ข้าวางม้วนตำราในมือลง อดทอดถอนใจออกมาไม่ได้ เนื้อหาในบันทึกนี้เป็นข่าวกรองทั้งหมดเกี่ยวกับสำนักเฟิงอี้ที่ยงอ๋องรวบรวมมาได้ ลายพู่กันของผู้เขียนเต็มไปด้วยชีวิตชีวา คล้ายเป็นตำนานเล่าขานเล่มหนึ่ง
หัวหน้าสำนักเฟิงอี้มีพื้นเพฐานะไม่ชัดเจน นางถูกเจ้าสำนักเฟิงอี้คนก่อนรับเลี้ยงตั้งแต่อายุสี่ขวบ สำนักเฟิงอี้ในตอนนั้นเป็นเพียงสำนักเล็กๆ ที่สตรีกำพร้าจำนวนหนึ่งร่วมกันก่อตั้งขึ้นมาเพื่อปกป้องตนเอง วรยุทธ์ก็มิได้ดีเท่าใดนัก
ฟ่านฮุ่ยเหยา หัวหน้าสำนักเฟิงอี้คนปัจจุบันเป็นผู้มากพรสวรรค์คนหนึ่ง นางใช้เพียงคัมภีร์ไท่หยินซินที่ชำรุดเล่มเดียวฝึกฝนวรยุทธ์จนแกร่งกล้า กระทั่งตะลุยยุทธภพจนสร้างชื่อเสียงโดดเด่นได้ในวัยเพียงยี่สิบปี ที่หาได้ยากยิ่งก็คือ แม้นางจะเป็นสตรีแต่กลับมีใจรักคุณธรรมปกป้องผู้อ่อนแอดุจบุรุษ หลายปีผ่านไป ยุทธภพก็ใช้ยอดฝีมือสตรีที่มักสวมอาภรณ์ขาวและมีบุคลิกรูปโฉมงดงามโอภาดุจนางเซียนผู้นี้เป็นบุคคลตัวอย่าง
แม้จะเป็นเช่นนี้ ทว่าความงามและอ่อนโยนของหัวหน้าสำนักเฟิงอี้ก็ยังคงดึงดูดผู้คนมากมายดั่งพญาผึ้ง ซึ่งสตรีผู้โดดเด่นนางนี้ก็มิได้ปฏิเสธอย่างแข็งกร้าวและมิได้ประจบประแจงไปทั่ว แต่กลับลั่นวาจาไว้ชัดเจนว่าจะไม่แต่งงานชั่วชีวิต เปลี่ยนบุรุษหล่อเหลามากความสามารถทั้งหลายที่หลงใหลในตัวนางให้เป็นสหายรู้ใจ แน่นอนว่านางเคยใช้วิธีดุดันแข็งกร้าวมาแล้วเช่นกัน ผลก็คือถูกนายน้อยของค่ายบรรพตทมิฬจับมารดาเลี้ยงและอาจารย์ผู้มีพระคุณของฟ่านฮุ่ยเหยาเป็นตัวประกัน บีบบังคับให้นางแต่งงานอย่างไร้ยางอาย
ยามนั้นค่ายบรรพตทมิฬเป็นพรรคฝ่ายอธรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุด มีอำนาจอิทธิพลมากมายถึงขั้นสั่นสะท้านไปทั่วทั้งใต้หล้า เจ้าสำนักเฟิงอี้จึงได้แต่ทำตามอย่างไม่ยินยอมพร้อมใจ ในงานเลี้ยงวันแต่งงาน ฟ่านฮุ่ยเหยาที่สวมชุดมงคลสีแดงก่อการฉับพลันต่อหน้าแขกเหรื่อ ใช้ปราณกระบี่ดุจสายรุ้งสังหารเจ้าบ่าวของตน หัวหน้าค่ายบรรพตทมิฬบันดาลโทสะหนัก สั่งให้ลูกน้องแล่เนื้อฟ่านฮุ่ยเหยาโดยพลัน ฟ่านฮุ่ยเหยาที่ปลดอาภรณ์เปลี่ยนไปสวมชุดธรรมดาก็เริ่มเข่นฆ่าสังหาร
เพลงกระบี่ที่รุนแรงดุจพายุของนางสร้างชื่อไปทั่วทั้งใต้หล้า ณ โถงมงคล ผู้คนนับพันห้อมล้อม เพลงกระบี่ที่รวดเร็วเกินขีดจำกัดของร่างกายเก็บเกี่ยวชีวิตมนุษย์ไปอย่างไร้ปรานี ทั่วนภามีเพียงใบกระบี่สีเขียวส่องประกาย ท่ามกลางการเข่นฆ่าอันโหดเหี้ยม เงาร่างในอาภรณ์สีขาวดุจหิมะกลับดูสง่างามยิ่ง
วันนั้นสี่สิบแปดผู้พิทักษ์ของค่ายบรรพตทมิฬตกตายไปกว่าครึ่ง ร้อยแปดผู้คุมกฎของเจ้าสำนักตกตายไปสี่ส่วน สุดท้ายฟ่านฮุ่ยเหยาเกิดสภาวะกระบี่และร่างกายรวมเป็นหนึ่ง กระทั่งฝ่าวงล้อมออกไปได้ ซึ่งก่อนหน้านั้น มารดาเลี้ยงของนางถูกช่วยไปท่ามกลางความสับสนอลหม่านแล้ว
ต่อมาคนที่เห็นฟ่านฮุ่ยเหยาล้วนกล่าวว่าตอนนั้นอาภรณ์ขาวของนางถูกอาบย้อมไปด้วยโลหิต บนร่างมีบาดแผลน้อยใหญ่รวมสามสิบกว่าแห่ง การที่นางหนีออกมาอย่างมีชีวิตได้เช่นนี้ได้ก็นับว่าโชคดีแล้ว แต่ที่ทำให้ผู้คนรู้สึกประหลาดใจก็คือ ฟ่านฮุ่ยเหยาเชิญผู้กล้าทั้งแผ่นดินเข้ามาร่วมเป็นพันธมิตรในยามที่นางกำลังพักฟื้นเพื่อหารือเกี่ยวกับค่ายบรรพตทมิฬร่วมกัน และถือโอกาสที่อำนาจของค่ายบรรพตทมิฬเสียหายหนักโยนหินลงบ่อ[1]ด้วยวิธีต่างๆ นานา เมื่อมีฟ่านฮุ่ยเหยาเป็นคนกลางคอยไกล่เกลี่ยระหว่างพันธมิตร ไม่นานค่ายบรรพตทมิฬที่เคยรุ่งโรจน์ก็สลายไปดุจหมอกควัน
หลังจากค่ายบรรพตทมิฬล่มสลาย ฟ่านฮุ่ยเหยาก็กลายเป็นหัวหน้าสำนักเฟิงอี้อย่างเป็นทางการ ภายใต้การนำอันชาญฉลาดของนาง ไม่นานสำนักเฟิงอี้ก็กลายเป็นผู้นำฝ่ายธรรมะ ส่วนฟ่านฮุ่ยเหยาก็ไร้ผู้ต่อกรในใต้หล้า หนึ่งกระบี่สร้างประกายเย็นยะเยือก ตอนนั้นตงจิ้นล่มสลายไปสามสิบปีแล้ว จงหยวนอยู่ในความวุ่นวาย แม้ฟ่านฮุ่ยเหยาจะยึดมั่นในคุณธรรมคอยช่วยเหลือผู้อ่อนแอและคนยากคนจน แต่กำลังของคนเพียงคนเดียวจะหยุดลมพายุที่กำลังโหมกระหน่ำได้อย่างไร
เมื่อได้เห็นชีวิตอันลำบากยากเข็ญมากมาย ฟ่านฮุ่ยเหยาจึงสาบานว่าจะรวบรวมใต้หล้าให้ได้ ตอนนั้นแต่ละคนต่างหัวเราะเยาะนาง บอกว่ากล่าววาจาโอหังไม่ประมาณตน สตรีเพียงคนเดียวต่อให้มีความสามารถมากเพียงไรก็ไม่อาจรวบรวมใต้หล้าเป็นหนึ่ง แต่ทั้งๆ ที่รู้เช่นนี้ ฟ่านฮุ่ยเหยาก็ยังเลือกเส้นทางที่ทั้งง่ายและยากลำบากที่สุด นางเลือกสนับสนุนหลี่หยวน เจ้าแคว้นที่มิได้มีอำนาจมากที่สุดในจงหยวน ทว่าก็กระจ่างแจ้งในเส้นทางการเมืองเป็นอย่างดี ใช้อิทธิพลฝ่ายธรรมะของสำนักเฟิงอี้คอยชี้แนะ ใช้ความสามารถไร้คู่ต่อกรของนางและวรยุทธ์อันโดดเด่นเข้าช่วย สุดท้ายสำนักเฟิงอี้จึงมีผลงานในการช่วยต้ายงก่อตั้งแว่นแคว้น
ฟ่านฮุ่ยเหยาเคยเดินทางไปทั่วจงหยวนเพื่อต้ายง ฟ่านฮุ่ยเหยาเคยลอบสังหารศัตรูและขุนนางคนสำคัญมากมายเพื่อให้ตระกูลใหญ่จำนวนมากหันมาสนับสนุนหลี่หยวนและต้ายง มีอยู่ครั้งหนึ่ง ขณะที่หัวหน้าทัพศัตรูพาภรรยาไปจุดธูปขอพรที่วัด ฟ่านฮุ่ยเหยาสวมชุดขาว เปิดเปลือยเท้าเปล่า ถือกิ่งหลิวยืนเลียนแบบโพธิสัตว์กวนอิม เมื่อองครักษ์ยอดฝีมือจำนวนหลายร้อยคนเข้าตรวจสอบอารามกลับไม่มีแม้แต่คนเดียวที่รู้ว่าโพธิสัตว์กวนอิมที่อยู่บนบัลลังก์ดอกบัวเป็นสตรีจริงๆ ที่แต่งกายมา
ขณะที่ศัตรูผู้นั้นพาคนเข้ามากราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในอารม นางก็ใช้นิ้วเดียวสังหารหัวหน้าศัตรู จากนั้นก็พลิ้วกายดุจนางเซียนออกไปจากอาราม องครักษ์ด้านนอกต่างตกตะลึง มองนางพลิ้วจากไปอย่างโสภา ยามเมื่อเท้าเปล่าเปลือยของนางเหยียบย่ำลงบนถนนหิมะกลับไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ ไว้ ไม่มีโลหิตแม้แต่หยดเดียวที่แปดเปื้อนผิวกายดุจหยกของนาง ทหารชั้นยอดหลายพันนายล้วนอุทานอย่างตื่นตะลึงว่า ‘เจ้าแม่กวนอิมแสดงอิทธิฤทธิ์แล้ว’ ทั้งยังปล่อยให้นางจากไปโดยดี
มีอยู่ครั้งหนึ่ง ยงอ๋องหลี่จื้อพาทหารไปทำสงครามกับหยางเหล่าเซิง หยางเหล่าเซิงมีแม่ทัพใต้บัญชาคนหนึ่งนามเวินหู่ ใช้ง้าวเป็นศาสตราวุธ ฝีมือไร้เทียมทาน ตัดหัวแม่ทัพชิงธงมากมาย ห้าวหาญชาญชัยประหนึ่งลิโป้ แม่ทัพใต้บัญชายงอ๋องไม่มีผู้ใดต่อกรได้เลย ทหารหลายหมื่นนายถูกทหารศัตรูจำนวนหนึ่งหมื่นเข้าเข่นฆ่าพัวพัน
ยามนั้นฟ่านฮุ่ยเหยาคุ้มกันเสบียงมาส่งถึงค่ายด้วยตนเองพอดี เมื่อรู้เรื่องนี้นางก็เดินทางไปอย่างยิ้มแย้ม คืนนั้นเอง จู่ๆ ทูตผู้ส่งสารของหยางเหล่าเซิงก็มาที่กระโจมของเวินหู่เพื่อถ่ายทอดคำสั่ง เวินหู่จงรักภักดีต่อหยางเหล่าเซิงยิ่งนักจึงไปต้อนรับทูตส่งสารด้วยตนเอง ผู้ใดจะทราบว่าคนผู้นั้นกลับถือคำสั่งไว้ในมือแล้วประกาศออกไปด้วยเสียงอันดังว่า ‘เวินหู่คบค้าศัตรู โทษหนักไม่อาจอภัย ข้าผู้นี้ได้รับบัญชาให้มาสังหารเสีย’ กล่าวจบก็ชักกระบี่ออกมา กระบี่เล่มนั้นช่างเต็มไปด้วยความดูแคลนและยโส สังหารเวินหู่ที่ไม่ทันป้องกันตัวจนดับดิ้น ทัพศัตรูวุ่นวายครั้งใหญ่ ฟ่านฮุ่ยเหยาถือโอกาสนี้พลิ้วกายจากไป วันต่อมายงอ๋องจึงถือโอกาสบุกโจมตีสังหารศัตรูให้มลายสิ้น
การศึกที่น่าอนาถที่สุดของฟ่านฮุ่ยเหยาก็คือการสู้รบกับปรมาจารย์แห่งพรรคมารจิงอู๋จี๋ พรรคมารสนับสนุนหยางเหล่าเซิงและต้องการรวมจงหยวนเป็นหนึ่งเช่นกัน สำนักเฟิงอี้และพรรคมารจึงกลายเป็นศัตรูที่ต้องการเอาชีวิตกันและกันไปโดยปริยาย
คนของพรรคมารล้วนใช้วิธีการโหดเหี้ยม ทั้งลอบสังหารทั้งวางยาพิษ ไม่ว่าวิธีใดล้วนใช้ทั้งสิ้น ส่วนสำนักเฟิงอี้ของฟ่านฮุ่ยเหยามีอำนาจด้อยกว่าเล็กน้อย เพื่อที่จะปกป้องเหล่าแม่ทัพขุนนางของต้ายง ฟ่านฮุ่ยเหยาจึงไปเกลี้ยกล่อมฟางจ้างของสำนักเส้าหลิน สร้างแนวป้องกันที่สมบูรณ์แบบขึ้นมา
นางเริ่มปราบปรามมือสังหารและสายลับของพรรคมารด้วยตนเอง นี่เป็นสงครามที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในหน้าประวัติศาสตร์ ทั้งสองฝ่ายต่างลอบสังหารกัน ในระยะเวลาสั้นๆ เพียงครึ่งปี ต้ายงสูญเสียขุนพลชั้นยอดไปถึงสามส่วน แต่ความสูญเสียของศัตรูนั้นน่าอนาถยิ่งกว่า อัจฉริยภาพของฟ่านฮุ่ยเหยาถูกแสดงออกมาอย่างเต็มที่ วิธีการสังหารแต่ละอย่างทำให้ผู้คนรู้สึกตาพร่า จากนั้นจิงอู๋จี๋ทนรับความสูญเสียอันน่าสังเวชเช่นนี้ไม่ไหวจึงส่งหนังสือนัดหมายให้ฟ่านฮุ่ยเหยาออกมาสู้ตัดสินกันที่ภูเขาฮว๋าซาน
วันนั้นทิวทัศน์และดวงตะวันช่างงดงาม จอมยุทธ์กลุ่มใหญ่รวมตัวกันอยู่บนยอดเขาเหลียนฮวา ใครบ้างเล่าไม่อยากเห็นจิงอู๋จี๋ผู้เป็นปรมาจารย์แห่งยุคสู้กับฟ่านฮุ่ยเหยาผู้เป็นสตรีมหัศจรรย์อันดับหนึ่ง เมื่อถึงยามอู่[2] ทั้งสองมาถึงตามนัดหมาย จิงอู๋จี๋สวมอาภรณ์สีฟ้าทั้งร่าง ใบหน้าคมสันดูสง่างาม ส่วนฟ่านฮุ่ยเหยาสวมอาภรณ์สีขาวดุจหิมะ สง่าโสภาไร้ผู้ใดเปรียบ ทั้งสองสนทนากันต่อหน้าจอมยุทธ์มากมาย ถกกันเรื่องกลุ่มอำนาจในแผ่นดินอย่างถูกคอราวกับเป็นสหายรู้ใจ ผู้ใดจะรู้เล่าว่าทั้งสองจะมาเป็นศัตรูกันเช่นนี้ได้
หลังจากทั้งสองสนทนากันครึ่งชั่วยาม จิงอู๋จี๋จึงทอดถอนใจยาวๆ ก่อนกล่าวว่า ‘เจอกันช้าไปจริงๆ การต่อสู้ในวันนี้หากเจ้าไม่ตายข้าก็ตาย หากข้าตาย ตราบใดที่เจ้ายังอยู่ในจงหยวน พรรคมารของข้าจะไม่เหยียบเข้าจงหยวนอีกแม้เพียงก้าวเดียว’
เจ้าสำนักเฟิงอี้ทำเพียงหัวเราะอย่างเรียบเฉยก่อนตอบ ‘หากข้าโชคร้ายก็นับว่าได้สหายรู้ใจเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคนแล้ว หากข้าตาย สำนักเฟิงอี้ของข้าก็จะถอนตัวออกจากยุทธภพเช่นกัน’
การต่อสู้ของทั้งสองในคราวนี้สะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่วทั้งชั้นฟ้าและแผ่นดิน จิงอู๋จี๋เป็นปรมาจารย์แห่งพรรคมาร วิถีดาบดุดันโชติช่วง รวดเร็วประหนึ่งสายฟ้า พลิ้วไหวดั่งสายลม มุ่งโจมตีดั่งมังกร พรายพลิ้วดั่งเทพเซียน ส่วนวิถีกระบี่ของฟ่านฮุ่ยเหยากลับแลงามสง่าประหนึ่งไม่มีไอสังหารแม้เพียงนิด ทั้งสองตกอยู่ภายใต้การต่อสู้อันฮึกเหิม เพลงดาบของจิงอู๋จี๋ทำให้ผู้คนตะลึงพรึงเพริด แต่เพลงกระบี่ของฟ่านฮุ่ยเหยาก็ยอดเยี่ยมประณีตมากเช่นกัน เพียงแต่ฟ่านฮุ่ยเหยาด้อยกว่าเล็กน้อย ท่ามกลางการต่อสู้อันยากลำบาก นางได้รับบาดเจ็บนับไม่ถ้วน หากไม่ใช่ว่านางสู้อย่างใช้ชีวิตเข้าแลก เกรงว่าคงพ่ายแพ้ไปนานแล้ว
อย่างไรก็ดี เมื่อสู้กันไปราวหนึ่งพันกระบวนท่า ฟ่านฮุ่ยเหยากลับยิ่งสู้ยิ่งแข็งกร้าว อัจฉริยภาพทั้งหมดของนางถูกศัตรูผู้แข็งแกร่งบีบเค้นออกมาจนหมด สุดท้ายนางเปล่งเสียงตวาดลั่นดุจหงส์กรีดร้อง วิถีกระบี่ยิ่งมายิ่งรวดเร็ว กระทั่งเกิดประกายสีฟ้าดุจเกลียวคลื่น แต่ละคลื่นรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ผ่านไปอีกสิบกระบวนท่า กระบี่ในมือฟ่านฮุ่ยเหยาก็กลายเป็นคลื่นรุ้งแหวกผ่านอากาศ วิถีกระบี่ทั้งพิสดารทั้งงดงาม ยอดเยี่ยมหาใดเปรียบ หนึ่งกระบี่แทงทะลุอกจิงอู๋จี๋ จิงอู๋จี๋พ่ายแพ้อย่างอนาถ จากไปด้วยความเศร้าสลด
ยามนั้นฟ่านฮุ่ยเหยาหยัดกายยืนต้านลม นางสวมใส่อาภรณ์สีขาวทั้งร่าง บนหน้าปรากฏโลหิตเป็นหย่อมประหนึ่งดอกเหมยเบ่งบาน ร่างกายสูงโปร่ง คิ้วยาวงดงาม ตาหงส์กระจ่างใส ผิวกายดุจนางเซียน ผึ่งผายประหนึ่งเทพบนชั้นฟ้า การต่อสู้ในครั้งนี้ทำให้นางกลายเป็นยอดกระบี่มือหนึ่งในแผ่นดิน ติดอันดับปรมาจารย์และทำให้นางกลายเป็นผู้นำของฝ่ายธรรมะไปโดยปริยาย ชื่อเสียงเหนือกว่าผู้อาวุโสฉือเจินแห่งสำนักเส้าหลินที่เป็นปรมาจารย์ด้านวรยุทธ์เสียอีก
จิงอู๋จี๋หลบหนีไปยังเป่ยฮั่น หนีไปถึงทุ่งหญ้า ใช้เพลงดาบสร้างชื่อท่ามกลางความสับสนอลหม่านในพื้นที่นอกกำแพง หลายปีต่อมากลายเป็นราชครูของเป่ยฮั่น ว่ากันว่าเพลงดาบของเขาไปถึงขอบเขตเทียนเหรินแล้ว เพียงแต่เขายังคงรักษาสัญญา ไม่เคยเหยียบย่างเข้ามาในจงหยวนอีกแม้เพียงก้าวเดียว
หากไม่มีฟ่านฮุ่ยเหยา กว่าต้ายงจะรวบรวมจงหยวนได้คงเสียเวลาเพิ่มขึ้นอีกสิบปี ภายใต้การสนับสนุนและการชี้นำของนาง ยอดฝีมือในยุทธภพทั้งฝ่ายธรรมะและอธรรมล้วนเข้ามารับใช้กองทัพแห่งต้ายง ท่ามกลางการศึกมากมาย อำนาจของสำนักเฟิงอี้ก็พุ่งทะยานดุจเดียวกัน
ที่หาได้ยากยิ่งกว่าก็คือฟ่านฮุ่ยเหยามีความสามารถโดดเด่นถึงขั้นสะเทือนแผ่นดิน นางเคยเข้าร่วมงานด้านการทหารและการเมืองหลายครั้ง ซึ่งทุกครั้งก็ทำให้ผู้คนต้องตะลึงพรึงเพริด ด้วยเหตุนี้หลี่หยวนจึงให้บุตรชายหลายคนของตนคารวะนางเป็นอาจารย์ แม้ฟ่านฮุ่ยเหยาเคยลั่นวาจาไว้ว่าจะไม่รับศิษย์ชายแต่ยังคงชี้แนะเป็นบางครั้ง ทำให้พวกเขาได้ผลประโยชน์ไม่น้อย ซึ่งนี่ทำให้อำนาจอิทธิพลของฟ่านฮุ่ยเหยาเริ่มแผ่ขยายไปสู่ราชวงศ์แห่งต้ายงด้วย
[1] โยนหินลงบ่อ ฉวยโอกาสทำให้สถานการณ์วุ่นวายมากขึ้น
[2] ยามอู่ คือ 11.00 – 12.59 น.