนึ่งก็นับว่ามีหน้ามีตาแล้ว

บ้านหลังนี้ของเฉียวเวยจะว่าสวยก็สวย แต่ในสายตาของเซวียมามาก็เป็นเพียความสวยงามของเศรษฐีหน้าใหม่เท่านั้น ไม่มีค่าให้ริษยา มีแต่ฮูหยินสามที่มาจากตระกูลเล็กตระกูลน้อย ตาต่ำจึงคุยโวจนมันกลายเป็นจวนเอินปั๋วหลังที่สอง

เวลาจิ่งอวิ๋นลุกจากเตียง ไม่มีที่ใดต้องให้เฉียวเวยลงมือช่วย เฉียวเวยจึงกลับไปที่ห้องโถงอย่างรวดเร็วยิ่งนัก “เมื่อครู่เจ้าจะพูดอะไรกับข้าหรือ”

เซวียมามาเตรียมใจเรียบร้อยแล้วจึงกล่าวโดยไม่หลุบตาหลบสักนิด “คุณหนูใหญ่มิใช่คนตระกูลเฉียวแล้ว เมิ่งเหล่าไท่ไท่หวังว่าคุณหนูใหญ่จะคืนเงินของตระกูลเฉียวมา”

“เงินของตระกูลเฉียวหรือ” พร่ำพูดอยู่ตั้งนาน ที่แท้ก็มาหาถึงบ้านเพราะจะเอาเงิน นางจำไม่เห็นได้ว่าตนเคยใช้เงินของตระกูลเฉียวตั้งแต่เมื่อใด

เซวียมามากล่าวต่อ “เงินที่ฮูหยินรองมอบมาจุนเจือคุณหนูใหญ่ หวังว่าคุณหนูใหญ่จะคืนกลับมาให้เท่ากับจำนวนเดิมไม่ขาด”

เฉียวเวยได้ยินว่าจะมาเอาเงิน สีหน้าก็ไม่ค่อยดีทันควัน “เซวียมามาคงต้องกล่าวให้ชัด ฮูหยินรองคนใดให้เงินจุนเจือข้า เป็นเรื่องเมื่อใด”

น้ำเสียงของเซวียมามาไม่นับว่าเป็นมิตรนัก “คุณหนูใหญ่ พวกเราต่างรู้กันดี ท่านอย่าพูดอ้อมไปอ้อมมากับบ่าวเลย ท่านมือหิ้วไม่ได้ ไหล่หาบไม่ไหว หากมิใช่ฮูหยินรองมอบเงินช่วยเหลือท่าน ท่านจะอาศัยอยู่ในบ้านหลังใหญ่โตเช่นนี้ได้หรือ”

เฉียวเวยเกือบจะหัวเราะ ก่อนหน้านี้มีคนบุกมาถึงบ้านทึกทักจะเอาลูกไปเป็นของตน ตอนนี้ก็มีคนบุกมาถึงบ้านเพ้อเจ้อเรียกให้ชดใช้หนี้ โลกหล้ากว้างใหญ่ คนแบบไหนก็มีจริงๆ

เฉียวเวยเอ่ยอย่างขบขัน “เรื่องนี้ผู้ใดเป็นคนบอกเจ้า ผู้ใดบอกว่าข้ามือหิ้วไม่ได้ ไหล่หาบไม่ไหว ผู้ใดบอกว่าเงินที่ข้าสร้างบ้านขอมาจากผู้อื่น” ไม่รอให้เซวียมามาเถียง เฉียงเวยก็ถามต่อว่า “ฮูหยินรองเป็นมารดาของข้าหรือ”

เซวียมามาตอบด้วยสีหน้าประหลาดพิกล “แน่นอนว่าไม่ใช่! บิดามารดาของท่านล่วงลับไปแล้ว ฮูหยินรองเป็นอาสะใภ้ของท่าน”

ที่แท้ก็เสียไปแล้ว ไม่ได้ใจคอโหดเหี้ยมทอดทิ้งนาง เมื่อทราบเช่นนี้หัวใจของเฉียวเวยก็รู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย “ในเมื่อนางไม่ใช่มารดาข้า เหตุใดต้องช่วยเหลือข้า ตอนนั้นข้าถูกขับไล่ออกมาจากตระกูล ไม่เห็นนางให้ข้าอยู่ด้วย ตอนนี้กลับจะตัดใจมอบเงินมากมายปานนั้นมาให้ข้าสร้างบ้านซื้อเครื่องเรือนหรือ เมิ่งเหล่าไท่ไท่ของพวกเจ้าน้ำเข้าสมองใช่หรือไม่ เหตุผลเพียงเท่านี้ก็คิดไม่ออก หรือว่าเรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นข้ออ้าง พวกเจ้าไม่ได้มาหาถึงบ้านเพื่อขอเงินคืน แต่บุกมาถึงบ้านข้าเพื่อรีดไถเงิน”

“คุณหนูใหญ่ เหตุใดท่านจึงมองเหล่าฮูหยินเช่นนั้น” เซวียมามาทำหน้าราวกับเป็นผู้บริสุทธิ์

เฉียวเวยเกลียดคนกระทำเรื่องชั่วแต่แสร้งทำท่าเสมือนไม่ได้รับความเป็นธรรมพวกนี้ที่สุด “ถ้าเช่นนั้นเมิ่งเหล่าฮูหยินของพวกเจ้ามองข้าเช่นไร! อยู่ๆ ก็มาบอกว่าข้าใช้เงินของนางไป! นางมีหลักฐานหรือ ทางการจะจับคนยังต้องสืบหาความจริงก่อนไม่ใช่หรือไร แล้วพวกเจ้ามากล่าวหาใส่ความข้าโต้งๆ เปลี่ยนเป็นเจ้า เจ้าจะพอใจหรือไม่เล่า”

เซวียมามาถูกโต้จนสะอึก

เฉียวเวยกล่าวต่อ “ข้าขอเตือนเจ้า เงินทุกอีแปะข้าเหนื่อยยากลำบากหามาด้วยตนเอง ผู้ใดคิดรีดไถเงินข้า แม้แต่หนึ่งเหรียญทองแดงก็อย่าฝันว่าจะได้!”

“ท่าน…”

เฉียวเวยเอ่ยขัดนาง “ท่านอะไร เห็นแก่ที่เจ้าอายุมากแล้ว ข้าจะไม่สั่งสอนเจ้า รีบไสหัวกลับไปมิเช่นนั้นข้าจะไม่กรงใจเจ้าแล้ว! แล้วก็บอกเมิ่งเหล่าไท่ไท่ของบ้านเจ้าด้วยว่าข้าไม่สนใจอยากใช้เงินของตระกูลเฉียวของพวกเจ้า แต่นางก็อย่าเพ้อฝันคิดจะมาแตะเงินของข้า มิเช่นนั้นพวกเราจะได้ตายกันไปข้างหนึ่ง ข้าจะให้บั้นปลายชีวิตของนางน่าสมเพชเวทนา ไม่มีเงินสักอีแปะเดียว!”

คนผู้นี้ คนผู้นี้ใช่คุณหนูใหญ่ผู้อ่อนหวานบอบบางผู้นั้นหรือ เหตุใดเหมือนสตรีดุร้ายเช่นนี้เล่า

“ยังไม่ไปอีก ต้องลิ้มรสไม้กระบองสักหน่อยก่อนใช่หรือไม่” เฉียวเวยปักมีดลงบนโต๊ะ!

เซวียมามาตกใจกลัวผุดลุกจากเก้าอี้ทันที

เฉียวเวยเอ่ยทีละคำด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก “ยังไม่รีบไสหัวไปอีก ข้าไม่ชอบคนตระกูลเฉียวของพวกเจ้า ก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยบอก เจ้ามาหา ข้าก็ไม่โทษเจ้า แต่นับจากวันนี้เป็นต้นไป ผู้ใดกล้าขึ้นเขามาให้ข้าอารมณ์เสียอีก ก็อย่าโกรธที่มีดของข้าไม่มีตา!”

เซวียมามาถูกไอสังหารอันรุนแรงรอบร่างของเฉียวเวยข่มขู่จนขวัญสะท้าน จวนเอินปั๋วเป็นตระกูลแพทย์ ไม่เคยมีผู้ใดรำดาบจับหอก ยามแก้ปัญหาล้วนใช้วิธีการเยี่ยงปัญญาชน จู่ๆ มาเจอเฉียวเวยพูดไม่เข้าหูก็ชักมีดเช่นนี้ นางจึงตกใจกลัวจนแข้งขาอ่อน

เซวียมามาไม่สงสัยแม้แต่น้อยว่าหากตนเองเรียกให้นางคืนเงินอีกสักครึ่งประโยค มีดของนางต้องปักลงมาบนร่างของตนเป็นแน่

โลกใบนี้มีสตรีน่ากลัวเช่นนี้ได้อย่างไรกัน

เฉียวเวยตวาดเสียงเหี้ยม “ยืนทื่ออยู่ตรงนั้นอยากจะชิมมีดหรือ!”

เซวียมามา ‘ข้า ขาข้าไม่มีแรง…’

เฉียวเวยหิ้วคอเสื้อของเซวียมามาด้วยมือข้างเดียวเหมือนกับหิ้วแม่ไก่ตัวหนึ่งแล้วลากไปจนถึงประตู

เซวียมามายังคิดตามไม่ทันว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นก็ถูกเฉียวเวยโยนออกมาล้มหงายแอ้งแม้ง!

เฉียวเวยปัดมือแล้วก้มมองนางจากด้านบน “มือหิ้วไม่ได้ ไหล่หาบไม่ไหวสินะ”

ความประทับใจที่เฉียวเวยมีต่อคนครอบครัวนี้ย่ำแย่เหลือทนจริงๆ บิดามารดาไม่อยู่ก็ขับไล่นางออกจากบ้าน ตลอดเวลาห้าปีไม่เคยสนใจไยดี มาเยือนที่บ้านครั้งแรกก็เรียกร้องจะเอาเงินจากนาง เก่งกันนักก็ลอยขึ้นสวรรค์ไปเลยสิ

เฉียวเวยเข้าไปในห้องครัวทำอาหารเช้าให้ลูกๆ แล้วดึงวั่งซูขึ้นมาจากเตียงนอน เจ้าตัวน้อยหลับไม่ตื่น อาบน้ำจนเสร็จก็ยังหลับตาอยู่ในอ้อมแขนของเฉียวเวย แต่ตอนป้อนข้าวให้นาง นางยังพอรับรู้อยู่บ้างจึงอ้าปากอย่างว่าง่าย เฉียวเวยจิ้มจมูกของนางอย่างขบขัน “ไม่กลัวสำลักหรือไร”

“ไม่กลัวเจ้าค่ะ” นางตอบเสียงนุ่มนิ่ม กล่าวจบก็ลืมตาขึ้นข้างหนึ่ง เห็นท่านแม่มองนางอย่างรู้ทัน มือน้อยก็ยกขึ้นมาปิดดวงตาไว้

โอ๊ะโย๋ ความแตกแล้ว!

ทานอาหารเสร็จ แขกไม่ได้รับเชิญก็มาเยือนถึงบ้านอีกครั้ง

เฉียวเวยกำลังมัดมวยผมให้ลูกชายอยู่ นางเหล่มองเงาในห้องโถง แล้วเอ่ยอย่างเย็นชา “เมื่อครู่เกรงใจเจ้าเกินไปใช่หรือไม่ ยังกล้ามาอีก!”

“ข้ามาหาติงกุ้ย”

กลับกลายเป็นเสียงของสตรีอ่อนเยาว์คนหนึ่ง

เฉียวเวยวางหวีลง

วั่งซูกอดนางไว้ เกาะอยู่บนขาของนางอย่างหน้าไม่อาย “ท่านแม่ ท่านแม่ ข้ายังไม่หวีผมเลย!”

เฉียวเวยตบหัวไหล่น้อยของนางเบาๆ “เด็กดี เจ้ารอประเดี๋ยวก่อน”

“ฮูหยิน ข้ามาแล้วเจ้าค่ะ” ปี้เอ๋อร์ยืนรายงานตัวอยู่ที่ประตู

เฉียวเวยรีบสั่ง “ปี้เอ๋อร์ เจ้าเข้ามาหวีผมให้วั่งซูหน่อย”

“เจ้าค่ะ”

ปี้เอ๋อร์เดินเข้ามารับหน้าที่ เพราะเดินขึ้นเขามา นางจึงหอบหายใจอย่างหนัก แต่ก็ยังรายงานเฉียวเวยเสียงเบา “ฮูหยิน…หน้าประตูมี…คนอยู่สองคน…”

เฉียวเวยพยักหน้า “ข้ารู้แล้ว ประเดี๋ยวเจ้าไปส่งจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูที่สำนักศึกษา”

“เจ้าค่ะ” ปี้เอ๋อร์ขานตอบ แล้วรับหวีมาจากมือของเฉียวเวย

นอกลานบ้านมีคนอายุน้อยยืนอยู่สองคน คนหนึ่งเป็นเด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดถึงสิบแปดปี หน้าตาหล่อเหลา รูปร่างกลางๆ เรือนร่างแข็งแรงสวมเสื้อผ้าเยี่ยงผู้ฝึกยุทธ์ ท่าทางคล้ายชาวยุทธ์อยู่พอสมควร อีกคนเป็นหญิงสาวอายุราวสิบห้าถึงสิบหกปี หน้าตางดงามกว่าเด็กหนุ่มขั้นหนึ่ง อาภรณ์ไม่นับว่างดงามนัก แต่กลับมีบรรยากาศเช่นคุณหนูตระกูลขุนนาง

ผู้ที่เอ่ยปากเมื่อครู่ก็คือนาง

เฉียวเวยเดินเยื้องย่างเข้าไปหา

นับตั้งแต่เฉียวเวยออกมาจากประตู สายตาของเด็กหนุ่มก็จับจ้องบนร่างของนาง ไม่ละจากไปแม้แต่ครู่เดียว เวลานี้นางเดินเข้ามาใกล้ สายลมอ่อนยิ่งพัดกลิ่นหอมพิสุทธิ์บนร่างนางโชยมาต้องจมูกของเด็กหนุ่มจนเขาหน้าแดงหูแดงไปหมด

เฉียวเวยมองเด็กหนุ่มแล้วยิ้มหวาน “พวกเจ้ามาหาอากุ้ยหรือ”

เด็กหนุ่มมองอีกฝ่ายจนถูกอีกฝ่ายสังเกตเห็น แต่อีกฝ่ายไม่โกรธกลับยิ้มให้ตน หัวใจของหนุ่มน้อยเต้นตึกตัก เอ่ยตอบอย่างทั้งเขินอายและตื่นเต้น “ข้า พวกข้า…พวกข้ามาหาอารองของข้า”

“อ้อ หลานของอากุ้ย” ตอนซื้ออากุ้ยกลับมาจากร้านคนโปรด เฉียนฮูหยินเคยบอกนางว่าเฉียนฮูหยินซื้อทุกคนเอาไว้เพราะพี่น้องคู่หนึ่ง ต่อมาพี่น้องสองคนนั้นถูกตระกูลใหญ่เลือกไปอย่างรวดเร็ว จึงเหลือเพียงอากุ้ย ชีเหนียงกับจงเกอร์ที่ไม่มีผู้ใดต้องการ สองคนนี้น่าจะเป็นพี่น้องที่เฉียนฮูหยินเอ่ยถึง

ตอนแรกเฉียนฮูหยินก็ไม่ต้องการพวกอากุ้ยเหมือนกัน แต่คนที่เป็นน้องสาวยืนกราน พวกอากุ้ยสามคนจึงไม่ต้องตกระกำลำบากถูกเนรเทศ ความประทับใจที่เฉียวเวยมีต่อสองพี่น้องจึงไม่เลวนัก

เฉียวเวยชี้บอกทางอย่างมีมารยาท “อากุ้ยพักอยู่ทางด้านนั้น พวกเจ้าไปเคาะประตูก็พอ”

“ขอบคุณ” เด็กหนุ่มตอบ

เฉียวเวยยิ้มน้อยๆ “ไม่ต้องเกรงใจ คุณชายน้อย”

เด็กหนุ่มถูกแววตาหยอกเย้าของนางทำเอาหัวใจเต้นกระหน่ำ เขาหันหลังกลับไปด้วยแววตาสับสน แล้วตามน้องสาวไปที่โรงงาน

จงเกอร์ตื่นแต่เช้า อากุ้ยพาเขาไปห้องส้วม ผู้ที่มาเปิดประตูจึงเป็นกู้ชีเหนียง

กู้ชีเหนียงเห็นสองพี่น้อง กลับไม่ตื่นเต้นยินดีอย่างที่คาด ตรงกันข้ามแววตากลับสับสน “คุณชาย คุณหนู พวกท่าน พวกท่านมาได้อย่างไรเจ้าคะ”

ติงเสี่ยวอิงเห็นสภาพผมเผ้ากระเซอะกระเซิงของนาง คิ้วเรียวดั่งกิ่งหลิวก็ขมวดมุ่น “ข้าไปร้านคนโปรดตามหาพวกเจ้า เฉียนฮูหยินบอกว่าพวกเจ้าถูกขายมาที่นี่ สตรีคนเมื่อครู่คือเจ้านายของพวกเจ้าหรือ”

กู้ชีเหนียงอึกอัก “…เจ้าค่ะ” สตรีที่ปรากฏตัวบนเขา นอกจากปี้เอ๋อร์ก็คือฮูหยิน

ติงเสี่ยวอิงเข้ามาในห้อง เดิมทีได้ยินว่าพวกเขาถูกขายมาอยู่ในป่าในเขา คิดว่าจะเป็นบ้านทรุดโทรมหนักหนาสักหลัง คิดไม่ถึงว่าทั้งใหม่ทั้งสว่าง แล้วยังกว้างขวาง เครื่องเรือนก็ครบครัน เตียงก็หลังใหญ่ ดูแล้วไม่เหมือนเตียงรวมที่บ่าวรับใช้นอน แต่เหมือนเตียงจย้าจื่อที่เจ้านายกับคุณหนูนอนมากกว่า เพียงแต่ไม่หรูหราขนาดนั้นก็เท่านั้น

“เจ้าได้รับความเมตตาจากเจ้านายคนนี้มากทีเดียว นางถึงให้ห้องดีขนาดนี้กับเจ้า” ติงเสี่ยวอิงทำงานอยู่ในจวนกั๋วกง ตำแหน่งขึ้นมาถึงสาวใช้ขั้นสองแล้ว แต่ที่อาศัยก็ยังไม่กว้างขวางเท่านี้

บนโต๊ะมีน้ำร้อนที่อากุ้ยต้มไว้ กู้ชีเหนียงชงชาสองถ้วยให้ทั้งสองคน “นายน้อยเชิญดื่มชา คุณหนูเชิญดื่มชา”

ติงหมิงนั่งลงจิบคำหนึ่ง “หลงจิ่งหรือ”

ติงเสี่ยวอิงตกใจอีกหน แล้วชิมบ้างคำหนึ่ง ชาหลงจิ่งจริงเสียด้วย ทั้งยังเป็นของที่เพิ่งเก็บใหม่ปีนี้อีก ติงเสี่ยวอิงอยู่ที่จวนกั๋วกงก็ได้ดื่มชาหลงจิ่งเช่นกัน แต่เป็นชาเก่าของปีที่แล้ว อยู่บ้านนอกคอกนาแท้ๆ แต่ดันได้ดื่มชาสดใหม่เช่นนี้

หลงจิ่งที่เพิ่งเก็บใหม่ แม้แต่ฮูหยินของพวกนางก็ยังไม่มี มีแต่ฮูหยินของซื่อจื่อมีอยู่ไม่กี่ชั่ง ได้ยินว่าน้องชายฝั่งมารดาของฮูหยินส่งมาให้

ก่อนหน้านี้ติงเสี่ยวอิงโน้มน้าวฮูหยินจนปากแทบฉีกกว่าจะของานซักล้างตำแหน่งหนึ่งให้ชีเหนียงได้ ตอนแรกนางคิดว่านั่นเป็นบุญคุณอันใหญ่หลวงแล้ว แต่เมื่อเห็นชีเหนียงอยู่ที่นี่ได้กินดีอยู่ดี นางก็วางมาดได้ไม่เต็มที่เท่ากับตอนเริ่มแรกแล้ว

ติงเสี่ยวอิงดื่มชาหลงจิ่งในถ้วยจนหมดโดยไม่แสดงสีหน้า นับตั้งแต่บ้านแตกสาแหรกขาด นางก็ไม่ได้ดื่มใบชาราคาแพงเช่นนี้อีก อยากจะให้ชีเหนียงเอามาอีกสักถ้วยยิ่งนัก แต่นางอดทนไว้

“อารองของข้าเล่า” นางถามอย่างเฉยชา

กู้ชีเหนียงหลุบตาลงแล้วตอบว่า “นายท่านรอง…พาจงเกอร์ไปห้องส้วม คุณหนูมาหาเขามีธุระหรือเจ้าคะ ข้าจะไปเรียกเขาให้”

ติงเสี่ยวอิงโบกมือ “ไม่ต้องแล้ว ข้ามาหาเจ้า”

“หาข้าหรือ” กู้ชีเหนียงตกตะลึง

ติงเสียวอิงเอ่ยเสียงเรียบเฉย “ข้าหางานงานหนึ่งในจวนกั๋วกงไว้ให้เจ้า เจ้าเก็บของแล้วตามข้าไป”

กู้ชีเหนียงกำชายเสื้อแน่น “คุณหนู ข้าถูกขายให้ฮูหยินแล้ว”

ติงเสี่ยวอิงเอ่ยอย่างไม่แยแส “เจ้าไปบอกนาง เงินไถ่ตัวข้าจะมอบให้นางเอง”

กู้ชีเหนียงก้มหน้า ไม่ขยับเขยื้อน

ติงเสี่ยวอิงหน้าบึ้งหันมามอง “เป็นอันใด เจ้าไม่อยากไปหรือ บนเขาแร้นแค้นมีตรงไหนน่าอยู่ เจ้าไปอยู่จวนกั๋วกง เจ้านายที่รับใช้ล้วนเป็นคนมีหน้ามีตาของเมืองหลวง เจ้านายพอใจ มอบรางวัลสักอย่างให้เจ้า ก็เพียงพอให้เจ้ากินทั้งชีวิต! ดีกว่าซุกหัวอยู่บนภูเขาเป็นไหนๆ”