ตอนที่ 311 ถั่วชมพูแสดงอิทธิฤทธิ์ในมหาสงคราม 6

สตรีมเมอร์สาว กินพิชิตอวกาศ

ตอนที่ 311 ถั่วชมพูแสดงอิทธิฤทธิ์ในมหาสงคราม 6
ตอนที่ 311 ถั่วชมพูแสดงอิทธิฤทธิ์ในมหาสงคราม 6

“ 9 ดาวสิบตัวงั้นเหรอ” สเปนเซอร์จ้องมองเขา “แต่เราไม่เชื่อว่า 9 ดาวทั้งสิบตัวจะมีกำลังมหาศาลนักหรอก”

“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทพูดถูก 9 ดาวทั้งสิบตัวอาจจะไม่ได้มีพลังทำลายล้างขนาดนั้น แต่ถ้ามี 8 ดาวนับล้านตัวล่ะพ่ะย่ะค่ะ”

ลอสพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มบิดเบี้ยว “อสุรกายหุ้มเกราะที่บุกรุกเข้ามามี 9 ดาวอยู่หนึ่งตัว ส่วนอีกล้านตัวอยู่ในระดับ 8 ดาวพ่ะย่ะค่ะ และอีกหลายล้านตัวอยู่ในระดับ 6-7 ดาว”

“นอกจากนี้ยังมีเอเลี่ยนประเภทอื่นอีกพ่ะย่ะค่ะ!”

เป็นจำนวนที่ค่อนข้างน่าทึ่งพอสมควร

สเปนเซอร์ทรุดตัวลงบนเก้าอี้ขณะจ้องมองไปที่ลอส เขาปริปากพูดหลังจากเวลาผ่านไปนาน

“เจ้าเพิ่งบอกว่าถ้าเอเลี่ยนพวกนี้ไม่สามารถบุกรุกเกราะป้องกันเข้ามาได้ พวกมันจะถอยออกไปใช่ไหม?” สเปนเซอร์จ้องมองไปที่ลอสด้วยความคาดหวัง

ลอสรู้ดีว่าฝ่าบาทสเปนเซอร์ไม่เต็มใจที่จะเรียกกองทัพกลับมานัก เนื่องจากฝ่าบาทเป็นคนที่กลัวเสียหน้าที่สุด หากกองทัพกลับมา มันจะไม่เป็นการหักหน้าเขาเอาเหรอ?

ด้วยเหตุนี้เขาจึงพูดอย่างจริงจังว่า “ฝ่าบาท นั่นเป็นแค่ความเป็นไปได้ แต่กระหม่อมไม่สามารถรับประกันได้พ่ะย่ะค่ะ”

“อืม เรารู้แล้ว แต่ในเมื่อมันมีโอกาสที่จะเป็นไปได้ เพราะงั้นเราก็มาเดิมพันกัน ถ้ามันไม่ได้ผลจริง ๆ เราจะใช้วิธีอื่น” สเปนเซอร์ถอนหายใจและพูดต่อ “เราไม่เชื่อว่าพระเจ้าจะใจร้ายนักหรอก”

ลอสถอยหายใจ ไม่พูดอะไรต่อ และถอยออกไปเงียบ ๆ

เดิมพันด้วยชีวิตของประชาชนจะดีจริงเหรอ?

ลอสไม่สามารถตัดสินใจด้วยตัวเองได้ หากเป็นอย่างที่ฝ่าบาทว่าไว้ เมื่อกองทัพมาถึง เอเลี่ยนอาจจะถอยออกไปแล้วก็ได้ แต่ใครจะสามารถรับประกันได้ว่ามันจะไม่เกิดขึ้น?

ช่างมันเถอะ แค่ทำตามประสงค์ของฝ่าบาทก็พอ เขาเป็นเพียงข้ารับใช้ตัวน้อย ถ้าจักรพรรดิสั่งให้ไปตายก็ต้องไปตาย เพราะฉะนั้นฝ่าบาททำตามประสงค์ได้เลยพ่ะย่ะค่ะ

เหมยหมี่มองดูเอเลี่ยนที่ลอยตัวอยู่บนฟ้า รอยย่นเล็กน้อยปรากฏขึ้นระหว่างคิ้ว

“เข่อซิน เจ้าคิดว่าพวกเอเลี่ยนจะถอยออกไปไหม?” เหมยหมี่หันไปถามหลันเข่อซิน เพื่อนตัวน้อยที่เป็นลูกสาวของขุนนางชั้นสูง

“อาจจะถอยก็ได้ หรืออาจจะไม่ถอยก็ได้ ใครจะไปรู้ได้ล่ะเพคะ?” หลัวเข่อซินพูดออกมาอย่างเกียจคร้าน พลางจ้องมองไปที่เหมยหมี่

“ท่านคิดว่ายังไงล่ะ?”

“เรารู้สึกมันว่าแปลก” เหมยหมี่ขมวดคิ้วและพูดต่อ “เจ้าก็รู้ว่าจักรวรรดิปีกพิสุทธิ์ของเราไม่ถูกเอเลี่ยนปิดล้อมมาหลายร้อยปีแล้ว แต่ทำไมเอเลี่ยนถึงบุกรุกเข้ามาทันทีที่กองทัพออกไปรบ?”

“มันอาจจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญก็ได้เพคะ” หลันเข่อซินพูดขึ้นและยิ้มแย้ม “เอาล่ะ ไม่ต้องกังวลไปหรอกเพคะ ถ้าเอเลี่ยนบุกรุกเข้ามาได้จริง ๆ ฝ่าบาทจะหาวิธีส่งองค์หญิงออกไปอยู่ดีเพคะ”

“ส่งไป? ส่งไปที่ไหน? ต่อให้เมืองหลวงถูกทำลาย แต่จักรวรรดิปีกพิสุทธิ์ก็ไม่ได้ล่มสลายลง ยังไงซะก็ไม่มีที่ให้เราที่เป็นอดีตลูกสาวของราชวงศ์ไปอยู่ดี” เหมยหมี่วิเคราะห์อย่างใจเย็น

“เราคิดว่าวิธีที่ดีที่สุดในตอนนี้คือการสั่งให้กองทัพกลับมา”

“แต่ท่านจะเกลี้ยกล่อมฝ่าบาทได้เหรอเพคะ?” หลันเข่อซินพูด “ฝ่าบาทของเราขึ้นชื่อเรื่องความดื้อรั้น ถ้าท่านไปพูดแบบนั้นฝ่าบาทจะต้องโกรธแน่”

“เรารู้ แต่แล้วจะมีวิธีไหนที่ดีกว่านั้นล่ะ?”

เหมยหมี่พูดเบา ๆ ปิดหนังสือลง และหันไปมองหลันเข่อซิน “เจ้าอยู่คนเดียวสักพักได้ไหม?”

“ได้เพคะ” หลันเข่อซินยักไหล่ และทำท่าผายมือออกไป “เชิญท่านตามสบายเถอะเพคะ”

เหมยหมี่พยักหน้าและเดินตรงไปที่ห้องประชุมที่พ่อของเธออยู่

สเปนเซอร์ลูบหน้าผาก เขาได้แต่สงสัยว่าทำไมสิ่งต่าง ๆ ถึงได้กลายมาเป็นเช่นนี้ ช่างควบคุมได้ยากเหลือเกิน

“เสด็จพ่อ เป็นอะไรไหมเพคะ?” เหมยหมี่ค่อย ๆ เดินเข้ามา มองดูสเปนเซอร์ “ให้ลูกนวดหน้าผากให้ดีไหมเพคะ?”

“ขอบใจนะลูกสาวตัวน้อยของพ่อ” เมื่อเห็นว่าลูกสาวคนโปรดของตัวเองเดินเข้ามา รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของสเปนเซอร์

“ทำไมลูกไม่ไปเล่นกับเพื่อนของลูกล่ะ? มีอะไรติดอยู่ในใจงั้นเหรอ?” สเปนเซอร์เอ่ยถามขณะมองดูใบหน้าอันเรียบเฉยของลูกสาว

“โชคดีที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ลูกแค่อยากจะถามเสด็จพ่อว่าท่านจะทำยังไงกับพวกเอเลี่ยนที่อยู่บนเกราะป้องกันเพคะ?”

“ลูกพูดถึงเอเลี่ยนที่อยู่บนนั้นเหรอ? เดี๋ยวพวกมันก็คงไปก็กันเองแหละ” สเปนเซอร์ไม่อยากพูดถึงหัวข้อนี้อีกต่อไป มันมีแต่จะทำให้เขารำคาญและรู้สึกอึดอัด

“เอาล่ะ ลูกรัก เราหยุดพูดถึงมันกันดีไหม?” สเปนเซอร์พูด “เรามาพูดถึงเรื่องลูกไปเจออะไรใหม่ ๆ กันบ้างเถอะ มีอะไรจะมาเล่าให้พ่อฟังบ้างไหม?”

เหมยหมี่จ้องมองไปพ่อของเธอและพยักหน้า

“มีสิเพคะ ลูกแค่ไปเห็นเรื่องราวทางประวัติศาสตร์มาและอยากจะถามเสด็จพ่อ”

“โอ้ องค์หญิงเหมยหมี่ที่ฉลาดหลักแหลมและงดงามของพ่อมีอะไรที่ไม่เข้าใจด้วยเหรอลูก? ไหนลองบอกพ่อมาซิ” สเปนเซอร์ปรับเปลี่ยนท่านั่งของเขา พูดขึ้นขณะมองดูลูกสาว

“ลูกจำได้ว่าจักรวรรดิอีโน่เคยมีเชื้อสายราชวงศ์อีกราชวงศ์มาก่อน” เหมยหมี่พูดเบา ๆ “และราชวงศ์นั้นไม่ใช่ราชวงศ์เดียวกันกับในปัจจุบันใช่ไหมเพคะ?”

“ใช่” สเปนเซอร์ยิ้มและพูดต่อ “เมื่อสองร้อยกว่าปีที่แล้ว จักรวรรดิอีโน่ถูกเอเลี่ยนโจมตี สมาชิกผู้ชายในราชวงศ์ทั้งหมดถูกเอเลี่ยนฆ่าตาย เหลือเพียงแต่ทารกองค์หญิงตัวน้อยที่ถูกห่อเอาไว้ในผ้า”

“แล้วหลังจากนั้นล่ะเพคะ?” เหมยหมี่ถาม

“หลังจากนั้นนายพลอาวุโสก็พบเข้ากับองค์หญิงตัวน้อย และสถาปนาจักรวรรดิอีโน่ขึ้นมาใหม่ในนามขององค์หญิงตัวน้อยคนนั้น”

สเปนเซอร์ที่กำลังพูดด้วยรอยยิ้ม หยุดพูดต่อทันที

ใบหน้าของเขาเริ่มน่ากลัว

จากนั้นนายพลอาวุโสก็รับเลี้ยงดูองค์หญิงตัวน้อย และองค์หญิงตัวน้อยก็ถูกแต่งตั้งเป็นจักรพรรดินีพร้อมกับลูกชายของนายพล

ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรหลังจากนั้น

เขาหันไปมองลูกสาว “ขอบใจนะเหมยหมี่”

“ไม่เป็นไรเพคะ เสด็จพ่อ” เหมยหมี่โค้งคำนับและเดินจากไป

ในตอนนั้นเอง กองทัพทหารก็มาถึงพรมแดนแล้วและกำลังต่อสู้อย่างดุเดือด ชายหนุ่มจากจักรวรรดิชิงเหย้าเข้าร่วมทัพในแนวหน้าอย่างขยันขันแข็งและโต้กลับอีกฝ่ายสุดแรงเกิด

“พวกจักรวรรดิปีกพิสุทธิ์โจมตีอย่างรุนแรง เกรงว่าพวกเราจะเริ่มรับมือไม่ไหว” แนวหน้าจำนวนนับไม่ถ้วนส่งสัญญาณไปถึงสำนักงานใหญ่ของจักรวรรดิชิงเหย้า

ขณะเดียวกัน สวี่หลิงอวิ๋นนำกองกำลังของเธอออกไปเงียบ ๆ และซ่อนตัวอยู่ระหว่างทาง

เธอไม่ได้ปิดกั้นพลังจิตไว้อีกต่อไป

แล้วค่อยเริ่มแปรสภาพพลังเป็นคันธนูและลูกธนู ขนาดของคันธนูและลูกธนูเล็กกว่าอันที่โจมตีหลี่จื้อผิง

แต่ลูกธนูนี้มีขนาดเพียงพอที่จะโจมตีเกราะป้องกันยานรบอวกาศของจักรวรรดิปีกพิสุทธิ์

ดาบขนาดมหึมาถูกควบแน่นขึ้นอีกครั้ง และเมื่อเห็นว่าคนที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามไม่มีการตอบสนอง เธอจึงผ่ากลางยานรบโดยตรง

“เกิดอะไรขึ้น? เกิดอะไรขึ้น?” ก่อนที่ผู้คนจากจักรวรรดิปีกพิสุทธิ์จะเริ่มมีปฏิกิริยาตอบโต้ พวกเขาก็สัมผัสได้ถึงแรงอากาศ ก่อนจะถูกแรงโน้มถ่วงดึงเข้าสู่เบื้องลึกของจักรวาล ขาดอากาศหายใจและตายไป!

“เชี่ย มีการฟันแบบนี้ด้วย องค์หญิงสามน่าทึ่งชะมัด” เหล่าทหารส่งเสียงให้กำลังใจ ดูเหมือนว่าการติดตามองค์หญิงสามจะทำให้การต่อสู้ง่ายขึ้น!