บทที่ 274 กลับไปจะจัดการท่าน!

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

บทที่ 274 กลับไปจะจัดการท่าน!
บทที่ 274 กลับไปจะจัดการท่าน!

ทันทีที่หลินเหราและเหยาซูเดินก้าวพ้นประตูของจวนเซี่ยเข้าไปภายใน ก็ได้ยินเสียงหัวเราะอย่างสนุกสนานดังมาจากในจวน

เหยาซูไม่รู้สึกประหลาดใจแต่อย่างใด หลินเหรานิ่งงันไปครู่หนึ่ง จนเกือบสงสัยว่าตนเดินเข้ามาผิดที่เสียแล้ว

ฝูหยาเดินเข้ามาต้อนรับ ใบหน้าของนางแต้มไปด้วยรอยยิ้ม “คุณชายหลิน ฮูหยิน ในที่สุดท่านทั้งสองก็กลับมา”

เหยาซูส่งยิ้มให้นาง พลางเอ่ยถามอย่างอ่อนโยนว่า “อาจื้อและอาซือทะเลาะกันเสียงดังเกินไปหรือเปล่า? ข้าขอไปดูพวกเขาเสียหน่อย”

ฝูหยาพาทั้งสองคนเดินเข้าไปในจวน ก่อนจะรีบเอ่ยขึ้นว่า “ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ เพียงแต่นายน้อยสาม เพิ่งจะยืนและเดินได้สองก้าว ทุกคนก็เลยดีใจเสียยกใหญ่”

ครั้นเหยาซูได้ยินว่าซานเป่าเดินได้ จึงแสดงสีหน้าดีใจ “จริงหรือ? เขาเดินคนเดียวงั้นหรือ?”

ฝูหยาพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ก็ไม่ใช่เชิงเจ้าค่ะ! นายน้อยจื้อหยอกเย้าเขา นายน้อยสามจึงยืนขึ้นอย่างเงอะงะ แล้วเดินสองสามก้าว!”

เหยาซูไม่สนใจเรื่องบาดหมางกับหลินเหราเมื่อครู่อีก ในหัวใจกลับเต็มไปด้วยเรื่องราวของลูกชาย

นางเดินไปจวนด้านหลังพลางพูดกับหลินเหราว่า “ท่านดูสิ เด็ก ๆ มักจะเติบโตกันเร็วจะตายไป … ถ้าวันนี้ข้าไม่พาเด็ก ๆ มาที่นี่ เกรงว่าท่านผู้เป็นพ่อคงจะพลาดการหัดเดินครั้งแรกของซานเป่าแน่!”

นี่ถือว่าเป็นการตอบสนองโดยสัญชาตญาณ

หลินเหราไม่เข้าใจ แค่เรื่องทั่ว ๆ ไปกับแค่เด็กทารกเดินได้ไม่กี่ก้าว เหตุใดถึงทำให้เหยาซูดีใจถึงเพียงนี้ แม้แต่สาวใช้ในจวนเซี่ยก็ยังพาดีใจกันเสียยกใหญ่

ในใจของเขายังคงเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่ได้แสดงสีหน้าไม่สบอารมณ์ออกไป เพียงแค่พูดคล้อยตามเหยาซู “พวกเราไปดูกันเถอะ”

เหยาซูเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น เพราะอยากเห็นซานเป่าเดินกับตาตัวเอง หลินเหราเห็นดังนั้นก็ได้แต่ขบขันอยู่ในใจ

จึงถือโอกาสตอนที่ฝูหยาไม่เห็น กุมมือของเหยาซูอย่างเงียบ ๆ

เหยาซูชำเลืองตามองชายหนุ่มแวบหนึ่ง ก่อนจะลองสะบัดแต่ก็สะบัดไม่ออก จึงไม่สนใจเขาอีก ทำแค่หลีกเลี่ยงไม่ให้เด็ก ๆ เห็นจนกระทบต่ออารมณ์ของพวกเขาเลยปล่อยให้เขาจูงไป

ทั้งสองคนจูงมือกันมาถึงลานเล็กที่หลินเหราอาศัยอยู่ สาวใช้และเด็กรับใช้เหล่านั้นต่างล้อมกันอยู่ในลานบ้าน กำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน

ฝูหยาเห็นถึงสีหน้าที่ไม่เข้าใจของเหยาซู จึงยิ้มและพูดว่า “วันนี้นายน้อยจื้อยังฝึกเขียนตัวอักษรให้เสร็จตามกำหนดของนายท่านไม่ได้ จึงเกิดความคิดหนึ่งว่าจะเขียนบทความให้แก่คนรับใช้ทุกคนในจวน”

เหยาซูขมวดคิ้ว “นี่คือความคิดของเขาหรือ?”

ใบหน้าอันงดงามของฝูหยาแต้มไปด้วยรอยยิ้ม และพูดว่า “นายน้อยจื้อเห็นใจที่เราไม่รู้หนังสือ”

เหยาซูจึงยิ้มตาม ใบหน้าอันงดงามได้ถูกย้อมไปด้วยสีหน้าแห่งการสนับสนุน แต่ปากกลับพูดว่า “ข้าว่าเขาคงอยากเล่น แต่ก็ไม่กล้าหยุดฝึกเขียนตัวอักษร จึงบังเกิดความคิดพิสดารเช่นนี้ คงพร้อมรับมือกับสิ่งที่จะเกิดแล้วกระมัง?”

หลินเหรามองเหยาซูอยู่ด้านข้าง สีหน้าของนางอ่อนโยน ช่างเหมือนกับในความฝันของหลินเหราไม่น้อย…

เหยาซูคาดไม่ถึง หลินเหราที่ดูจริงจังจะมีช่วงเวลาใจแคบเช่นนี้ด้วย นางคิดว่าเด็ก ๆ คงจะไม่เบนความสนใจมาทางหลินเหรา

เมื่อเดินเข้าไปในลานเล็ก ก็เห็นอาจื้อยืนอยู่ในลานบ้าน ตรงหน้ามีโต๊ะหนังสือตัวหนึ่งวางอยู่ บัดนี้กำลังตั้งอกตั้งใจเขียนบางอย่าง

อาซืออุ้มซานเป่า นั่งอยู่บนม้านั่งด้านข้าง ดวงตาเบิกกว้าง ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเสียงดัง

ซานเป่าอยากจะขยับ แต่ถูกผู้เป็นพี่สาวห้ามปรามไว้อย่างอ่อนโยน “ชู่ ซานเป่าอย่าขยับ ท่านพี่กำลังเขียนหนังสืออยู่นะ!”

เหยาซูเห็นดังนั้นก็อดขบขันไม่ได้ จากนั้นก็ก้มหน้าไปคุยกับหลินเหราด้วยเสียงเบา ๆ “ไม่ยักจะเคยเห็นเขาเขียนหนังสืออย่างตั้งใจเช่นนี้มาก่อน คนภายนอกยังไม่กล้าส่งเสียง ดูท่าท่านน้าเซี่ยคงอบรมมาดี”

หลินเหราแค่ส่ายหน้าและพูดว่า “จวนเซี่ยไม่เคยอบรมเรื่องนี้กับเขา”

นางแค่จะหยอกล้อเท่านั้น แต่หลินเหรากับจริงจังเสียอย่างนั้น ทั้งยังตอบกลับจนทำให้ตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

ดวงคาคู่งามของเหยาซูเบิกกว้าง พลางพูดเสียงเล็กว่า “ท่านนี่ช่างเหมือนท่อนไม้จริง ๆ โชคดีที่ลูก ๆ ไม่เหมือนท่าน”

ความสนใจของเหยาซูเบนไปทางเด็ก ๆ จากนั้นก็ยกเท้าย่างเดินเข้าไปในลานบ้าน ชายหนุ่มทำได้เดินตามไปอย่างเงียบ ๆ

พวกเขาสองคนยืนอยู่ด้านข้าง เมื่ออาซือเห็นก็ส่งยิ้มกว้างให้แก่ผู้เป็นพ่อและผู้เป็นแม่ โดยไม่ส่งเสียงใดออกมา

เหยาซูยิ้มตอบเช่นกัน

ในที่สุดอาจื้อก็เขียนข้อความจนเสร็จ เหล่าคนรับใช้เริ่มพากันขบขัน มือคู่ที่เขียนหนังสือของอาซือได้ถือกระดาษซวนจือที่เปื้อนไปด้วยหมึกดำ ดูพิจารณาด้วยความประหลาดใจ

“ดูนี่สิ ทุกตัวอักษรเหมือนกัน…เป็นระเบียบ ช่างงดงามยิ่งนัก! ในจดหมายกลับบ้านฉบับนี้ คนในหมู่บ้านจะต้องอิจฉาแน่นอนเลย!”

อาจื้อวางพู่กันไว้บนแท่นวาง บิดข้อมือเล็กน้อย จากนั้นก็ยืดยกขึ้นโดยไม่รู้ตัว

เหยาซูเดินรุดขึ้นหน้า และเอ่ยเรียกเขาเบา ๆ “เขียนตลอดช่วงเช้าเลยหรือ? ไม่เหนื่อยหรือ?”

อาจื้อเพิ่งสังเกตเห็นว่าพ่อและแม่มายืนอยู่ตรงหน้าของตัวเองแล้ว

ใบหน้าที่ดูเคร่งเครียดของเด็กชายบัดนี้ได้เผยรอยยิ้มตื่นตกใจออกมา “ท่านพ่อ ท่านแม่! พวกท่านกลับมาแล้ว!”

เหยาซูพูดกับลูกชายด้วยเสียงเบา อาซือพาซานเป่าที่กำลังเดินเงอะ ๆ งะ ๆ รุดหน้าเข้ามา จากนั้นก็เล่าเรื่องที่พี่ชายของตนเขียนจดหมายให้แก่ทุกคนอย่างไรเมื่อครู่ให้เหยาซูฟัง

หลินเหราปล่อยมือของเหยาซู ตรวจสอบสิ่งที่วางอยู่บนโต๊ะอาจื้อด้วยสีหน้านิ่งเฉย พบว่าหมึกแห้งแล้ว

นิ้วมือที่เห็นถึงข้อต่อชัดเจนของเขาได้เคาะโต๊ะเบา ๆ สองครั้ง และชี้ไปยังตัวอักษร พลางพูดเสียงราบเรียบ “ถ้อยคำเหล่านี้เป็นสิ่งที่เจ้าคิดเองหรือ?”

หลินเหรามักจะเข้มงวดกับอาจื้อเสมอ เมื่อเด็กผู้ชายเห็นว่าผู้เป็นพ่อมีเรื่องจะพูด จึงอดยืนตัวตรงไม่ได้ พลางตอบกลับ “ข้าคิดเอง เลยเขียนออกมาขอรับ”

คิ้วรูปดาบของหลินเหราขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ดูท่าจะไม่พอใจอย่างมาก จิตใจที่เริงร่าของอาจื้อได้ดิ่งวูบลงฉับพลัน และกลืนน้ำลายด้วยความเป็นกังวล

กระทั่งได้ยินเสียงที่ราบเรียบของหลินเหราเอ่ยสั้น ๆ ได้ใจความ “แม้ว่าจะเป็นจดหมายส่งกลับบ้าน แต่ก็ยังรู้จักใช้อักษรที่ไม่คุ้นเคยเหล่านี้ ใครเป็นคนสอนเจ้า?”

คนรับใช้ที่ถือจดหมายอยู่ในมือด้วยความเบิกบานใจ บัดนี้ต่างพากับเก็บรอยยิ้มบนใบหน้าอย่างระมัดระวัง

อาจื้อทำตัวไม่ถูกทันใด ได้แต่มองหลินเหรา และมองตัวอักษรที่ตัวเองเขียนอีกครั้ง กระทั่งรู้สึกว่าตัวอักษรบางตัวดูเป็นทางการและเต็มไปด้วยความเคารพ

เขาขยำชายเสื้อโดยไม่ได้ตั้งใจ พลางพูดว่า “ข้า ข้าเห็นมันในจดหมายข้าราชการและสาส์นกราบทูลที่ท่านปู่เซี่ยมักจะเขียนอยู่บ่อยครั้ง ก็เลยฝึกเขียน…”

หลินเหราขมวดคิ้ว “จดหมายข้าราชการและจดหมายส่งกลับบ้านมันต่างกัน เหตุใดถึงยกมาอ้าง?”

เหยาซูเห็นใบหน้าด้านข้างที่แสดงออกถึงความเคร่งเครียดของหลินเหรา จึงอดปวดหัวไม่ได้

เขามักจะมีท่าทางเข้มงวดกวดขันต่อหน้าคนภายนอกเสมอ การอบรมสั่งสอนลูกชายก็เหมือนกับฝึกฝนผู้ใต้บัญชาในค่ายทหาร หากไม่สมบูรณ์ก็ไม่อาจอนุญาต

อาจื้ออยู่ในวัยที่เชื่อมั่นตัวเองมากที่สุด ต่อหน้าทุกคนแล้ว เขาในฐานะพ่อไม่เคยคิดจะไว้หน้าให้ลูกชายเลยแม้แต่น้อย

เหยาซูจึงต้องเดินขึ้นหน้า มือเล็ก ๆ คว้ามือที่ชี้ไปยังกระดาษซวนจือของหลินเหรา พลางไกล่เกลี่ย “ทำไมเล่า ถ้อยคำมันไม่ดีหรือ? แม่ขอดูหน่อย…”

ในจดหมายอาจื้อใช้ถ้อยคำที่เหล่าขุนนางมักจะใช้ยามเขียนสาส์นถึงจักรพรรดิอยู่บ่อยครั้ง หากแต่ก็ไม่มากนัก มีเพียงสองสามจุดเท่านั้น

เหยาซูจึงพูดอย่างอ่อนโยน “ในจดหมายเขียนได้ยอดเยี่ยมมาก แสดงถึงความจริงใจ การเขียนลื่นไหล ตัวอักษรก็ถูกต้อง เพียงแต่ปัญหาที่พ่อเจ้าพูดถึง แค่เปลี่ยนอักษรไม่กี่ตัวก็จบ”

หลินเหรากำลังจะพูดบางอย่าง แต่ถูกเหยาซูกดมือไว้จึงไม่ได้พูดมันออกมา

ครั้นเห็นอาจื้อก้มหน้างุดเหมือนกับมะเขือม่วงที่ตากน้ำค้าง ความมั่นใจในการเขียนตัวอักษรเมื่อครู่หายไปชั่วพริบตา ก่อนจะพูดเสียงต่ำว่า “นี่เป็นสิ่งที่เขียนให้กับครอบครัวของพี่ฝูลี่ ข้าจะเขียนมันอีกรอบ”

อาจื้อเข้าใจชีวิตของฝูลี่ที่นางเคยพูดให้ฟัง เพราะไม่มีครอบครัวตั้งแต่จำความได้ นางมักเห็นผู้อื่นรอคอยจดหมายจากที่บ้านเสมอ ซึ่งตนได้แต่เสียใจอยู่เงียบ ๆ เพียงลำพัง

เมื่อได้ยินอาจื้อบอกจะเขียนจดหมายฉบับนี้เพื่อตน ฝูลี่จึงอดเบิกตากว้างไม่ได้

“นายน้อยจื้อ… จดหมายฉบับนี้ ให้ฝูลี่หรือเจ้าคะ?”

อาจื้ออยากจะทำเรื่องดี ๆ แต่กลับถูกหลินเหราตำหนิต่อหน้าทุกคน ในใจจึงรู้สึกแย่จนยากจะพรรณนาออกมาได้ แต่คงไม่ดีแน่ถ้าจะแสดงความรู้สึกนี้ออกมาต่อหน้าทุกคน

เขาส่งยิ้มให้ฝูลี่ และพูดว่า “พี่ฝูลี่ ข้าจะแก้ไขอีกรอบ เมื่อข้าแก้ไขเสร็จข้าจะให้พี่”

ฝูลี่เป็นเด็กสาวคนหนึ่ง ความคิดย่อมละเอียดอ่อน หลายวันมานี้ก็มักจะอยู่ด้วยกันกับอาจื้อบ่อยครั้ง จึงมองเห็นถึงความรู้สึกในใจของเขาอย่างชัดเจน

เขาพยายามอดทน มิเช่นนั้นดวงตาคงได้แดงก่ำไปแล้ว

สาวใช้จึงเดินหน้าอย่างอดไม่ได้ แม้ว่าจะไม่รู้ความคิดในใจของเด็กชาย แต่ก็ยังคลี่ยิ้มอย่างเบิกบานใจ “ข้าคิดว่าคนในจวนต่างก็มีหมดแล้ว มีแค่ข้าผู้เดียวที่ไม่มี ใครเล่าจะคิดว่านายน้อยจื้อจะเขียนและวางไว้ที่นี่ ไม่ให้ฝูลี่ทราบ!”

เหยาซูมองเห็นถึงเจตนารมณ์ของฝูลี่ นางยืนอยู่ข้างกายของอาจื้อ ลูบศีรษะของเด็กชายเบา ๆ จากนั้นก็ส่งยิ้มให้ฝูลี่

ฝูลี่เดินเข้ามาใกล้ ก้มหน้าอ่านจดหมายที่วางอยู่บนโต๊ะฉบับนั้น พลางพูดว่า “ฝูลี่ไม่รู้หนังสือ ในครอบครัวก็ไม่มีใคร ถึงจดหมายฉบับนี้จะเป็นฉบับที่ไม่สมบูรณ์ก็ไม่เป็นไร นายน้อยให้ฝูลี่ได้หรือไม่เจ้าคะ?”

อาจื้อตกตะลึงไปชั่วขณะ เด็กชายจะกัดริมฝีปาก ก่อนจะเงยหน้าและถามว่า “พี่ฝูลี่ไม่รังเกียจที่ข้าเขียนไม่ดีหรือ…”

ใบหน้าของฝูลี่เผยลักยิ้มจาง ๆ ออกมา ก่อนจะส่ายหน้าและพูดว่า “ฝูลี่ชอบมาก ฮูหยินหลินก็บอกว่าเขียนได้ยอดเยี่ยม คิดว่าคุณชายหลินตำหนินายน้อยเกินขอบเขต”

เหยาซูรู้นานแล้วว่าหลินเหรากำลังอบรมสั่งสอนลูก โดยเฉพาะอย่างยิ่งยามต้องเผชิญหน้ากับอาจื้อ ก็มักจะเข้มงวดตลอดเวลา

นางไม่คัดค้านความเข้มงวดของผู้เป็นพ่อ เพียงแต่วันนี้สิ่งที่เขาทำมันทำลายความเชื่อมั่นของลูกเกินไป

เหยาซูพูดกับทุกคนในจวนเซี่ยอย่างอ่อนโยน “อาจื้ออายุยังน้อย ถึงอย่างไรก็คงจะเทียบไม่ได้กับบัณฑิตที่เขียนจดหมายแทนผู้อื่น ได้โปรดทุกคนให้อภัยและใจกว้างด้วย”

เหล่าคนรับใช้ต่างทยอยกันพูดว่า “ฮูหยินหลินพูดอะไรเช่นนั้นเจ้าคะ! นายน้อยยอมช่วยเขียนจดหมายให้เรา เดิมทีเป็นเพราะความหวังดี เหตุใดจะต้องให้อภัยด้วยเจ้าคะ?”

และแล้วก็มีคนไกล่เกลี่ยพลางหัวเราะคิกคัก “ครูเข้มงวดเพื่อให้ศิษย์ได้ดี คุณชายหลินอยากให้ได้ดี ต่อไปนายน้อยจะต้องทำได้แน่นอน!”

ฝูหยาให้กำลังใจอยู่ด้านข้าง “นายน้อยจื้อเพิ่งจะแปดขวบ แต่ก็เก่งมากแล้วเจ้าค่ะ”

เหยาซูยิ้ม จากนั้นก็โอบกอดอาจื้อ พลางพูดกับเขาอย่างอ่อนโยนว่า “เห็นหรือไม่ ทุกคนคาดหวังกับเจ้ามากมายเพียงนี้ ต่อไปจะต้องพยายามมากกว่านี้”

ความน้อยเนื้อต่ำใจของเด็กหนุ่มพลันจางหายไป รีบพยักหน้าหงึกหงัก “อื้อ!”

เหยาซูเห็นว่าสภาพจิตใจของลูกชายดีขึ้นแล้ว จึงทอดถอนใจออกมาในที่สุด ก่อนจะแอบหยิกผู้ที่เป็นคนต้นเรื่องเป็นคนแรก

หลินเหราปรายตามองภรรยา และขานเรียกอย่างไม่เข้าใจ “อาซู?”

นางถลึงตากว้าง และพูดทางสายตา ‘กลับไปจะจัดการท่านแน่’

เหยาซูยิ้มให้เด็ก ๆ ที่กำลังเล่นกันอยู่ในลานบ้าน จึงใช้ข้ออ้างว่าอยากกลับไปหวีผมสระผม จึงลากตัวของหลินเหราไปด้านหลัง

หลินเหราฉงนงงงวย แต่ก็ยังตามเหยาซูไป โดยไม่รู้ว่านางหมายความว่าอย่างไร…

…………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

แปลแล้วถึงกับกุมขมับ อาเหราเอ๊ย วันนี้ทำความผิดต่อลูกเมียไปหลายกระทงแล้วนะยังไม่รู้ตัวอีกกก ทำไมในเรื่องแบบนี้ท่านถึงโง่เขลาเบาปัญญาเสียได้ เตรียมโดนอาซูสับเละได้เลยค่ะ

ไหหม่า(海馬)