บทที่ 301 จดหมายลับในห้องหนังสือ

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

บทที่ 301 จดหมายลับในห้องหนังสือ

เอ่อ……

ไม่ใช่ว่ามีเรื่องที่จะปรึกษากันหรอกรึ?

ใยถึงได้ไปเสียแล้ว?

อีกทั้งยังทำหน้าบึ้งตึง มันหมายความว่าอย่างไรกัน?

มองตามแผ่นหลังของเย่แจ๋หยิ่งที่ห่างออกไป หลานเยาเยาก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้า แล้วถือโอกาสค่อยๆจิบชาไปเสีย……

ถึงเวลาทานอาหารเย็น

โหลวเย่วฮัมเพลง กระโดดโลดเต้นออกมาจากคุกลับ

ใช่แล้ว!

อ่านไม่ผิด โหลวเย่วอาศัยอยู่ในคุกลับ

ตั้งแต่ที่ปีนเข้ามาในตำหนักเทพธิดากลางดึกคืนนั้น ก็อยู่แต่ในคุกลับมาตลอด นอกจากด้านในที่มืดสนิท และบรรยากาศที่วังเวงไปนิด ที่เหลือก็ถือว่าดีเลยทีเดียว

นางอยู่จนเคยชินไปแล้ว

เมื่อนางมาถึงห้องครัว ประตูห้องกลับลงกลอน พอได้มองผ่านหน้าต่างเข้าไป

ก็เห็นว่าบนโต๊ะมีแต่ความว่างเปล่า ทำให้นางอดไม่ได้ที่จะแปลกใจ

อาหารล่ะ?

โจ๊กล่ะ?

เหตุใดถึงได้ว่างเปล่า?

แล้วกลอนประตูก็ยังล็อคอีก……

นางจึงคิดว่าตัวเองคงเข้าใจเวลาผิด และมาเร็วเกินไป

ดังนั้น จึงเรียกสาวใช้มาสอบถาม และสาวใช้ที่ตอบคำถามก็ทำให้นางลุกลี้ลุกลนอย่างช่วยไม่ได้

เทพธิดาออกไปตั้งนานแล้ว วันนี้ก็ยังไม่กลับมา ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปห้องครัวเล็กนั้น นอกจากเทพธิดาแล้ว ใครก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไป

ส่วนอาหารของนาง จะส่งคนเอาไปให้นางที่คุกลับโดยเฉพาะ

“แล้วโจ๊กล่ะ?”

โหลวเย่วถามอย่างรีบร้อน

“โจ๊กหรือเจ้าคะ?” สาวใช้ไม่ค่อยเข้าใจ แต่ก็คิดว่าองค์หญิงยังอยากจะกินโจ๊ก จึงพูดว่า:

“องค์หญิง ที่ห้องอาหารไม่มีโจ๊กเลยเจ้าค่ะ หากองค์หญิงชอบ ข้าน้อยจะไปบอกแม่ครัว ให้พวกเขาเคี่ยวให้ท่านสักถ้วยนะเจ้าคะ”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น!

สีหน้าของโหลวเย่วก็เปี่ยมปิติ

“ดีๆๆ ไปเร็ว ไปเร็วเข้า ยิ่งเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี”

หลังโหลวเย่วกลับมายังคุกลับ และกินข้าวหมดอย่างสบายอกสบายใจ ไม่นานเท่าไหร่ สาวใช้ก็นำโจ๊กมาส่งให้นาง

ไม่นานนัก!

โหลวเย่วก็ถือโจ๊กมาถึงหน้าประตูห้องบรรทมของเสด็จอา

หลังเย่แจ๋หยิ่งได้ถือโจ๊กเข้าไปอย่างเคย แต่เมื่อถามถึงรสชาติ เขาก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว

หลังชิมไปคำนึง สีหน้าก็เคร่งขรึมทันที

จากนั้น!

เขาก็วางช้อน แล้วเดินออกมา

เมื่อเห็นโหลวเย่วที่ยังยืนอยู่ตรงประตู ก็พูดอย่างไม่ใยดีว่า:

“ต่อไปไม่ต้องเอาโจ๊กมาให้แล้ว”

“อะ……”

โหลวเย่วดูมึนงง จากนั้นหน้าก็ชา ราวกับว่าไม่รู้จะทำเช่นไรดี

หรือว่ามาส่งโจ๊กช้าเกินไป ก็เลยทำให้เสด็จอาไม่พอใจงั้นรึ?

ไม่ว่าจะด้วยเหตุนี้หรือไม่ นางก็ไม่กล้าถามอยู่ดี!

หากไม่ใช่เพราะว่าจะกลับมาอยู่ที่จวนอ๋องเย่ มีรึที่นางจะไม่หลบไปให้ไกลเมื่อได้เห็นเสด็จอา?

แล้วจะยังกล้าเข้าหาอีกได้อย่างไรกัน?

เสียง “ปัง” ดังขึ้น

ประตูห้องถูกปิดลงอีกครั้ง

มองดูประตูที่ปิดสนิท ดวงตาของโหลวเย่วก็หมองหม่นมากขึ้นเรื่อยๆ ในใจก็ห่อเหี่ยวลงด้วยเหมือนกัน

นางรู้ว่าเสด็จอาเป็นคนพูดคำไหนคำนั้น

ในเมื่อเสด็จอาไม่ให้นางส่งโจ๊ก งั้นก็ชัดแล้วว่า เสด็จอาไม่ได้จะให้นางกลับมาอยู่ที่นี่อีกแล้ว

ฮึกฮึกฮึก……

จะทำเช่นไรดี?

ในเมื่ออาศัยอยู่ในตำหนักของเสด็จอามาก็ตั้งนานหลายปี นางมองว่าที่นั่นเป็นดั่งบ้านของนางไปแล้ว เพลานี้จะให้นางออกไปเต็มตัว นางรู้สึกแย่เหลือเกิน

แต่ก็จนปัญญา

ในเมื่อเสด็จอาอยากให้นางไป นางจะไม่ไปได้อย่างไรกัน?

โหลวเย่วก้มหน้าก้มตา หันหลังจากมา ด้วยแผ่นหลังที่อ้างว้าง……

เดินมาได้ไม่กี่ก้าว

“หลังงานวัดก็กลับมาตำหนัก”

เสียงดังมาจากในห้องบรรทม ด้วยความสุขุมนุ่มลึกและทุ้มต่ำ

เป็นเสียงของเสด็จอา!

เมื่อได้ยินเช่นนั้น!

โหลวเย่วก็กระปรี้กระเปร่า ทั้งสุขใจทั้งแปลกใจ

“สุดยอดไปเลยเจ้าค่ะ เป็นพระกรุณาธิคุณเสด็จอา ฮิฮิฮิ……”

ท่าทางที่โศกเศร้าเมื่อครู่ได้หายไปเป็นปลิดทิ้ง กลับกลายมาเป็นยินดีปรีดาอย่างกับนกน้อย พลางกระโดดโลดเต้นเดินจากไป

เย่แจ๋หยิ่งในห้องบรรทม สายตาที่กำลังจ้องมองโจ๊กร้อนๆบนโต๊ะ ก็พึมพำออกมาอย่างเย็นชา

“งานวัด……”

——

ช่วงพลบค่ำ

ความมืดอันเงียบสงบคืบคลานเข้ามา ท้องฟ้าสีครามก็มืดครึ้ม พระจันทร์ครึ่งเสี้ยวได้เฉิดฉาย ดวงดาวส่องแสงระยิบระยับ

ลมหนาวอันบางเบาพัดผ่านไปทั่วเมืองหลวง ครอบคลุมไปทั่วท้องถนนที่อึกทึกคึกคัก

จวนแม่ทัพของหลานเฉินมู๋ ยังคงสว่างจ้า

ณ ห้องหนังสือ จวนแม่ทัพ

หลานเยาเยาซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้ใหญ่หน้าประตูห้องหนังสือ

ช่วงนี้ตั้งแต่ที่ได้กลับมายังเมืองหลวง นางก็มาที่นี่อยู่บ่อยครั้ง หลังจากได้รู้ว่าการตายของแม่เป็นไปด้วยฝีมือของจ้าวซื่อ

นางก็แอบมาที่จวนแม่ทัพบ่อยขึ้นมาก

หลานเฉินมู๋ที่อยู่ในห้องหนังสือได้รับจดหมายลับฉบับหนึ่ง หลังจากเปิดดู ก็รีบออกไปในทันที

หลานเยาเยาไม่ได้ตามออกไป

สิ่งที่นางต้องทำตอนนี้คือรอ……

เป็นอย่างที่คิด!

ผ่านไปได้ไม่นาน หลานเยาเยาก็เห็นเงาเงาหนึ่งเดินเข้ามาใกล้ห้องหนังสือ คนคนนี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นผู้ขึ้นอยู่กับเรือนสนมที่ถูกยกขึ้นมาอย่างจ้าวซื่อ ซึ่งเป็นแม่ผู้ให้กำเนิดหลานจิ่นเอ๋อนั่นเอง

ตามการเฝ้าดูของนางพบว่า

จ้าวซื่อมักจะเข้ามาในห้องหนังสือของหลานเฉินมู๋เป็นประจำ และมักจะเป็นช่วงที่หลานเฉินมู๋ไม่อยู่เสมอ

ทุกครั้งที่นางเข้าไป แม้จะไม่ถึงขั้นรื้อค้นข้าวของ แต่ก็จะค้นดูหลักฐานจดหมายการติดต่อของหลานเฉินมู๋ที่อยู่บนโต๊ะเสมอ

ครั้งนี้ก็เช่นกัน

ด้วยเหตุที่หลานเฉินมู๋ออกไปอย่างรีบร้อน จึงแค่พับๆจดหมาย สอดไว้ในหนังสือ แล้วก็รีบออกไป

ดังนั้น!

จ้าวซื่อจึงหาจดหมายเจออย่างรวดเร็ว

นางรีบอ่านข้อความด้านในจดหมาย แล้วก็รีบพับจดหมาย สอดคืนในหนังสือ โดยที่จำนวนหน้าในหนังสือเท่าเดิมทุกกระเบียดนิ้ว

ขณะที่ทุกอย่างเสร็จสิ้น

จ้าวซื่อก็รีบหันหลังจะออกไป

แต่กลับเห็นหลานเฉินมู๋ที่ไม่รู้ว่ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ ยืนอยู่ตรงประตู หรี่ตาลง สายตาจับจ้องมาที่นางอย่างน่าสะพรึงกลัว

จ้าวซื่อดูตกใจสุดขีด

หลังจากได้สติ ก็รีบยิ้มกว้างอย่างอ่อนโยน และค่อยๆเดินเข้าไปหาเขา

“นาย นายท่าน ท่านไปที่ใดมาฤา?”

“มืดค่ำปานนี้ฮูหยินมาทำการใดในห้องหนังสือรึ?” หลานเฉินมู๋ไม่สนใจการออดอ้อนของจ้าวซื่อ

น้ำเสียงของเขาเยือกเย็น ส่วนสายตาก็ไตร่ตรองดูอย่างดี

ทุกสิ่งทุกอย่างเมื่อครู่เขาเห็นหมดตำตา เขาไม่เคยคิดเลยว่า จ้าวซื่อผู้อ่อนโยนและมีคุณงามความดีจะมาค้นดูของของเขา

อีกทั้งยังเป็นของสำคัญของเขาอย่างจดหมายอีก

“ไม่ใช่ว่านายท่านบอกว่าค่ำๆจะมาพักผ่อนที่ห้องของข้าหรอกฤา? ดึกดื่นปานนี้แล้ว ข้าเห็นว่าท่านยังไม่มา

ก็ตระหนักว่า นายท่านมีความกังวลในงานราชสำนัก แน่นอนว่าจะต้องวุ่นอยู่กับงานในห้องหนังสือจนลืมชั่วยามเป็นแน่แท้

เช่นนั้น ข้าจึงมาดูนายท่านที่ห้องหนังสือ แล้วก็ไม่นึกว่านายท่านจะไม่อยู่ แต่แสงในนี้ก็ยังคงสว่างจ้า จึงคิดว่าท่านคงออกไปทำธุระส่วนตัว

ดังนั้น จึงได้เข้ามาในห้องหนังสือรอท่านกลับมา พอเห็นว่าบนโต๊ะนั้นค่อนข้างรก จึงถือวิสาสะจัดเรียงให้เจ้าค่ะ

ไม่รู้เลยว่านายท่านจะกลับมาไม่ให้สุ้มให้เสียง ทำข้าตกใจแทบแย่เลยนะเจ้าคะ” ประโยคสุดท้ายทำ เสียงเหมือนสาวน้อยพูดออกมา

“หึหึ ฮูหยินนี่คารมคมคายดียิ่งนัก เมื่อครู่เห็นสิ่งใดไปบ้างเล่า?”

“ข้าหาได้เห็นสิ่งใดไม่เจ้าค่ะ นายท่าน ท่านก็รู้ ว่าตั้งแต่เล็กข้าหาได้เป็นคุณหนูในเรือนใหญ่ไม่ ไม่เคยได้ร่ำได้เรียน ไม่รู้หนังสือหรอกเจ้าค่ะ”

“ไม่รู้หนังสืองั้นรึ?”

หลานเฉินมู๋ส่งเสียงฮึมฮัมอย่างเยือกเย็น

ได้เห็นจ้าวซื่อที่ยังงามสง่าและอ่อนโยนไม่เลิกอยู่ในขณะนี้ เขาก็รู้สึกว่าน่าขันสิ้นดี

และแล้วก็บีบคอของนาง พร้อมพูดด้วยท่าทางที่น่ากลัว

“ฮูหยินไม่รู้หนังสือจะดีที่สุด ดูหน้าของจิ่นเอ๋อเอาไว้ ครั้งนี้ข้าจะปล่อยไป หากมีครั้งหน้าละก็ ฮูหยินอย่าได้หาว่าข้าโหดร้าย”

สำหรับคนคนหนึ่งที่มีเป้าหมาย แม้นางจะเป็นเพียงหญิงสาวไร้อาวุธ เขาก็จะไม่ทนให้มีของไร้ค่าอยู่ในบ้าน

หากไม่ใช่เพราะว่าจิ่นเอ๋อจะเป็นพระชายาสี่ในไม่ช้า เขาจะเค้นจ้าวซื่อให้ตายๆไปอย่างไม่ลังเล

พูดจบ!

เขาก็เหวี่ยงจ้าวซื่อลงไปกองกับพื้น แล้วก็จากไปอย่างองอาจ

“แค่กๆๆ……”

จ้าวซื่อที่เพิ่งหายใจได้คล่อง ก็สูดสายลมอันบริสุทธิ์เข้าไปเฮือกใหญ่

หลังจากสงบลง นางก็จ้องมองประตูห้องที่เปิดอยู่อย่างเยือกเย็น จากนั้นก็บันดาลโทสะลงกับพื้น

โทษตัวเองที่สะเพร่าเกินไป……

เพียงแต่!

เหตุใดจู่ๆหลานเฉินมู๋ถึงได้กลับมา?