ตอนที่ 444 กรรมสนองทันตา

ตระกูลติงที่กำลังหงุดหงิดโมโหที่เดินหมากผิด กำลังคิดว่าจะกู้คืนสถานการณ์อย่างไร อีกด้านหนึ่งเรื่องราวได้ถูกเล่าลือออกไปจากปากขอทานคนหนึ่ง ถูกเล่าลือออกไปเหมือนกับนิทานเรื่องคุณชายตงกัวกับหมาป่าจงซาน เจ้าหมาป่าได้รับความช่วยเหลือจากคุณชายตงกัวแต่กลับลืมบุญคุณ

รอจนตระกูลติงรู้ข่าวเข้า เรื่องนี้ก็ได้แพร่ออกไปทั่วเมืองแล้ว ในที่สุดเรื่องร้านผลไม้แช่อิ่มก็ถูกพูดถึงด้วย และยังมีผู้รู้เห็นเหตุการณ์พูดปากต่อปากจากคนเดียวเป็นสิบคน จากสิบคนเป็นร้อยคน

แค่นี้ก็มากพอแล้วใช่หรือไม่

แต่ว่าไม่ยังพอ

ฮูหยินติงผู้เฒ่ายั่วยุนางฉินผู้เฒ่าจนแทบกระอักเลือด มีเหตุย่อมมีผลตามมา

เป็นเวลากลางคืน ฉินหลิวซีแปะยันต์พรางตัวแล้วไปยังบ้านตระกูลติง นางยืนบนหลังคาหอที่สูงที่สุด มือนับนิ้วคำนวณอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็ได้ตัวเลขอยู่ในใจ

ฉินหลิวซีใช้ปลายเท้ากระโดดลงมา เมื่อสักครู่นับนิ้วมือคำนวณออกมาได้หลายทิศทาง ก่อนจะแปะยันต์พรางตาไว้บนตัว ครู่หนึ่งก็มาถึงห้องของฮูหยินติงผู้เฒ่า

ฉินหลิวซีแปะยันต์ที่ชายคาบ้านอย่างเงียบเชียบ แปะยันต์เรียบร้อย นางกระโดดขึ้นที่สูงอีกครั้ง สองมือประกบเข้าหากัน ปากท่องบทสวด เท้าเหยียบเตะขึ้น

ฟุบ

เกิดแรงที่มองไม่เห็นคล้ายกับเหยียบถูกค่ายอาคม นางเคลื่อนที่ขึ้นไปทันที

หากมีปรมาจารย์ที่มีตาทิพย์ผ่านมา จะพบว่าบ้านตระกูลติงถูกสายใยสีเทาแห่งปีศาจที่ดุร้ายครอบงำไว้ ลำแสงแห่งความรุ่งเรืองและมงคลของบ้านราวกับถูกกดทับ ชื่อเสียงของพวกเขาถูกกำจัดอย่างเงียบๆ

สำเร็จแล้ว

ยันต์เล็กน้อยแค่ไม่กี่ผืนได้เปลี่ยนแปลงฮวงจุ้ยของบ้านตระกูลติงไปเรียบร้อยแล้ว โชคชะตากำลังดำดิ่งลง ตระกูลติงต้องพบกับโชคร้ายแล้ว พูดอีกอย่างก็คือ ยอมผิดใจกับคนชั่ว ไม่ยอมล่วงเกินปรมาจารย์ ยอมติดหนี้คนชั่ว ไม่ยอมติดค้างปรมาจารย์ ไม่อย่างนั้นจะมีที่ไหนให้เจ้าชดใช้

ความจริงแล้วหากตระกูลติงแค่ทำอย่างที่ติงหย่งเหลียงเอ่ย คือเห็นก็เหมือนไม่เห็น ขีดเส้นแบ่งเขตแดนอย่างชัดเจนก็ไม่มีเรื่องใดแล้ว เป็นสัญชาตญาณคนจะแสวงหาโชคลาภ หลีกเลี่ยงโชคร้าย ได้แต่เอ่ยว่าลืมบุญคุณแล้วก็เท่านั้น แต่เรื่องที่ตระกูลติงไม่ควรยุ่งกับร้านค้าของตระกูลฉิน ซึ่งเป็นแหล่งรายได้ที่ตระกูลฉินพึ่งพิงในการใช้ชีวิต การกระทำของพวกเขาไม่ต่างอะไรกับแย่งข้าวในชามคนตกทุกข์ได้ยาก นี่เป็นสิ่งที่ฉินหลิวซีทนไม่ได้ ดังนั้นนางจึงให้บทเรียนสั่งสอน

สำหรับเรื่องวิบากกรรมห้าโทษสามวิบัติจะย้อนกลับมาให้ผลนั้น เป็นสิ่งที่ตระกูลติงเริ่มก่อน พวกเขาจิตใจชั่วร้ายก่อกรรมต่อผู้อื่น เชื่อมเส้นทางการกระทำและผลของมันเอาไว้ ทั้งยังเป็นต้นเหตุของการล้มเจ็บของนางฉินผู้เฒ่า เหตุอยู่ที่พวกเขาทำ อย่าได้โทษนางเลย

รอจนนางรู้สึกว่าพอสมควรแล้ว ก็จะถอนยันต์ที่ปกคลุมเอาไว้ แต่โชคลาภของตระกูลติงจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมหรือไม่ก็ยากจะบอกได้

ฉินหลิวซีมองความโชคร้ายของยันต์มืดมัวที่ครอบคลุมมาถึงทางนี้ นางถอนหายใจ กระโดดลงจากหอสูง พริบตาเดียวก็หายไปในความมืด

วันต่อมา

ฟ้ายังไม่สว่าง ที่บ้านตระกูลติงหลังจากคนรับใช้ตื่นมาทำความสะอาด ก็รู้สึกผิดปกติไปจากเดิม พวกเขาต่างรู้สึกใจคอไม่ดี รู้สึกว่าเช้าตรู่วันนี้มืดครึ้มและหนาวเย็นกว่าหลายวันที่ผ่านมานัก

“ผีหลอก เมื่อคืนไม่มีหิมะตก หิมะก็ไม่ละลาย ไม่น่าจะหนาวขนาดนี้นะ” เด็กหนุ่มคนงานกอดแขนห่อตัวด้วยความหนาว

“ใช่ อีกสองสามวันจะสิ้นปีแล้ว หรือว่าปีนี้เป็นปีที่หนาวมากหรือ”

“ใครจะไปรู้ รีบทำงานให้เสร็จเถอะ ถูกพ่อบ้านจับได้จะอดกินผลไม้ดีๆ”

ภายในห้องของฮูหยินติงผู้เฒ่า นางตื่นขึ้นมาเหมือนทุกที ผ้าห่มไถลออกจากตัวเล็กน้อย แต่นางกลับหนาวจนสั่น รู้สึกตัวหนักๆ “เติมถ่านในเตาอีก” ฮูหยินติงผู้เฒ่าสีหน้าดูไม่ดี นางออกคำสั่งคนรับใช้

ทุกคนต่างรู้สึกหนาวย้ะเยือก แต่กลับคิดถึงแค่สาเหตุมาจากอากาศเปลี่ยน ไม่ได้นึกไปถึงเรื่องอื่นแม้แต่น้อย ติงหย่งเหลียงก็เช่นกัน เขาห่อตัวในเสื้อตัวหนาจนแน่น

ฮูหยินติงผู้เฒ่าเรียกเขามากินอาหารเช้าเป็นเพื่อน และยังเอ่ยเรื่องไปขอโทษตระกูลฉิน ซึ่งไม่มีค่าคู่ควรในสายตาของนาง แต่เพื่อชื่อเสียงของลูกหลานตระกูลติง คิดถึงตรงจุดนี้ นางอดรู้สึกอึดอัดใจเหมือนไม่ได้รับความเป็นธรรมไม่ได้ ความรู้สึกเหมือนกลืนแมลงวันลงท้อง ไม่สบายกายไม่สบายใจจนแทบทนไม่ไหว

เมื่อก่อนผู้นำตระกูลฉินเป็นขุนนางขั้นสาม ใหญ่ระดับผู้ตรวจการมณฑลก็แล้วไป แต่ตอนนี้พวกเขาเป็นนักโทษ นางเป็นถึงฮูหยินเก้ามิ่งให้ไปก้มหัวให้พวกเขา รู้สึกอึดอัดใจยิ่งนัก

มีเสียงโวยวายดังมาจากด้านนอก

ฮูหยินติงผู้เฒ่าวางตะเกียบดังปัง เอ่ยตำหนิด้วยสีหน้าเยียบเย็น “ใครอยู่ข้างนอก เอะอะโวยวายอย่างกับมีเรื่องอะไร ทำตัวให้มีระเบียบสักหน่อยได้หรือไม่”

มีคนกระหืดกระหอบวิ่งเข้ามา คุกเข่าทำความเคารพ “เรียนฮูหยินผู้เฒ่า เป็นนายหญิงสามล้มอยู่ที่หน้าประตู ขาหักผิดรูปขอรับ”

ฮูหยินติงผู้เฒ่าขมวดคิ้ว “อย่างนั้นไม่รีบไปตามท่านหมอเล่า”

บ่าวที่วิ่งเข้ามารายงานรีบออกไป แล้วก็มีอีกคนวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว รายงานด้วยน้ำเสียงร้อนรน “เรียนฮูหยินผู้เฒ่า แย่แล้ว แย่แล้ว”

“บังอาจ ข้ายังอยู่ดี มีที่ไหนแย่แล้ว”

บ่าวรับใช้รีบวิ่งมาที่พื้นด้านหน้านาง ถูมือฝ่ามือตัวเองพลางเอ่ย “บ่าวสมควรตาย ท่านฮูหยินผู้เฒ่า มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นแล้ว บ่าวออกไปซื้อของ พบว่าเรื่องได้แพร่ออกไปข้างนอกจนทั่วแล้ว พวกเขาว่าพวกเราตระกูลติงเป็นหมาป่าจงซานที่ลืมบุญคุณ ผู้มีพระคุณตกที่นั่งลำบากยังปาก้อนหินใส่ จะฆ่าพวกเราให้ตาย…”

เขายังไม่ทันพูดจบ ก็มีอีกคนวิ่งเข้ามาในห้องอย่างลุกลี้ลุกลน เอ่ยเสียงสูง “ฮูหยินผู้เฒ่าร้านขายผ้า กับร้านน้ำมันโคมไฟของพวกเราที่ถนนใหญ่ฝั่งตะวันออกเกิดไฟไหม้ขึ้นแล้วขอรับ”

ฮูหยินติงผู้เฒ่าได้ฟังแล้วรีบลุกขึ้น ไม่ได้เอ่ยอะไรสักคำ รู้สึกหมุนคว้าง หน้ามืดกะทันหัน บ่าวคนนั้นรีบเข้าไปประคองด้านหลัง

“ฮูหยินผู้เฒ่า!” หญิงรับใช้ร้องเสียงแหลม

บ้านตระกูลติงเกิดความโกลาหลขึ้นทันใด ติงหย่งเหลียงเกิดความรู้สึกงงงัน ความสับสนวุ่นวายนี้ โชคร้ายถาโถมเข้ามาเรื่องแล้วเรื่องเล่า หรือว่าจะเป็นกรรมสนองงั้นหรือ กรรมตามทันเร็วเหลือเกิน!

สำนักศึกษาจือเหอ

คุณชายที่สง่างามท่านหนึ่ง เขาสวมเสื้อคลุมขนสีขาวนวลดั่งดวงจันทร์กำลังชงชาให้ชายสองคน เห็นเด็กหนุ่มอยู่ด้านนอกแวบหนึ่ง จึงรีบออกไป

“คุณชาย” เด็กหนุ่มก้มตัวแสดงความเคารพ จากนั้นไปกระซิบที่ข้างหู

ภายในห้อง เจ้าสำนักศึกษาถังดึงสายตาจากคุณชายเจียงเหวินหลิวกลับมายังสหายสนิทเหยียนฉีซานที่นั่งตรงข้าม เขาเอ่ย “ฉยงจังมีความรู้เป็นเลิศก็เป็นเพราะเจ้า คนข้างๆ เตรียมตัวกลับเมืองหลวงตั้งนานแล้ว แต่เจ้าก็ยังชวนเที่ยวเสาะแสวงหาความรู้ ไม่รีบกลับไปเตรียมตัวสอบ ข้าจำได้ว่าการสอบในฤดูใบไม้ผลิปีหน้าดูเหมือนว่าจะอยู่ในเดือนสองไม่ใช่หรือ”

เหยียนฉีซานลูบเครา พลางเอ่ย “เจ้าเป็นคนบอกเองว่าเขามีความรู้ดียิ่ง พักค้างที่นี่สักหน่อยก่อนไปเข้าสอบก็ไม่เลว พอดีท่องเที่ยวมาถึงที่นี่ หากไม่มาเยือน ไม่แน่ว่าภายภาคหน้าจะถูกเจ้าว่าลับหลังเอาได้ว่ามาถึงเรือนชานแต่ไม่เข้าไปเยี่ยมเยือน

เจ้าสำนักศึกษาถังส่ายศีรษะ เอ่ย “ยังคงยินดีที่พบเจ้า เดินทางมาถึงเหอซาน ไกลเป็นหมื่นลี้”

เหยียนฉีซานหัวเราะหึๆ “ข้าแย่กว่าเจ้าถึงอย่างนั้นเชียวหรือ ครูอาจารย์ที่ห่วงใยใส่ใจลูกศิษย์ เรื่องนี้มีใครจะไม่ชื่อชมเจ้า ปรมาจารย์แห่งลัทธิขงจื่อ? หากเจ้ารับศิษย์อีกสองสามคน พวกเราไม่แน่ว่าจะได้ประชันกันในสนามสอบ แต่ตอนนี้ไม่ได้แล้ว ฉยงจังของสำนักข้ามีความเป็นไปได้สูงที่จะสอบได้สามอันดับแรก”

เจ้าสำนักศึกษาถังเห็นเพื่อนสนิทภาคภูมิใจอย่างยิ่ง เขารู้สึกแปลบปลาบในใจ ในตอนนั้นเองในหัวนึกถึงคนคนหนึ่งขึ้นมา “ใครว่าข้าไม่มีลูกศิษย์แล้ว ไม่ใช่ข้าโอ้อวด ความสามารถของนาง แม้แต่ฉยงจังก็เทียบไม่ติด”

“โอ้!” เหยียนฉีซานคิ้วกระตุก “กลับไม่เคยได้ยินเจ้าเอ่ยถึง อย่างนั้นเรียกมาพบสักหน่อย?”

เจ้าสำนักศึกษาถังไม่ทันได้คิดหน้าคิดหลังรีบตอบ “ได้ เจ้ารอก่อน”

เขาออกคำสั่งเรียกคนของตัวเองมา “ไปร้านเฟยฉางเต๋าที่ตรอกโซ่วสี่ เชิญเสี่ยวฉินมา บอกนางว่าโรคปวดหัวข้ากำเริบ ปวดจนลุกจากเตียงไม่ได้”

เด็กรับใช้รีบรับคำ

“ปวดหัวกำเริบ?”เหยียนฉีซานหัวเราะสหายอย่างขบขัน เขาชักอยากรู้ขึ้นมาแล้ว ลูกศิษย์แบบไหนกันต้องให้อาจารย์พูดปดถึงจะเชิญมาได้