ตอนที่ 335 รอวันคืนชีพ

ตอนที่ 335 รอวันคืนชีพ

เฉินเทียนเจียวไม่กล้าพูดว่าเหล่าต้าตายแล้ว เพียงแต่ความสามารถในการคืนชีพจากความตาย ต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวสถานการณ์เมื่อคืนเลวร้ายมาก เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็ยังคงมีความกลัวอยู่เมื่อนึกถึงภาพที่ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กัน

ตงหยางส่งกองกำลังออกไปเป็นจำนวนมาก และไม่มีใครสามารถต่อต้านพลังของโบนวิงส์ที่กระพือปีกตนนั้นได้ และพวกเขาก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับมันอย่างสมบูรณ์ ไม่มีใครสามารถเข้าใกล้มันได้ในระยะร้อยเมตร ยกเว้นสือเหล่าต้า

หัวใจของซูเถาเบิกบานขึ้นมาทันที “เป็นแค่อาการบาดเจ็บภายนอกเหรอ?”

เฉินเทียนเจียวคิดกับตัวเองว่าเขาตายไปแล้ว ไม่ใช่แค่ได้รับบาดแผล แต่ก็ทำได้แค่พยักหน้าอย่างไม่มีทางเลือก

ซูเถารู้สึกโล่งใจเมื่อได้ยินว่ามันเป็นแค่อาการบาดเจ็บ เพราะว่ามีหมอจงเกาอี้อยู่ที่นี่ อาการบาดเจ็บจึงไม่ใช่ปัญหา เมื่อกลับไปที่ตงหยาง เธอจะพาหมอจงไปทำการรักษาสือจื่อจิ้น

หลังจากเฉินเทียนเจียววางสายจากซูเถาไปเขาก็ต้องปาดเหงื่อ จากนั้นก็มองไปที่ร่างของเหล่าต้าที่กำลังถูกแช่อยู่ในสารคงสภาพ

ใบหน้าของสือจื่อจิ้นซีดเซียว ร่างกายของเขาทรุดโทรมเป็นอย่างมาก จนสามารถมองเห็นกระดูกและอวัยวะภายในได้อย่างชัดเจนในขณะที่ลอยตัวอยู่ในสารคงสภาพ

เฉินเทียนเจียวตบกระจก “เหล่าต้า ถ้าเถ้าแก่ซูกลับมาผมจะบอกกับเธอยังไงดี เธอต้องอยากพบคุณแน่นอน แต่การเห็นคุณในสภาพนี้มันคงทำให้เธอตกใจเป็นอย่างมาก”

“ผมไม่กล้าบอกเธอว่าคุณตายไปแล้วจริง ๆ แต่ผมก็โกหกได้เพียงระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้น ในสองสามวันนี้ คุณต้องรีบใช้ประโยชน์ระหว่างที่เถ้าแก่ซูเดินทางกลับมานะ รีบพัฒนาเนื้อหนังของคุณให้ดีขึ้นอย่างรวดเร็ว อย่างน้อยก็ฟื้นฟูเป็นสภาพที่คนอื่นเห็นได้หน่อย ได้ไหมเหล่าต้า”

เฉินเทียนเจียวพูดพล่ามกับร่างของสือจื่อจิ้นเป็นเวลานาน จากนั้นจึงหยิบปากกาบันทึกเสียงออกมา

“ผมพกสิ่งนี้ติดตัวไว้ตลอดเวลา คุณบอกว่าคุณอาจจำใครไม่ได้เมื่อตื่นขึ้นมา คุณจึงบันทึกเสียงสำหรับตัวเองที่จะเกิดใหม่ไว้ล่วงหน้า และขอให้ผมมอบมันให้คุณทันทีที่คุณตื่น”

……

เมื่อซูเถาวางสายของเฉินเทียนเจียวก็รู้สึกว่ายิ่งคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจมากขึ้นเท่านั้น เธอนึกถึงการตายของหลิวพ่านพ่าน เวลานั้นภาพการทำนายของเธอได้เตือนเธอว่า หลิวพ่านพ่านจะต้องตายด้วยน้ำมือของโบนวิงส์ และมันก็ได้เกิดขึ้นจริง ๆ

จากนั้นเธอก็ได้ทำนายการตายของสือจื่อจิ้น…

เธอโทรหาเฉินเทียนเจียวอีกครั้ง

เมื่อเฉินเทียนเจียวได้ยินเสียงเรียกเข้า เขาก็หยิบอุปกรณ์สื่อสารออกมาทันที แต่เมื่อเห็นหมายเลขผู้โทรเข้า ทันใดนั้นก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ

“…เถ้าแก่ซูมีอะไรอีกเหรอ”

ซูเถาถามตรง ๆ ว่า “เหล่าต้าของคุณบาดเจ็บสาหัสเท่านั้น หรือมีอะไรอย่างอื่นอีก”

เฉินเทียนเจียวกัดฟันและพูดว่า “อย่างอื่นคืออะไร? หมายถึงว่าเขาตายหรือยังเหรอ? ถ้าเขาตายแล้วผมก็คงปิดคุณไว้ไม่ได้หรอก พอคุณกลับมาก็จะรู้เอง”

คำพูดเหล่านี้น่าเชื่อถือมาก ซูเถาเชื่อไปแล้ว 90% และตัดสินใจว่าสิ่งแรกที่เธอจะทำเมื่อไปถึงตงหยางคือการดูว่าเขาเป็นยังไงบ้าง

หลังจากวางสายอีกครั้ง ท้องฟ้าก็สว่างแล้ว ดวงอาทิตย์สาดส่องเหนือขอบฟ้า แสงแดดที่แผดเผาก็ปรากฏขึ้นอีกครั้งบนแผ่นดินนี้ และผู้คนก็ได้รับแสงแดดตลอดทั้งวัน

หัวหน้าสวี่ซึ่งนอนบนโซฟาในรถทั้งคืนก็ลุกขึ้นเช่นกัน

ซูเถารู้สึกผิดเล็กน้อยเมื่อเห็นเขา “เมื่อวานฉันไปรับคนกลับมาก็มืดแล้วค่ะ ให้ฉันช่วยจัดการที่พักผ่อนให้คุณตอนนี้ไหมคะ?”

หัวหน้าสวี่นอนตัวแข็งทื่อเล็กน้อย เขายักไหล่และพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “บนหลังคารถมีของหรือเปล่า? ผมอยากจะติดตั้งบางอย่างบนนั้น”

“ไม่มีค่ะ เชิญเลย”

หลังจากได้รับอนุญาต สวี่ฉางหยิบกล่องสีดำขนาดเล็กขนาดลูกบาสเก็ตบอลออกมาจากกระเป๋าเป้พกพาของเขา จากนั้นก็หาเก้าอี้มาตัวหนึ่งเพื่อยืนขึ้น พร้อมกับยกกล่องเล็ก ๆ ขึ้นเหนือหัวแล้วกดสวิตช์

ทันใดนั้นกล่องก็ดูเหมือนจะมีแรงดูด และติดแน่นกับเพดานรถด้านบน

ซูเถาเห็นว่ากล่องค่อย ๆ คลี่ออกรวมเข้ากับหลังคารถของเธอ หลังจากนั้นไม่นาน บันไดยืดไสลด์ก็ปรากฏขึ้นเพื่อเป็นทางปีนขึ้นไป ด้านบนเป็นห้องที่มีพื้นที่ไม่เกิน 10 ตารางเมตร

ข้างในมีเตียง โต๊ะ และตู้เสื้อผ้าแบบเรียบง่ายเหมือนห้องพักผ่อน

ซูเถารู้สึกประหลาดใจ “สุดยอดมาก มีประโยชน์จริง ๆ ค่ะ นี่เทียบเท่ากับว่ารถบ้านของฉันมีสองชั้นเลยนะคะ”

สวี่ฉางยิ้ม “ใช่ เป็นเทคโนโลยีการย่อมิติที่พัฒนาโดยฉางจิง สามารถบีบอัดพื้นที่ได้ เทียบเท่ากับการพกพาห้องรับรองส่วนตัวไปทุกที่ และมันก็แข็งแกร่งมากจนไม่สามารถทำลายได้ด้วยแรงธรรมดา”

“ราคาตลาดเท่าไหร่คะ” ซูเถาถาม

“ไม่มีราคาตลาด เป็นของที่ฉางจิงพัฒนาเพื่อการเดินทัพ แต่เบื้องบนเห็นว่าผมเองก็เป็นผู้อาวุโสคนหนึ่ง และการขึ้นเหนือล่องใต้ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับผม ก็เลยได้อนุมัติของสิ่งนี้ให้ผมมาสองอัน” สวี่ฉางส่ายหัว

อีกอันหนึ่งเขามอบให้กับเหลยสิงไปแล้ว และเหลยสิงได้มอบมันให้กับเธอ

รอยยิ้มของซูเถาลดลงอย่างช้า ๆ เธอหยิบกล่องของขวัญออกมาจากพื้นที่ของฟางจือ

ครั้งก่อนที่เฉินหยางต้องการมอบแคมป์หลบภัยเคลื่อนที่นี้ให้เธอ แต่เธอไม่มีเวลาคืน คงจะดีหากให้หัวหน้าสวี่ส่งมอบให้เหลยสิง

สวี่ฉางรู้สึกประหลาดใจ “คุณไม่ต้องการมันเหรอ?”

ซูเถาส่ายหัว “ถ้าฉันไม่รู้มูลค่าของสิ่งนี้ก็อาจรับไว้นะคะ แต่ตอนนี้ฉันรู้แล้ว ฉันเลยอยากคืนให้เขา รบกวนให้หัวหน้าสวี่ช่วยคืนแทนฉันได้ไหม”

สวี่ฉางมองดูเธอครู่หนึ่ง จากนั้นถอนหายใจและพูดว่า “พ่อหนุ่มเหลยคนนั้นเป็นคนดี อายุยังน้อยและไว้วางใจได้ อีกอย่างเขามีความสามารถมาก”

ซูเถาพยักหน้า “ใช่ค่ะ เขาเป็นคนดีมากและสมควรได้เจอคนที่ดีกว่านี้”

เมื่อได้ยินสิ่งที่เธอพูด สวี่ฉางทำได้เพียงแค่พยักหน้า และรับกล่องของขวัญเอาไว้ จากนั้นดูเหมือนจะนึกถึงบางอย่างออก และอดไม่ได้ที่จะหัวเราะและพูดว่า

“ตั้งแต่ผมรู้จักเหลยสิงเขาไม่เคยผิดพลาดเลย เป้าถูไม่เพียงมีความก้าวหน้าอย่างมากเท่านั้น แต่พวกเขายังเหนือกว่าทีมทหารรับจ้าง ‘เชาฉวิน’ ของตระกูลฉู่เสียอีก และยังไม่เคยสูญเสียเพื่อนร่วมทีมไปแม้แต่คนเดียว เขาสามารถทำเงินได้และยังมีชื่อเสียงที่เลื่องลือไปทั่ว”

“ไม่คิดเลยว่าเขาต้องมาเสียทีให้กับความรู้สึกแบบคนหนุ่มสาว ฮ่าฮ่าฮ่า”

ซูเถาอายมาก เธอยืนอยู่ข้าง ๆ และไม่รู้จะพูดอะไร

สวี่ฉางพูดเกี่ยวกับเหลยสิงเสร็จแล้ว ก็มองดูเวลาบราวนี่ออนไลน์

“น่าจะใกล้ได้เวลาหยุดรถพักผ่อนแล้วใช่ไหม เดี๋ยวผมขอตัวไปหาเหล่าอวี๋ผอก่อน ต้องบอกว่าเราทุกคนมีชะตากับเถาหยาง เมื่อผมตัดสินใจจะไปเถาหยาง เธอก็ตามมาติด ๆ ฮ่าฮ่าฮ่า”

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะหัวหน้าสวี่ใกล้จะได้เจอลูกสาวของเขาหรือเปล่า เขาจึงอารมณ์ดีอย่างเก็บอาการไม่อยู่ เขามีความสุขมากอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เขาคุยกับหม่าต้าเพ่าและหยอกล้อกันหลังลงจากรถ

หลินฟางจือที่เป็นผู้ควบคุมเสบียงเริ่มแจกจ่ายอาหารเช้าตามปกติ เขายื่นถุงซาลาเปาร้อน ๆ ขนมจีบสองลูก และโจ๊กสำเร็จรูปหนึ่งกระป๋องให้กับเหล่าอวี๋ผอ

เหล่าอวี๋ผอมองไปที่ซาลาเปาร้อน ๆ จากนั้นก็จ้องมองอยู่กับหลานชายเป็นเวลานาน

เธอจ้องไปที่เขา แต่หลานชายเธอไม่ได้พูดอะไร จากนั้นจึงหันไปถามซูเถา “นี่เป็นอาหารมื้อสุดท้ายหรือเปล่า”

ทันทีที่พูดจบ เสี่ยวอวี๋ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก็ได้กลืนอาหารลงคอไปแล้ว

เหล่าอวี๋ผอตีหลานชายของเธอด้วยหลังมืออย่างแรง “ระวังสำลักตาย”

ซูเถาตกตะลึง “ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ! ทำไมคุณถามอย่างนั้นล่ะคะ?”

มื้อสุดท้ายที่ไหนกัน เมื่อกินข้าวมื้อนี้เสร็จก็จะได้ออกเดินทางกันต่อ

เหล่าอวี๋ผอนึกถึงเสบียงที่ซูเถามอบให้หลานชายของเธอตอนที่เธอมาที่บ้านครั้งแรกได้

เธอลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามว่า “ปกติพวกคุณกินแบบนี้เหรอ?”